เล่มที่ 3 บทที่ 84
กลิ่นหอมของสุรา กลิ่นหอมของอาหาร ทั้งอากาศยังอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจางๆ ของดอกไม้ในเวลาเดียวกัน
มู่หรงฉิงมองแก้วสุราที่อยู่ข้างหน้านาง พลอยรู้สึกขบขันกับสายตาตื่นเต้นของเป้ยหนิงที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง
ั้แ่นางบรรเลงเพลงนั้น เป้ยหนิงก็มองนางด้วยสายตาซึ่งทำให้นางนึกเกลียดที่จะสบตา เพลงของนางต่างจากความอ่อนโยนของผู้หญิงอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนเ่าั้ บวกรวมกับลีลาอันทรงพลังและมีอานุภาพ พิสูจน์ให้เห็นว่าถูกใจเป้ยหนิงผู้ซึ่งเป็หญิงสาวแห่งทุ่งหญ้า
อึดใจก่อนนางบรรเลงเพลงซึ่งได้สร้างความสั่นะเือยู่ไม่น้อย มันสร้างความรู้สึกได้จริงๆ องค์ชายสามถึงกับบอกว่าเพลงนี้ควรจะเป็เพลงในกองทัพ คอยเป็แรงบันดาลใจให้เหล่าทหารกระหายเื
โชคดีที่นางบรรเลงเพลงจบแล้ว ทั้งยังถึงเวลาทานอาหาร ไม่เช่นนั้นภายใต้สายตาที่มองมาของฮูหยินหลิง นางไม่รู้จริงๆ ว่าจะจัดการเื่ราวตรงหน้าทุกคนอย่างไร?
นางจำคำพูดของฮูหยินหลิง่ก่อนหน้าได้ นางเป็ผู้หญิง หัวใจของนางเล็กมาก นางไม่อาจทนต่อการที่ท่านแม่ผู้สิ้นชีวิตไปแล้วของนางต้องมีร่องรอยแห่งการเหยียบย่ำ คำพูดของฮูหยินหลิงทำให้นางหงุดหงิด
“มู่หรงฉิง เ้าช่วยสอนข้าบรรเลงเพลงนั้นด้วย ได้หรือไม่?” คราวนี้เป้ยหนิงก็พบข้ออ้างที่สมเหตุสมผลที่จะเข้าใกล้มู่หรงฉิงแล้ว แม้ว่านางจะไม่้าบรรเลงกู่ฉินแต่นางชอบที่จะฟังเสียงกู่ฉิน ข้อแก้ตัวนี้จึงดีมาก เนื่องด้วยมันทำให้นางสามารถวิ่งไปที่จวนเฉินได้อย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา นางไม่ต้องไปในเวลากลางดึกคล้ายขโมยที่อาจจะถูกคนจับได้อีกต่อไป
“ขอบพระทัยองค์หญิงที่ชื่นชอบ แต่การเรียนกู่ฉินไม่ได้ใช้เวลาสามหรือห้าวัน…”
“ไม่เป็ไร ข้าจะต้องอยู่ที่นี่ใน่เวลาหนึ่ง วันข้างหน้า ข้าจะไปที่จวนเฉินเพื่อเรียนกู่ฉินทุกวัน เ้าคงไม่น่าจะไม่เต็มใจใช่หรือไม่?”
“หมินฟู่มิบังอาจ ยินดีต้อนรับองค์หญิง และนับเป็เกียรติของจวนเฉินที่องค์หญิงจะมาเยือน” พูดพลางจับมือของเฉินเทียนหยูแน่น
เฉินเทียนหยูนั่งอยู่ที่นี่เป็เวลานาน กินก็กินเพียงพอแล้ว ดื่มก็ดื่มเพียงพอแล้ว ไม่ใช่เื่ง่ายเลยที่จะนั่งอย่างเงียบๆ เป็เวลานาน เวลานี้เฉินเทียนหยูเริ่มโกรธแล้ว ถ้าเขายังนั่งต่อไป ไม่แน่ว่าเขาอาจจะพูดอะไรออกมาก็ได้
ความประสงค์ในการเข้าร่วมงานเลี้ยงก็เพื่ออาจารย์ขององค์ชายรัชทายาท แม้ว่านางจะไม่ได้พูดคุยกับเขา แต่เมื่อได้เห็นอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาท นางก็มีการคาดเดาเล็กน้อย เวลานี้นางไม่มีความจำเป็ที่จะต้องอยู่อีกต่อไป นางควรจะกลับไปเปิดกล่องที่เต็มไปด้วยฝุ่นของท่านแม่และวางแผนหลังจากตรวจดูภายในอย่างละเอียด
ขณะครุ่นคิดในใจทำให้มือที่จับเฉินเทียนหยูคลายลงเล็กน้อยด้วยความโล่งอก เฉินเทียนหยูจึงสะบัดมือทันทีและลุกขึ้นยืน เขา้าจะเปิดปากพูดแต่เมื่อนึกถึงคำเตือนของมู่หรงฉิงซึ่งเต็มไปด้วยความโกรธ เขาถึงกับไม่กล้าพูดสักคำ ได้แต่จ้องมองมู่หรงฉิงด้วยสายตาขุ่นเคืองพร้อมกะพริบตาปริบๆ เหลือเพียงไม่หลั่งน้ำตากล่าวหานางก็เท่านั้น
การกระทำของเฉินเทียนหยู ทำให้ฮูหยินหลิงซึ่งกำลังทานอาหารอยู่เป็ต้องวางตะเกียบลง นางหยิบผ้าแพรขึ้นเช็ดที่มุมปากเบาๆ “เกิดอะไรขึ้นหรือ? อาหารจานนี้ไม่ถูกปากคุณชายรองเฉินหรือ?”
