เดิมที อาการาเ็ของโจวชิงหวาก็ยังไม่หายดี ดังนั้นย่อมตกเป็ฝ่ายเสียเปรียบ ไม่นาน จึงได้รับาเ็เป็แผลฉกรรจ์ที่หัวไหล่ โลหิตสีแดงสดไหลอาบร่าง แต่เพื่อปกป้องหนีเจียเอ๋อร์แล้ว เขาย่อมทุ่มสุดตัวโดยปราศจากความหวั่นเกรง
ส่วนหญิงสาว เมื่อรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นที่ด้านหลัง ก็เริ่มตื่นตระหนก
นางจึงรวบรวมเรี่ยวแรงเพื่อตะเบ็งเสียง “หยุดได้แล้ว ข้าจะกลับไปกับพวกเ้า ปล่อยเขาเสีย!”
โจวชิงหวากัดฟันกรอด “ไม่... ข้าไม่ให้เ้าไป!”
หนึ่งในมือสังหารหัวเราะเสียงต่ำ “ไม่ว่าผู้ใดก็กลับไปมิได้แล้ว เ้าทั้งสองต้องตายอยู่ที่นี่ ฆ่าพวกมันให้หมด!”
มือสังหารทั้งห้าคนปรี่เข้ามาพร้อมกัน แน่นอนว่า กระบวนท่าของนักฆ่ามืออาชีพ ย่อมไม่ธรรมดา!
แต่ใจของโจวชิงหวาในตอนนี้ ห่วงเพียงหนีเจียเอ๋อร์เท่านั้น
หากเป็เช่นนี้ต่อไป พวกตนต้องตายแน่...
หนีเจียเอ๋อร์หันมาพูดกับชายหนุ่ม ด้วยน้ำตานองหน้า “ชิงหวา ปล่อยข้าเถอะ เราต้องแยกย้ายกันหนี จึงพอจะมีหนทางรอด แม้จะริบหรี่มากก็ตาม”
ทว่า จะให้เขาทำเช่นนั้นได้อย่างไร?
หากนายท่านหนีเป็ผู้ส่งคนพวกนี้มาละก็ เขาก็คงจะมั่นใจได้ ว่านางจะปลอดภัย แต่นี่มิใช่ คนเหล่านี้้าทั้งชีวิตเขาและหนีเจียเอ๋อร์ ดังนั้นเขาจะต้องปกป้องนาง จนกว่าชีวิตจะหาไม่!
ม้ายังคงวิ่งควบต่อไป โจวชิงหวากระชับร่างหญิงสาวแน่น ก่อนะโลงจากหลังม้า เพราะมีร่างของเขาคอยปกป้อง หนีเจียเอ๋อร์จึงมิได้าเ็เท่าใดนัก
ชายหนุ่มสำรวจตามตัวนาง เมื่อพบว่ามีเพียงาแเล็กน้อยก็โล่งใจ ส่วนตนเองก็มีาแขีดข่วนเป็ทางยาวตรงแขนเท่านั้น “เสี่ยวเอ๋อร์ าเ็ตรงไหน กลัวหรือไม่?”
หญิงสาวส่ายหน้า “ข้าไม่กลัว”
ว่าแล้ว ก็มองไปยังาแบนแขนของชายหนุ่ม จากนั้น ใบหน้าเปื้อนดินเล็กน้อยก็เริ่มเหยเก ราวกับกำลังจะร้องไห้ ด้วยรู้สึกเสียใจยิ่งนัก
เหมือนจะเดาความคิดของนางออก แต่ตอนนี้ เขาไม่อาจโน้มตัวพิงไหล่ของอีกฝ่ายได้ จึงเอ่ยปลอบใจ “ข้าไม่นึกเสียใจเลย ที่ไปช่วยเ้า”
กล่าวจบ ก็แนบแก้มเข้ากับผมนุ่ม “ก็อย่างที่ข้าเคยพูด ถึงตายใต้ดอกโบตั๋น แม้กลายเป็ผีก็ยังสุขสำราญ...”
หนีเจียเอ๋อร์มองค้อน “พวกเราต้องรอดกลับไปได้แน่!”
บรรดามือสังหารที่ตามมา หัวเราะลั่น “ข้าไม่เคยพบผู้ใด ที่โง่เขลาเช่นพวกเ้ามาก่อนเลย คนหนึ่งปฏิเสธ ไม่ยอมทำตามคำสั่งของสวีอี๋เหนียง ส่วนอีกคน...”
