การที่จุนห่าวกวาดล้างฐานที่มั่นของกลุ่มทหารรับจ้างสิงโตคลั่ง ทำให้ทุกคนในเหตุการณ์ต่างตกตะลึง พวกเขามองจุนห่าวด้วยสายตาที่สะพรึงกลัว แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าจุนห่าวเป็ม้ามืดในงานประมูล และต่อให้จะรู้ว่าจุนห่าวมีกุญแจเข้าสู่ซากปรักวัตถุโบราณอยู่สองดอกในมือ ในขณะนี้ กลับไม่มีใครกล้าตกเป็เป้าสังเกตของจุนห่าว เทพแห่งการสังหารเช่นนี้ พวกเขาคิดจะหลบซ่อนก็คงไม่ทัน ใครจะกล้าทำอะไรโง่เขลารนหาที่ตายล่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวจุนห่าวถูกเปิดเผยในที่สุด ไม่รู้ว่าเขาไปทำอะไรมา แม้แต่คนที่มีลมปราณขั้นสิบเอ็ดยังไม่อาจหลบหนีได้ มองดูผู้คนหลายพันคนที่เืออกจนจบชีวิต เื่นี้ทำให้ทุกคนสั่นะเื แม้ว่าพวกเขาจะ้ากุญแจที่อยู่กับจุนห่าว ทว่าก็ต้องวางแผนระยะยาว จุนห่าวต่อสู้จนมีชื่อเสียง และได้รับฉายาว่าปีศาจสังหาร
จุนห่าวเห็นว่าทหารรับจ้างสิงโตคลั่งตายหมดแล้ว เขาจึงเผาศพบนพื้นด้วยลูกไฟ และมองดูขี้เถ้าของพวกเขาลอยไปในสายลม แล้วหันสายตากลับมา จากนั้น เขาก็ยิ้มและพูดกับคนที่อยู่รอบตัวเขาว่า “บัดนี้ค่ำมืดแล้ว ทุกท่านดูจบแล้วจงรีบกลับไปเถอะ หรือจะรอให้ข้าเชิญพวกท่านทานมื้อค่ำด้วยกัน?” พูดจบก็หยุดชะงักครู่หนึ่ง พูดอย่างยิ้มๆ ว่า “ข้าดูแลแขกเป็อย่างดี หากทุกท่านไม่ล้มเลิก รอให้ข้าทำความสะอาดตรงนี้แล้ว ทานมื้อค่ำฉลองรอบกองไฟกัน ข้าจะทำเนื้อย่างให้ทุกท่านทาน ฝีมือการทำอาหารของข้าไม่เลวนะ คนที่ได้ทานเนื้อย่างของข้า ต่างชื่นชมว่าย่างเนื้อได้อร่อยยิ่งนัก ได้กินชิ้นนึงก็จะกินอีก”
จุนห่าวพูดคำเมื่อครู่นี้จบ กลุ่มคนก็เหมือนนกกระจัดกระจาย เหลือเพียงหานรุ่ยและลูกสามคนที่อยู่ที่เดิม สายตาของผู้บำเพ็ญเพียรนั้นดีมาก ดังนั้น จึงมิใช่ทุกคนที่ต้องมามุงดูเหตุการณ์ ยังไงผู้สังเกตการณ์ก็เสี่ยง บางคนจึงไม่อยากเปิดเผยตัวตนโดยไม่ออกมามุงดู ต่างยืนดูจากประตูค่ายของพวกเขา เมื่อเห็นฝูงชนที่กระจัดกระจายกระทันหัน จุนห่าวไม่แน่ใจว่าทำไม
จุนห่าวเดินไปหาหานรุ่ยและลูกๆ เขาหยุดตรงหน้าหานรุ่ย และพูดอย่างจริงใจว่า “ข้าเตรียมจะจัดงานฉลองรอบกองไฟจริงๆ ตั้งใจเชิญพวกเขาทานเนื้อย่างกัน เพราะยังไงพวกเขาก็ให้กำลังใจข้าเป็สองนาน แต่น่าเสียดายนัก ไม่ไว้หน้าข้าเลย”