เฉินเทียนหยูอ้าปากและ้าจะพูด แต่เมื่อเขาเห็นมู่หรงฉิงยืนขึ้น เขาก็หุบปากทันที เขาสะบัดศีรษะหันหนีด้วยความโกรธพลางเปล่งเสียงฮึเบาๆ
ด้วยเสียงฮึอย่างขุ่นเคืองใจของเฉินเทียนหยู สีหน้าของมู่หรงฉิงย่อมปรากฏความจนปัญญา “ฮูหยินหลิงโปรดยกโทษให้ด้วย เกรงว่าท่านพี่อาจจะเหนื่อย หมินฟู่ขอฮูหยินหลิงโปรดประทานอนุญาตให้พวกเราได้กลับไปก่อน”
“จวนของเปิ่นฮูหยินมีเรือนจำนวนมาก ถ้าเหนื่อยแล้วก็ไปพักผ่อนที่ห้องรับแขกได้ ตอนบ่ายยังมีการแสดงอีกมาก เ้า...”
“ข้าจะกลับจวน ข้าจะกลับจวน ที่นี่ไม่สนุกเลย”
เขาไม่เข้าใจถ้อยคำซับซ้อน แต่เมื่อเห็นมู่หรงฉิงออกอาการลำบากใจ เฉินเทียนหยูก็เบิกตากว้างและพูดต่อด้วยท่าทีไม่มีความสุข “ข้าจะกลับจวน น้องหญิงกลับไปบรรเลงกู่ฉินให้ข้าฟัง ข้าจะไม่ให้พวกเ้าฟัง พวกเ้าบอกว่าน้องหญิงบรรเลงกู่ฉินได้ไม่เพราะ คราวหน้าจะไม่ให้พวกเ้าฟังอีก ฮึ่ม!”
พูดจบก็ไม่สนใจใบหน้าที่น่าเกลียดของฮูหยินหลิงเป็อย่างไร ก่อนจะลากมู่หรงฉิงออกไป
“ท่านพี่ ท่านพี่” มู่หรงฉิงแอบวิตกกังวล คำพูดของเฉินเทียนหยูไม่สุภาพเป็อย่างมาก ถ้าฮูหยินหลิงโกรธขึ้นมา และไม่สนว่าเ้าจะเป็คนโง่งมหรือไม่ ถึงเ้าจะโง่งมจริงๆ แต่นางอาจปฏิบัติต่อเ้าราวกับว่าเ้ากำลังแสร้งทำเป็โง่งมและตัดสินลงโทษเ้า
มู่หรงฉิงวิตกกังวลในใจทว่าจะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเฉินเทียนหยูหงุดหงิดรำคาญแล้วจริงๆ เขาดึงนางออกไปโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใด และเขาก็ไม่ให้โอกาสนางได้ต่อต้านด้วย
นั่งตรงนี้เป็เวลานานไม่สนุกเลยแม้แต่น้อย และเขาก็อิ่มท้องแล้ว เขาอยากจะกลับจวนกับน้องหญิง เขาชอบดูน้องหญิงอ่านหนังสืออย่างเงียบๆ ย่อมดีกว่าเห็นสีหน้าผิดธรรมชาติของนางที่นี่
เฉินเทียนหยูไม่เข้าใจว่าทำไมน้องหญิงถึงดูแปลกๆ ที่สำคัญเขายังไม่ชอบท่าทางเช่นนั้นของน้องหญิง เขาชอบน้องหญิงที่ยิ้มแย้มแจ่มใส
“ท่านพี่ ท่านพี่ฟังฉิงเอ๋อร์ก่อน… อ๊ะ…”
ก่อนที่นางจะพูดจบ เฉินเทียนหยูได้ปล่อยมือของนาง ชั่วพริบตาถัดมาเขาก็อุ้มมู่หรงฉิงต่อหน้าทุกคน
มู่หรงฉิงไม่คาดคิดเลยว่าเฉินเทียนหยูจะทำเช่นนั้น ร่างกายหงายหลังเล็กน้อยโดยไม่ทันตั้งตัว และนั่นส่งผลให้ผ้าพันคอที่ปิดบังรอยแผลยากต่อการปิดกั้นรอยช้ำสีม่วง อย่างไรก็ดีเนื่องจากเฉินเทียนหยูบังเอิญอุ้มนางพาไปยังทางเดินกลางซึ่งเป็ตำแหน่งที่คนทั้งสองด้านสามารถมองเห็นได้ชัดเจน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงอุทาน เสียงซึ่งแสดงความแปลกใจ และเสียงพึมพำอย่างสยองขวัญ