ตอนนั้นเอง หนึ่งในนักฆ่าก็โพล่งขึ้นด้วยความร้อนใจ “ลูกพี่ ท่านจะพูดให้มากความทำไม? ฆ่าพวกมัน แล้วรีบกลับไปรับเงินเถอะ ข้าอยากไปหาความสำราญกับเหล่าบุปผางามและสุราที่หอเฟิงเยวี่ยจะแย่อยู่แล้ว”
ขาดคำ กระบี่ทั้งห้าเล่ม ก็ตวัดเข้าใส่โจวชิงหวาแทบจะพร้อมๆ กัน
หนีเจียเอ๋อร์รีบเข้ามาขวางหน้าเอาไว้ แต่ชายหนุ่มก็คว้าร่างนางมาหลบที่ด้านหลังตัวเอง และพยายามปัดป้องกระบี่อย่างเต็มที่
ทว่า ยามนี้เขาาเ็สาหัส ทั้งฝ่ายศัตรูก็มีกันถึงห้าคน จึงเกินกำลังยิ่งนัก...
เคร้ง!
ทันใดนั้น ลูกดอกปริศนาก็พุ่งเฉียดศีรษะโจวชิงหวา ไปปะทะเข้ากับคมกระบี่
เหล่ามือสังหารกวาดตามองไปรอบๆ ด้วยความตกตะลึง นี่ต้องมิใช่ฝีมือคนธรรมดาทั่วไปเป็แน่ คิดเช่นนั้น พวกเขาก็ถอนตัวไปทันใด
คล้อยหลังกลุ่มคนร้าย โจวชิงหวาก็ค่อยๆ ซวนเซ ภาพตรงหน้าเริ่มเลือนราง ไม่ช้า ก็ล้มฟุบลงไป
ด้วยขนาดร่างกาย หนีเจียเอ๋อร์ย่อมไม่อาจแบกชายหนุ่มได้แน่ นางจึงค่อยๆ ทรุดตัวลงข้างๆ เขา แต่ก่อนสติจะดับไป ใบหน้าของกู่อวี่เสวียนก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
หญิงสาวจึงคว้าชายกระโปรงของอีกฝ่ายเอาไว้ “ได้โปรด ช่วยเขาด้วย” พูดจบ นางก็หมดสติไป
...
เมื่อหนีเจียเอ๋อร์ลืมตาขึ้นมา ก็พบว่าตนกำลังนอนอยู่บนเตียงนุ่มขนาดใหญ่ ทั่วทั้งร่างปวดร้าว จนไม่อยากขยับเขยื้อน
ที่นอกหน้าต่างมืดสนิท เลยไม่อาจรู้ได้ ว่าบัดนี้เป็ยามใดแล้ว
ตอนนั้นเอง ประตูก็เปิดออก
แอ๊ด!
เด็กหญิงตัวน้อยผู้หนึ่ง เดินเข้ามาพร้ะเกียง เมื่อเห็นว่าหญิงสาวได้สติแล้ว ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก นางตรงเข้าไปจุดเทียนที่หัวเตียง แล้วเอ่ยว่า “คุณหนู ท่านหลับไปสามวัน หมอบอกว่าท่านมิได้าเ็ร้ายแรงอันใด แค่ขาดอาหารเ้าค่ะ”
จากนั้นก็หันมายิ้ม แล้วกล่าวว่า “รอสักครู่นะเ้าคะ ข้าน้อยจะไปยกอาหารมาให้”
หนีเจียเอ๋อร์พยายามจะลุกจากเตียง แต่ขาทั้งสองกลับสั่นไหว ไร้เรี่ยวแรงเอาเสียดื้อๆ เด็กหญิงผู้นั้นจึงรีบเข้ามาประคองทันที
หญิงสาวหันไปถามอีกฝ่าย “โจวชิงหวาอยู่ไหน? ปลอดภัยดีหรือไม่?”