หานรุ่ยพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นั่นเป็เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าเนื้อย่างของเ้าอร่อยแค่ไหน พวกเขาไม่รู้จักมัน ค่ำนี้เ้าทำให้เราทานก็พอ” แอบคิดลับๆ จุนห่าวเพิ่งจะเผาคนของกลุ่มทหารรับจ้างสิงโตคลั่ง การเชิญคนมากินเนื้อย่าง คนอื่นไม่หนีสิน่าแปลก พวกเขาเกรงกลัวว่าจุนห่าวจะใช้ลูกไฟเผาพวกเขาจนสิ้น
จุนหนานกระพริบตามองจุนห่าว และกล่าวชื่นชมว่า “ท่านพ่อ ท่านเก่งกาจนัก โตขึ้นข้าต้องหาคนที่เก่งกาได้เยี่ยงท่าน ถึงตอนนั้น ใครก็ตามที่ยั่วยุข้า ข้าจะให้เขาแก้แค้นแทนข้า”
จุนตงมองจุนห่าวด้วยสายตาเปล่งประกาย และเอ่ยขึ้น “ท่านพ่อ จากนี้ไป ข้าจะเรียนรู้จากท่าน เป็คนที่เก่งกาจได้เยี่ยงท่าน ถึงตอนนั้น ใครรังแกพวกท่าน ข้าก็จะเอาชนะผู้นั้นได้ เมื่อเวลานั้นมาถึง ไม่จำเป็ต้องให้ท่านพ่อออกโรงแล้ว ท่านแค่มองอยู่ด้านหลังก็พอ” พูดจบ ก็กำกำปั้นน้อยๆ ของตัวเอง
จุนห่าวลูบหัวจุนตง พูดด้วยสายตารักใคร่เอ็นดูว่า “ถือว่าเสี่ยวตงรู้จักทะเยอทะยาน” จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับจุนหนานอย่างไม่พอใจ
“จากนี้ไป เ้าต้องเรียนรู้จากพี่เ้าให้มาก ตัวเองต้องมีความสามารถสิ จะไปพึ่งพาคนอื่นให้ออกหน้าแทนเ้า ช่างไร้อนาคตเสียจริง”
จุนหนานกระพริบตาสองครั้ง จากนั้นหันไปพูดกับหานรุ่ยอย่างจริงจังว่า “ท่านแม่ ท่านพ่อพูดว่าท่านไร้ความสามารถ ไร้อนาคต ต้องพึ่งพาเขาออกหน้าแทน”
จุนห่าว : ...... คิดในใจ จุนหนานเ้าเด็กนี่ นี่ตั้งใจเอาชนะเขารึ เห็นได้ชัดว่าเจตนายั่วยุ เขาไม่ได้หมายความอย่างนั้น
จุนห่าวพูดกับจุนหนานอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “แม่เ้ามีปรีชาสามารถยิ่ง เพียงแต่เื่เล็กน้อยเช่นนี้ ไม่ต้องให้คนที่ความปรีชาสามารถอย่างแม่เ้าต้องออกหน้าหรอก มีพ่อเ้าอยู่ ให้ข้าลงมือก็พอแล้ว”
จุนหนานกะพริบตาอีกครั้งและพูดกับจุนห่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น ความหมายของท่านพ่อคือ ท่านแม่เป็ผู้ยิ่งใหญ่ แค่บงการอยู่เื้ัก็พอแล้ว ส่วนท่านพ่อคือคนผู้น้อย เป็แค่เบี้ย เลยต้องลงแรง”
จุนห่าวกล่าวโดยไม่ลังเลว่า “ใช่แล้ว” คิดในใจ เขายินดีที่จะเป็เบี้ยของภรรยา การเปรียบเปรยนี้ของจุนหนานเหมาะสมนัก