“อ๊ะ เ้าดูสิ มีรอยฟกช้ำสีม่วงที่ลำคอของมู่หรงฉิงด้วย”
“ได้ยินมาว่า เฉินเทียนหยูคลุ้มคลั่งขึ้นมา เขาก็จะฆ่าคน เป็ไปได้หรือไม่ว่ารอยฟกช้ำนั่นเกิดจากเฉินเทียนหยู?”
“ดูเหมือนว่า มู่หรงฉิงเกือบจะถูกฆ่าตายในวันแต่งงานด้วย และถ้าไม่ใช่เพราะองครักษ์ประจำจวนเข้ามาขวางเสียก่อน เกรงว่านางจะตายก่อนเวลาอันควร”
“จุๆ... ช่างน่าเวทนาจริงแท้...”
ฮึ สมน้ำหน้า มู่หรงยวี่คิดในใจ นางแทบอยากจะให้ทุกคนได้เห็นรอยแผลของมู่หรงฉิง และทุกคนจะได้รับรู้ถึงความน่าอับอายของมู่หรงฉิง
ทางด้านซูมู่เยว่นั้นเฝ้าดูมู่หรงฉิงถูกเฉินเทียนหยูอุ้มออกไปด้วยน้ำตา นางรู้สึกเศร้าอย่างสุดจะพรรณนา นางคิดในใจหลังจากกลับจวน นางจะต้องบอกท่านแม่ถึงเื่นี้ พี่หญิงซึ่งมีศักดิ์เป็ลูกพี่ลูกน้องนั้นดูเป็คนจิตใจดีจริงๆ นางไม่เชื่อว่าท่านอาหญิงของนางจะทำเื่ที่ปราศจากความปรานีเช่นนั้นได้
องค์ชายสามได้เห็นรอยฟกช้ำที่ลำคอของมู่หรงฉิง ั์ตาของเขาถึงกับเป็ประกาย แต่ั์ตาเ็าของอาจารย์ขององค์ชายรัชทายาทกลับปรากฏเจตนาฆ่าฟันก่อนผ่านหายไป
จ้าวจื่อซินเห็นเฉินเทียนหยูอุ้มมู่หรงฉิงและเดินผ่านมา เขาก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำนอกจากเดินตามเฉินเทียนหยูด้วยใบหน้าปราศจากอารมณ์ ทางด้านชุ่ยเอ๋อร์ก็เดินตามเฉินเทียนหยูโดยไม่ทิ้งห่าง
เห็นหลายคนเดินจากไป ั์ตาของฮูหยินหลิงก็เ็าลงแต่นางไม่ได้เอ่ยห้ามปราม เนื่องจากนางไม่ได้สั่งให้หยุด ดังนั้นองครักษ์จึงไม่ทำให้พวกเขาต้องลำบากแต่อย่างใด
การเดินทางกลับราบรื่นเป็อย่างมาก ไม่มีใครขวางทางพวกเขา ด้วยสาเหตุนั้นพวกเขาจึงออกจากจวนหลิงโดยสะดวก และขึ้นรถม้ากลับไปที่จวนเฉิน
ไม่มีการเอื้อนเอ่ยวาจาใดระหว่างเดินทางกลับ หลังจากถึงเรือนม่อเหอก็พบว่าปี้เอ๋อร์อยู่ในห้องแล้ว ครั้นเห็นหลายคนเข้ามาในห้อง นางจึงรีบก้าวเท้าไปรินน้ำชา
“ข้าจำได้ว่าท่านแม่มีกล่องใหญ่ที่ลงกลอนไว้ เ้าจำได้หรือไม่ว่าเ้าวางไว้ที่ไหน?” ตอนที่นางแต่งงาน นางจำได้เลือนรางว่ากล่องใบนั้นถูกนำมาที่จวนเฉินเพื่อเป็หนึ่งในสินสอดทองหมั้น
กล่องหรือ? ปี้เอ๋อร์ลดสายตาลง นึกทวนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “เรียนคุณหนูใหญ่ กล่องนั้นอยู่ในห้องเก็บของรวมกับสินสอดทองหมั้น”
“ชุนรุ่ย ชิวเหอ พวกเ้ากับชุ่ยเอ๋อร์ไปที่ห้องเก็บของ แล้วเอากล่องนั้นมาที่นี่” หลังจากนั้นหันไปหาปี้เอ๋อร์ “รู้หรือไม่ว่าลูกกุญแจอยู่ที่ไหน?”