เด็กหญิงพยุงนางขึ้นไปนั่งบนเตียง ก่อนตอบ “ไม่ต้องกังวล องค์หญิงกำลังดูแลคุณชายโจวอย่างใกล้ชิด ตอนนี้ เขาพ้นขีดอันตรายแล้วเ้าค่ะ”
พอได้ยินว่าเขาปลอดภัย หนีเจียเอ๋อร์ก็ยิ้มออก นางขอร้องให้เด็กสาวพาตนไปหาโจวชิงหวา ที่ยังคงหลับใหลอยู่ ก่อนกลับไปกินอาหารมื้อเย็นที่ห้องของตน
ใน่สองสามวันนี้ พวกเขาได้มาพักฟื้นที่ตำหนักนอกเมืองของกู่อวี่เสวียน หนีเจียเอ๋อร์พยายามรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อฟื้นฟูร่างกายตัวเอง ทั้งยังไม่ลืมที่จะออกกำลังอย่างเหมาะสม ดังนั้น สุขภาพของนางจึงดีขึ้นอย่างรวดเร็ว จนหมอหลวงยังประหลาดใจ
ที่นางพยายามรักษาตัวให้กลับมาแข็งแรง ก็เพื่อจะได้ดูแลโจวชิงหวา
ไม่นานชายหนุ่มก็ได้สติตื่น และภาพแรกที่เห็น ก็คือหนีเจียเอ๋อร์ซึ่งมีเนื้อหนัง มิได้ซูบผอมเหมือนเช่นก่อนหน้านี้ ริมฝีปากแห้งแตกของเขา จึงเหยียดยิ้มอย่างอ่อนโยน
ซ้ำยังเอ่ยหยอกเย้า “ตอนนั้น... ที่ข้าไปช่วยเ้า เ้าช่างน่าเกลียดยิ่งนัก ทั้งผอมทั้งทรุดโทรม จนข้าเกือบจะควบม้าหนีเสียแล้ว...”
หนีเจียเอ๋อร์จึงสวนกลับทันที “คุณชายโจว สภาพของเ้าในตอนนี้ ก็มิได้น่าดูนักหรอก อย่าหัวเราะเยาะข้าเลย!”
โจวชิงหวาเม้มปาก ก่อนแสยะยิ้มร้าย “นี่อย่างไรล่ะ ในเมื่อเหมาะสมกันขนาดนี้ เราก็มาแต่งงานกันเถอะ!”
หนีเจียเอ๋อร์หน้าแดงระเรื่อ “อย่าพูดพล่าม! กินยาได้แล้ว”
นางหมุนตัวไปหยิบถาดใส่ถ้วยยามาให้ จากนั้นก็เดินผละหนีไป
...
เื่ที่หนีเจียเอ๋อร์โดนลักพาตัวไปในวันแต่งงาน แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง
พอมู่หรงจิ่งหลีได้ยินข่าว ก็แอบส่งคนไปตรวจสอบทันที ไม่ช้าก็รู้ว่ากู่อวี่เสวียนได้ช่วยคนทั้งสองเอาไว้ ทั้งยังให้ไปหลบซ่อนที่ตำหนักนอกเมืองด้วย
เช่นเดียวกับกู่อวี่เสวียนที่แวะมาเยี่ยมโจวชิงหวา มู่หรงจิ่งหลีก็มักจะมาเยือนหนีเจียเอ๋อร์เป็ประจำ
ทุกคราที่เดินทางออกจากตำหนักรับรอง องค์ชายสามมักจะแต่งกายด้วยชุดซึ่งดูดีเสมอ
“ฝ่าา ท่านจะไปพบแม่นางหนีอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
สำหรับมู่หรงจิ่งหลีแล้ว สตรีเช่นหนีเจียเอ๋อร์นั้น ช่างหาได้ยากยิ่ง ทั้งๆ ที่รู้ฐานะของเขา แต่ก็มิได้หลงใหลได้ปลื้ม ทั้งยังแสดงท่าทีหมางเมินอีกต่างหาก
ใบหน้าของนาง มักจะสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกอันแท้จริงเสมอ และนี่คือสิ่งที่ทำให้เขาสนใจ ด้วยอีกฝ่ายไม่เคยเสแสร้ง...
ส่วนเหล่าขุนนาง ย่อมไม่มีผู้ใดรู้ ว่าตอนนี้องค์ชายสามกำลังคิดจะทำสิ่งใด ทั้งยังไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใด พระองค์ถึงให้ความสำคัญกับสตรีผู้นี้นัก...
มู่หรงจิ่งหลีปรายตามองบรรดาขุนนาง “ข้าจะทำอะไร ต้องรายงานพวกเ้าด้วยหรือ?”
เหล่าขุนนางและองครักษ์ ต่างก้มศีรษะลง “กระหม่อมมิบังอาจ!”
องค์ชายสามละสายตาจากบรรดาขุนนาง “หากยังก้าวก่ายเื่ของข้าอยู่เช่นนี้ เห็นทีคงต้องลงโทษพวกเ้าบ้างแล้ว...”
เหล่าองครักษ์และขุนนางต่างเหงื่อแตกพลั่ก พากันก้มหน้าหลบสายตา ไม่กล้าเอ่ยอันใดอีก
เมื่อเห็นเช่นนั้น มู่หรงจิ่งหลีก็ก้าวต่อ โดยมีบรรดาทหารและขุนนางเดินตามไปเงียบๆ