ฟังคำของจุนห่าว จุนหนานพูดต่อไปว่า “ข้าจะแต่งงานกับคนอย่างท่านพ่อ ข้าจะเป็ผู้ยิ่งใหญ่ที่บงการอยู่เื้ั ให้เขาเป็เบี้ยที่ลงแรงอยู่ด้านหน้า ส่วนท่านพี่ต้องเป็เบี้ยอย่างท่านพ่อที่ต้องลงแรงด้วยตัวเอง งั้นท่านพี่ก็คือคนผู้น้อย” จุนหนานหยุดครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้นพลางมองจุนห่าวอย่างสงสัยว่า “ผู้ยิ่งใหญ่อย่างข้าเหตุใดต้องเรียนรู้จากคนผู้น้อยอย่างท่านพี่ล่ะ คนผู้น้อยอย่างท่านพี่ต้องเรียนรู้จากผู้ยิ่งใหญ่อย่างข้ามิใช่หรือ? พูดถึงอนาคตก็เป็ท่านพี่ที่ไร้อนาคต ท่านพ่อจะบอกว่าข้าไร้อนาคตได้อย่างไรล่ะ” พูดจบก็กระพริบตา พลางจ้องมองจุนห่าวอย่างไม่เข้าใจ รอคอยคำตอบของจุนห่าว
จุนห่าว : ...... คิดในใจ คำพูดนี้ของจุนหนานทำให้เขาไม่อาจปฏิเสธได้ เขาก็รู้สึกว่าสิ่งที่จุนหนานพูดมีเหตุผล
จุนตงบ่นพึมพำอย่างไม่พอใจ คิดในใจ เป็เบี้ยแล้วทำไม เบี้ยที่มีพละกำลัง เขาได้เป็เบี้ย เขาก็ภูมิใจ
หานรุ่ยฟังคำของจุนห่าวและจุนหนาน จนใจยิ่งนัก คิดในใจ จุนหนานฉลาดมาก ทว่าไม่สนใจที่จะเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง
หานรุ่ยทำลายความเก้อเขินของจุนห่าว มองร่องรอยเพลิงไฟที่เรียงรายอยู่หน้าเต็นท์ เอ่ยกับจุนห่าวว่า “คืนนี้เราจะนอนกันที่นี่?” คิดในใจ เขาไม่แยแส ก็ไม่รู้ว่าจุนห่าวคิดเช่นไร
จุนห่าวมองไปรอบๆ เห็นบรรยากาศแห่งความเศร้าโศก ไม่เคืองโกรธเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ฉากที่มีชีวิตชีวาของฐานที่มั่นนี้ จุนห่าวกลับไม่แยแส เขาเคยอาศัยอยู่ในกองซากศพมาแล้ว ที่นี่ดีกว่ากองซากศพมากนัก เขายิ้มและพูดกับหานรุ่ยว่า “ข้าไม่มีปัญหา ตอนนี้ที่นี่แออัดมาก ตรงนี้เป็ที่เดียวที่สะอาด ข้าเกรงแต่ว่าเ้าจะไม่ชอบที่นี่ อันที่จริง...” จุนห่าวไม่ได้พูดต่อ แต่หานรุ่ยก็เข้าใจ
“ข้าไม่มีปัญหา” หานรุ่ยพูดด้วยรอยยิ้ม ทั้งสองคนจึงตัดสินใจอย่างเห็นพ้อง พวกเขาเพิกเฉยต่อลูกทั้งสอง แต่จุนตงและจุนหนานก็ไม่สนใจ
แม้ว่าเต็นท์จะพร้อมอยู่แล้ว ทว่าการให้หานรุ่ยนอนเตียงที่ผู้อื่นเคยนอน จุนห่าวก็ไม่สบายใจ ดังนั้นเขาจึงหาที่ว่าง และตั้งเต็นท์ด้วยตัวเอง หลังจากตั้งเต็นท์เสร็จ ทั้งครอบครัวก็ออกไปล่าเหยื่อสองสามตัว ถือเป็่เวลาพิเศษนัก ที่ทั้งครอบครัวได้ทำกิจกรรมร่วมกัน
ค่ำนั้น ทุกคนในครอบครัวนั่งรอบกองไฟกินดื่มไปพลาง จุนห่าวพูดกับหานรุ่ยว่า “วันนี้ ข้าััได้ว่ามีคนหนึ่งมองมาที่ข้าด้วยสายตาโเี้ พอข้ามองไปก็เห็นเพียงเงาของหญิงผู้หนึ่ง”