ชุนรุ่ย ชิวเหอและชุ่ยเอ๋อร์ตอบรับก่อนเดินไปหยิบกล่องด้วยกัน ทางด้านปี้เอ๋อร์ส่ายศีรษะหลังจากได้ยินคำถามของมู่หรงฉิง “บ่าวไม่ทราบ กล่องนั้นถูกลงกลอน่ฮูหยินป่วยหนัก โดยบอกว่าเป็สิ่งที่ไม่สำคัญอะไร”
ไม่สำคัญหรือ? ถ้าไม่สำคัญจะลงกลอนทำไม?
เมื่อเฉินเทียนหยูกลับมา เขาก็ดื่มน้ำชาไปอึกใหญ่ ก่อนจะโอบแขนของมู่หรงฉิง “เกิดอะไรขึ้นกับน้องหญิงหรือ? กำลังมองหาอะไรอยู่หรือไม่?”
“ใช่ ข้ามีความสงสัยอยู่ในใจ และจะคลี่คลายได้ต่อเมื่อได้กล่องนั้น” ถ้าไม่มีลูกกุญแจ เกรงว่าจะมีแต่จะต้องทำลายกุญแจเท่านั้น
หลังจากนั้นสักพักหนึ่ง ชุ่ยเอ๋อร์ก็สั่งให้เสี่ยวซือสองคนนำกล่องทรงสูงราวครึ่งคนเข้ามา
“ระวังเล็กน้อย อย่าให้ของด้านในเสียหายล่ะ” ชุ่ยเอ๋อร์พูดกำชับเสี่ยวซือให้ระวัง หลังจากวางกล่องอย่างเรียบร้อยก็ไปส่งเสี่ยวซือ
“ชุ่ยเอ๋อร์ไปเฝ้าดูห้องเก็บฟืน ถ้ามีการเคลื่อนไหวผิดแปลก ให้มาบอกข้าได้ทุกเมื่อ ชุนรุ่ยและชิวเหอ พวกเ้าไปดูวัตถุดิบสำหรับทำอาหารในห้องครัวว่ามีอะไรบ้าง วันนี้ไม่อยากอาหารเท่าใดนัก ให้พวกเ้าทำน้ำแกงหวานดับความร้อน ส่วนปี้เอ๋อร์ไปเฝ้าอยู่ด้านนอกประตู ถ้ามีคนมาที่นี่ เ้าจงบอกไปว่าคุณชายรองกำลังนอนกลางวันอยู่”
มู่หรงฉิงจะเปิดกล่องเพื่อดูสิ่งของภายใน ทุกคนล้วนเข้าใจว่าของในกล่องไม่ใช่ทุกคนจะสามารถเห็นได้ จึงไม่พูดอะไรมาก หลังจากฟังคำสั่งของมู่หรงฉิง พวกนางต่างก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย
ทุกคนแยกย้ายกันออกไป ทว่าจ้าวจื่อซินกลับนั่งอยู่ที่นั่นอย่างสงบเหมือนไม่ได้ตั้งใจจะจากไปโดยสิ้นเชิง มู่หรงฉิงกำลังจะเอ่ยปากให้เขาออกไป แต่กลับได้ยินเสียงเบาๆ สบายๆ ของเขาบอกว่า “เ้าคิดว่าด้วยมันสมองของเฉินเทียนหยู เขาจะสามารถงัดกุญแจเปิดออกโดยไม่ทำลายสิ่งที่อยู่ภายในกล่องได้หรือไม่?”