ฟังคำของจุนห่าว หานรุ่ยวางเนื้อย่างในมือลง ขมวดคิ้วและพูดกับจุนห่าวว่า “นั่นคงเป็พระสนมขององค์ชายสามที่กล่าวขานกัน ครั้งนี้ปล่อยนางไป ต้องสร้างปัญหาให้เราในอนาคตแน่” พูดจบก็หยุดชั่วขณะหนึ่ง กล่าวต่อไปว่า “แต่คงไม่เป็ไร แค่หญิงสาวคนเดียว ไม่ต้องกังวลไป คงมิอาจสร้างคลื่นพายุใหญ่อะไรนัก”
“อดที่จะวางใจมิได้หรอก ั้แ่โบราณวีรบุรุษตั้งกี่คนต่างที่ถูกบงการโดยสตรี เราไม่อาจดูถูกดูแคลนผู้หญิงได้ รีบจัดการหญิงผู้นี้ให้เร็วที่สุดเสียดีกว่า จักได้ไม่สร้างเื่วุ่นวายให้เราในอนาคต” จุนห่าวพูดกับหานรุ่ย คำพูดประโยคสุดท้ายนั้นแฝงด้วยเววตาที่ดุร้าย นี่คือสไตล์ของจุนห่าว แน่วแน่และก้าวร้าว วิธีการดุร้าย แหล่งที่มาของอันตรายทั้งหมดได้เตรียมการสังหารไว้ล่วงหน้า
“เ้าพูดถูก ข้าคิดว่านางจะต้องไปฐานที่มั่นขององค์ชายสามแน่ ไม่งั้น่ค่ำให้ข้าย่องเข้าไปสังหารดีไหม” หานรุ่ยพูดกับจุนห่าว
“ปล่อยไปก่อนละกัน ข้ารู้สึกว่าหญิงผู้นี้ไม่ธรรมดา มีนางอยู่ ข้าคิดว่าวังขององค์ชายสามคงไม่สงบสุขแน่ ให้นางสร้างปัญหาให้องค์ชายสามไปก่อน ถึงตอนนั้น เราค่อยกำจัดพวกเขา” จุนห่าวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้น
“งั้นตามนี้ไปก่อน วันนี้เ้าสร้างความฮือฮาให้เลื่องลือเพียงนี้ และการที่องค์ชายสามและคนของเขาไม่มา เขาต้องไม่อยู่ที่ฐานที่มั่นแน่ ผลไม้ชิงลัวก็ใกล้จะสุกงอมแล้ว องค์ชายสามต้องกลับมาก่อนผลไม้ชิงลัวสุกงอมแน่ ่นี้ เราต้องระวังตัวหน่อย บางทีองค์ชายสามอาจถูกฆ่าตายไปแล้ว หรือบางทีพวกเขาอาจหาเื่เราระหว่างการแย่งชิงผลไม้ชิงลัว เพราะสิ่งสำคัญที่สุดยังคงเป็ผลไม้ชิงลัว พวกเขาต้องรักษาอำนาจเพื่อต่อสู้”
“หากพวกเขามาถึง สิ่งที่ข้าจะทำต่อคือเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่ง ทุกอย่างเสมือนจริง” จุนห่าวพูดอย่างเฉยเมย บัดนี้มีความแข็งแกร่งเป็ตัวหนุน จุนห่าวก็ได้ปลดปล่อยตัวเขาเอง ไม่ต้องอดทนอีกต่อไป
จุนห่าวพูดจบ หยุดสักพักหนึ่งและพูดว่า “แต่ยังไงก็ต้องระวัง ยังไงเราก็หัวเดียวกระเทียมลีบ หากเวลานี้เราสองคนมีลมปราณขั้นสิบสองแล้วคงไม่ต้องระวัง”
“ใช่ รอให้การ่ชิงผลไม้ชิงลัวจบลง เราไปเกาะชิงหลานกันเถอะ ที่นั่นคืออาณาเขตของจักรวรรดิหั่วเหยียน อำนาจขององค์ชายสามแผ่ไปไม่ถึงที่นั่น เราคงซ่อนตัวได้สักพัก ยามนี้ยังเร็วเกินไปที่จะต่อกรกับจักรวรรดิสุ่ยเย่ว์ รากฐานของจักรวรรดิสุ่ยเย่ว์ยังฝังลึกอยู่” หานรุ่ยพูดพลางเติมไฟในกองไฟด้วยกิ่งไม้