ด้วยถ้อยคำเดียวของจ้าวจื่อซินซึ่งค่อนข้างสมเหตุสมผล จึงเท่ากับได้รับการอนุมัติจากมู่หรงฉิงไปโดยปริยาย เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าสองก้าวโดยไม่รู้ว่าเขาเอาอะไรออกมางัดแงะ
เดิมคิดว่าจะใช้เวลาเพียงไม่นาน แต่คาดไม่ถึงเลยว่ากลับไม่อาจสะเดาะกุญแจได้
“ดูเหมือนว่าท่านแม่ของเ้าจะลงกลอนซ่อนยาครอบจักรวาลไว้ในกล่องนี้ แม้กระทั่งข้าก็ยังเปิดไม่ได้”
“เมื่อก่อน เ้าเคยไขกุญแจบ่อยๆ หรือ?” จ้าวจื่อซินพูดสัพยอก แต่มู่หรงฉิงกลับทิ้งคำถามโดยตรง เขาถึงกับพูดไม่ออก
ลอบพูดพึมพำในใจว่า โธ่! ข้าไม่เชื่อจริงๆ ว่ากุญแจเก่าๆ จะเป็งานยากสำหรับข้า
ตัดใจจากการใช้กุญแจ จากนั้นชายหนุ่มหยิบมีดสั้นออกมา เมื่อมู่หรงฉิงเห็นมีดสั้นเล่มนั้น นางก็รีบขัดขวางทันที “เ้าอย่าทำให้สิ่งที่อยู่ด้านในเสียหายล่ะ”
“ข้ามีขอบเขตน่า” เขาขยับมีดสั้นไปตามช่องว่างของกล่อง และใช้แรงฝ่ามือในการกรีดกล่องเต็มแรง “ได้แล้ว”
จ้าวจื่อซินพูดพลางเปิดฝาก่อนเห็นว่ามีห่อผ้าแพรหนาหนึ่งชั้นอยู่ด้านใต้ฝา “ท่านแม่ของเ้าอาจจะซ่อนยาครอบจักรวาลไว้จริงๆ ก็เป็ไปได้ นางเก็บได้ดีจริงๆ”
เมื่อชายหนุ่มเปิดผ้าแพรและมองดูสิ่งที่อยู่ภายใน เขากลับรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “บางทีท่านแม่ของเ้าอาจจะสะสมผลงานการเขียนอักษรด้วยพู่กันและภาพวาดของศิลปินชื่อดัง ไม่แน่มันอาจจะมีค่ามาก ถ้าขายกล่องนี้ บางทีอาจจะร่ำรวยเทียบเท่ากับทรัพย์สินที่มีทั้งหมดในแคว้นก็เป็ไปได้”
เด็กสาวไม่สนใจการสัพยอกของจ้าวจื่อซิน การคาดเดาของมู่หรงฉิงยิ่งเข้าใกล้ความจริงอีกหนึ่งส่วน เมื่อนางเห็นสิ่งที่ห่อด้วยกระดาษมัน
มือของนางสั่นเทาเล็กน้อยและนางมีคำตอบรางๆ ในใจ ถึงกระนั้นนางก็ไม่กล้ารับรอง นางกลัวว่าหลังจากที่รู้ความจริง นางจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่วุ่นวายเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
สถานการณ์วันนี้ก็วุ่นวายมากพอสมควรแล้ว เดิมทีคิดว่ามันเป็เพียงการต่อสู้ในจวน แต่เมื่อพิจารณาจากหลายเหตุการณ์ใน่ที่ผ่านมา ทุกสิ่งที่นางพบเจอล้วนเกี่ยวข้องกับราชสำนักอย่างคลุมเครือ นางจึงรู้สึกสับสนเป็อย่างมาก แต่อย่างไรก็ดี นางเข้าใจมันทั้งหมด นางเชื่อว่าตราบใดที่นางดูสิ่งที่อยู่ในกล่อง นางจะสามารถเชื่อมโยงทุกสิ่งได้
ทว่าเมื่อมันอยู่ตรงหน้านางจริงๆ นางกลับรู้สึกอยากจะถอย นางรู้สึกอย่างคลุมเครือว่า หลังจากนางมองดูสิ่งเหล่านี้ ชีวิตของนางจะต้องพบกับการต่อสู้ที่ไม่เคยรู้มาก่อน บางทีท่านแม่ของนางอาจเป็เหยื่อของการต่อสู้ที่ไม่เคยรู้มาก่อน