“เสี่ยวรุ่ย ข้าขอถามเ้าอีกครั้ง ที่เ้าาเ็ในดินแดนลับครั้งนั้นเป็อุบัติเหตุจริงๆ หรือ?” จุนห่าวถามอย่างเคร่งขรึม เขาไม่คิดว่าหานรุ่ยจะเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยองค์ชายสาม เพราะยังไงหานรุ่ยก็มิได้รักองค์ชายสาม
หานรุ่ยถือกิ่งไม้ไว้ในมือแล้วโยนเข้ากองไฟ ก้มศรีษะลงอย่างคิดไตร่ตรอง แอบคิดลับๆ เขาไม่เคยบอกความจริงกับใครเกี่ยวกับการาเ็ของเขา เดิมทีเขาตั้งใจจะไม่บอกจุนห่าว เขารู้ดีว่าจุนห่าวมีความสำคัญต่อเขาเพียงใด หลังจากรู้ความจริง ต้องฆ่าองค์ชายสามแน่ เขาไม่้าลากจุนห่าวเข้าสู่สถานการณ์ที่อันตราย ทว่าวันนี้จุนห่าวได้ประกาศเป็ศัตรูกับองค์ชายสามแล้ว เช่นนั้น เขาจึงไม่จำเป็ต้องปิดบังอีก
จุนห่าวเห็นหานรุ่ยก้มศรีษะลงอย่างคิดไตร่ตรอง จึงมิได้รบกวนเขา หยิบกิ่งไม้ขึ้นมาเติมในกองไฟ ตอนนี้เขาพอจะเดาความจริงได้แล้ว
หานรุ่ยไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง เงยหน้าขึ้นมองจุนห่าว และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นั่นเป็อดีตไปแล้ว เดิมทีข้าไม่อยากแก้แค้น ยามนี้เรามี่ชีวิตที่ดี ดังนั้นข้าจึงไม่เคยบอกเ้า ความจริงแล้วข้าก็ไม่เคยบอกใคร ครั้งนั้นไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็แผนการขององค์ชายสาม เขาคิดว่าข้าคงตายในกับดักที่เขาวางไว้แน่ จึงสารภาพความจริงกับข้า คงอยากให้ข้ากลายเป็ิญญาที่รู้อะไรบ้าง! ทว่าเขาคิดไม่ถึงว่า ข้าจะหนีออกมาได้ หลังจากออกมา ข้าก็กลายเป็สวะ ข้าไม่อยากสร้างปัญหาให้แก่ตระกูล จึงปกปิดเื่นี้โดยไม่เอ่ยกับใคร บางทีองค์ชายสามก็รู้ว่าข้าคงปิดบังความจริง จึงบอกกับท่านปู่ว่าเป็เพราะข้าช่วยเขาถึงได้รับาเ็ ส่วนคนภายนอกจะพูดอย่างไร ข้าก็ไม่รู้ชัดนัก ไม่นานเราก็ยกเลิกการแต่งงาน เขาอาจคิดว่าข้าคงอยู่ได้อีกไม่นาน ดังนั้นจึงมิได้ลงมืออะไร ต่อมาท่านปู่ก็ส่งข้าไป เมื่อไม่มีข่าวคราวของข้า เดาว่าเขาคงคิดว่าข้าตายแล้ว มิฉะนั้น หากเขารู้ว่าข้ายังมีชีวิตอยู่ คงฆ่าปิดปากข้าแน่ นี่คือเหตุผลที่ข้าไม่เคยกลับไปเมืองเย่ว์เซียน”
ฟังคำของหานรุ่ยแล้ว จุนห่าวคว้าหานรุ่ยเข้ามากอดในอ้อมอกแน่ พลางมองไปทางฐานที่มั่นขององค์ชายสาม ด้วยดวงตาดำทมิฬที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังฝังลึกในกระดูก
