เย่เฟิงถูกซูเมิ่งหานเรียกจึงหันกลับไปถาม “มีอะไรอีกล่ะ?”
ซูเมิ่งหานหยิบโทรศัพท์มือถือของเธอออกมาดูที่อยู่ของบ้านคุณยายแล้วพูดอย่างเขินอาย“นายไปส่งฉันหน่อยสิ?”
“โตขนาดนี้ยังต้องให้คนไปส่ง?” เย่เฟิงขมวดคิ้ว ชัดเจนว่าเขาไม่ยินดีเท่าไร
“นาย... ฉัน... ก็ฉันไม่มีเงินเลยนี่นา” เธอจับชายกระโปรงสีขาวของตัวเองบิดไปมาขณะมองเย่เฟิงด้วยความเขินอาย จริงๆ แล้วการเงินของเธอควบคุมเข้มงวดมาก ไม่ใช่พ่อของเธอเป็ผู้หญิงตระกูลเซี่ยบังคับ
“…” เย่เฟิงถึงกับพูดไม่ออก เขาดูนาฬิกา ตอนนี้เที่ยงตรง งานแสดงสินค้าโบราณจะเริ่มประมาณหกโมงเย็นเพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องรีบ
“งั้นก็ไปกันเถอะ” เย่เฟิงไม่อยากเสียเวลาจึงรีบเรียกแท็กซี่ที่อยู่บริเวณนั้นแล้วส่งที่อยู่คุณยายของซูเมิ่งหานให้คนขับรถ
รถออกจากเมืองหลางฝางไปทางตะวันออกของเมือง มีหมู่บ้านประปราย บ้านคุณยายของซูเมิ่งหานอยู่ทางเดียวกับงานแสดงสินค้าโบราณ เย่เฟิงเบาใจเพราะตยไม่ต้องกังวลเื่เวลาไปงานอีก
ตลอดทางซูเมิ่งหานประหม่าเล็กน้อย เหตุผลแรกคือเธอจะไปเยี่ยมคุณยายหลังจากไม่ได้เจอกันนานกว่าสิบปี และอีกเหตุผลคือเธอไปพร้อมกับเย่เฟิง ครึ่งเดือนที่ผ่านมาเธอและเย่เฟิงเป็เพียงเพื่อนบ้านที่แปลกประหลาด แต่ตอนนี้เขาเดินทางกลับบ้านเกิดของเธอพร้อมกับเธอ หญิงสาวเคยเห็นความเืร้อนของเขา ถ้าเกิดอีกฝ่ายโมโหจนะเิขึ้นมา เธอคงไม่มีปัญญาห้ามปรามแน่ หลังจากเริ่มตีสนิทกับเขามากว่าครึ่งเดือน ซูเมิ่งหานก็ตัดสินใจเชื่อในตัวเย่เฟิง สิ่งสำคัญที่สุดคือชายหนุ่มไม่เคยแสดงความสนใจในตัวเธอและมักจะเพิกเฉยต่อเธอ
บางทีในสายตาของเย่เฟิง เธอก็ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น ซูเมิ่งหานคิดในใจว่าสัญชาตญาณของผู้หญิงค่อนข้างแม่นยำ จากท่าทีของเย่เฟิง เธอรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ได้พยายามหลบเลี่ยงเธอ เขาแค่ไม่สนใจเธอเลยสักนิด เื่นี้ทำให้เธอหงุดหงิดโดยไม่ได้ตั้งใจ เธอไม่มีเสน่ห์ดึงดูดขนาดนั้นเลยหรือ?
หลังจากเดินทางมาสามถึงสี่กิโลเมตร รถแท็กซี่ก็หยุดหน้าที่พักแห่งหนึ่ง เย่เฟิงจ่ายเงินแล้วบอกให้ซูเมิ่งหานลงจากรถ พวกเขามองทิวทัศน์อันสวยงามที่ทั้งกว้างขวางและสงบ บ้านและอาคารต่างๆ เรียงรายโดยมีซอยเชื่อมหากันซึ่งมีรถจอดเต็มไปหมด แสดงให้เห็นว่าการพัฒนาทางเศรษฐกิจในพื้นที่นี้ดีทีเดียว
พวกเขาถามตำแหน่งที่แน่ชัดของบ้านจากคนขับแท็กซี่ จากนั้นมุ่งหน้าไปจุดหมายของพวกเขา
“เย่เฟิง ฉันตื่นเต้นจังเลย...” ซูเมิ่งหานพูดขณะจับชายเสื้ออย่างกระสับกระส่าย
“มีอะไรให้ตื่นเต้น ก็เเค่ไม่ได้เจอกันมานาน อย่างน้อยพวกเขาก็เป็ญาติของเธอ เธอจะกลัวอะไร” เย่เฟิงส่ายหัวพลางอดคิดถึงชีวิตของเขาไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็โลกเทวะหรือโลกนี้ เขาก็ไม่เคยมีครอบครัว
ในโลกเทวะมีอาจารย์เพียงคนเดียวและในโลกนี้ ญาติของเขาก็มีแค่ปู่ผู้ลึกลับคนนั้น ครอบครัวที่สมบูรณ์นี่มันรู้สึกอย่างไรกัน? แน่นอนว่าเขาไม่รู้หรอกเพราะไม่เคยมีมาก่อน
หลังจากเดินตามเลขที่บ้านไปสักพัก พวกเขาก็มาถึงทางเข้าของลานบ้านแห่งหนึ่ง ใบหน้าของซูเมิ่งหานเต็มไปด้วยความกระวนกระวายและหวาดหวั่น เย่เฟิงกดกริ่งประตู
“นั่นใครคะ?” เสียงลนลานของหญิงวัยกลางคนดังขึ้น “มาเเล้วๆ”
เสียงผู้หญิงวัยกลางคนงั้นหรือ? เย่เฟิงเดาว่าน่าจะเป็ป้าสะใภ้ของซูเมิ่งหาน เนื่องจากตาที่เสียชีวิตไปแล้วของเธอมีลูกทั้งหมดสี่คน คนเล็กที่สุดคือแม่ของเธอ และอีกสามคนเป็ลุงของเธอ ได้ยินมาว่ายายของเธออยู่กับลุงสักคน
ไม่ช้าประตูก็เปิดออก หญิงวัยกลางคนหน้าตาอิ่มเอิบปรากฏตัวต่อหน้าทั้งสองคน เธอมองพวกเขาด้วยสายตาแปลกๆ “หนุ่มน้อยมาหาใครจ๊ะ ต้าเกินไม่อยู่หรอกนะ”
เมื่อเธอมองซูเมิ่งหานก็ค่อนข้างประหลาดใจ สักพักความอิจฉาและปรามาสก็ผุดขึ้นในแววตา ช่วยไม่ได้ เด็กสาวคนนี้ช่างสวยจนน่าอิจฉา
“หนู... หนูคือซูเมิ่งหานค่ะ” ซูเมิ่งหานลังเลเล็กน้อยก่อนถาม “คุณคือป้าของหนูใช่ไหมคะ?”
“ซูเมิ่งหานเหรอ?” หญิงวัยกลางคนทวนชื่อของเธอ เมื่อนึกออกก็ถามด้วยใบหน้าเคลือบแคลง “เธอคือซูเมิ่งหานเหรอ?”
ซูเมิ่งหานพยักหน้าซ้ำๆ กลัวว่าอีกฝ่ายจะจำเธอไม่ได้
หลังจากยืนยันได้เเล้ว หญิงคนนั้นก็ตะคอกเสียงขุ่น “ผ่านมาตั้งหลายปีเเล้ว กลับมาทำไมตอนนี้ฮะ?”
“คือหนู… หนูจะมาเยี่ยมคุณยายค่ะแล้วก็…” ขณะที่เธอพูด ป้าของเธอก็ขัดทันที
“ยายแก่คนนั้นป่วยตายไปสองสามปีก่อนแล้วล่ะ” ใบหน้าของหญิงวัยกลางคนไม่แยแสราวกับว่าคนที่พูดถึงเป็คนแปลกหน้า ทันใดนั้นก็นึกอะไรบางอย่างได้ ทำให้เธอเปลี่ยนสีหน้าเป็หวาดระแวง แล้วพูดกับทั้งเย่เฟิงและซูเมิ่งหาน “ถ้าพวกเธอไม่มีอะไรแล้วก็กลับไปเถอะ”
ที่เธอระแวงขึ้นมาก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล คนที่นี่ไม่รู้จักธุรกิจใหญ่โตของซูซิ่นชาง เพราะ่แรกเขายังต้องทำงานหนัก แม่ของซูเมิ่งหานก็ติดตามไปด้วยจนสุดท้ายเสียชีวิตในอุบัติเหตุทางรถยนต์ หลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวอีก ใครจะรู้ว่าซูซิ่นชางแต่งงานใหม่กับคนตระกูลเซี่ยแห่งเมืองเยี่ยนจิง และประสบความสำเร็จตลอดมาจนตอนนี้ซูเซิ่งกรุ๊ปได้จดทะเบียนและมีมูลค่าถึงพันล้าน! ทุกคนที่นี่ล้วนคิดว่าซูเมิ่งหานต้องใช้ชีวิตอย่างลำบากมาก ตอนนี้เธอกลับมาคงเพราะอยู่ไม่ได้แล้วเลยต้องหนีมายืมเงินนั่นเอง
“เดี๋ยวก่อนสิคะ หนูยังไม่ทันได้…” เมื่อเห็นอีกฝ่ายจะปิดประตู ซูเมิ่งหานก็กังวล เธอไม่คิดว่าป้าจะไม่ต้อนรับเธอ
“ไปซะ ฉันช่วยอะไรเธอไม่ได้หรอก” หญิงวัยกลางคนมองพวกเขาอย่างคนแปลกหน้า เธอส่ายหน้าแล้วปิดประตู ทันใดนั้นเธอเห็นใบหน้าหนึ่งปรากฎไม่ห่างจากบ้านไปนัก
“ช่วยด้วย แม่ช่วยผมด้วย…” น้ำเสียงทนทุกข์ดังมาแต่ไกล
เย่เฟิงและซูเมิ่งหานหันกลับไปพร้อมกัน เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งใส่เสื้อแขนสั้น ท่าทางอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากมากทีเดียว เขาวิ่งหนีอย่างทุลักทุเล มีชายสามคนที่ลักษณะเหมือนพวกมาเฟียวิ่งตามมา
“ไม่คืนเงินพวกเรา วิ่งหนีไปไหนก็เปล่าประโยชน์ ต่อยมัน” หนึ่งในชายสามคนท่าทางดุร้ายพูด แววตาของเขาเหี้ยมเกรียม เมื่อจับผู้ชายที่วิ่งหนีได้ก็เตะเขาอย่างแรง ชายหนุ่มคนนั้นถูกเตะจนล้มลง ขณะที่ชายอีกคนหยิบก้อนอิฐขึ้นมาตีศีรษะของเขาอย่างแรง
“ต้าเกิน ไม่นะ อย่าตี... อย่าตีเขาเลย” หญิงวัยกลางคนตื่นตระหนกมือเท้าสั่น เธอวิ่งร้องไห้ออกจากบ้านโดยไม่สนใจเย่เฟิงและซูเมิ่งหาน “ต้าเกิน แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าเล่นการพนัน ทำไมไม่ฟังกันบ้างเลย…”
“ไม่ใช่แค่การพนัน ไอ้นี่มันเล่นยาด้วย” ชายสวมเสื้อแจ็กเกตสีดำพับแขนเสื้อมองหญิงวัยกลางคนที่วิ่งเข้ามา “ป้าเป็แม่ของเ้านี่ไหม? มันติดเงินพวกเราสามแสน รีบเอาเงินมาคืนได้แล้ว ไม่อย่างนั้นเตรียมตัวรับศพมันไปได้เลย”
“สามแสน?” หญิงวัยกลางคนใตาค้าง เธอจะไปหาเงินจำนวนมากขนาดนี้มาจากที่ไหน?
“เย่เฟิง…” ซูเมิ่งหานดึงแขนเสื้อของเย่เฟิงแล้วมองเขาด้วยสีหน้าอ้อนวอน
“อีกฝ่ายไม่ยอมรับเธอ แล้วเธอยังขอให้ฉันช่วยพวกเขาอีกเหรอ?” เย่เฟิงขบขัน “ลูกพี่ลูกน้องของเธอคนนี้ไม่ใช่แค่เล่นการพนันแต่ยังเล่นยาด้วย ฉันไม่โง่พอที่จะมีเื่กับนักเลงท้องถิ่นเพื่อช่วยคนโง่แบบนั้นหรอกนะ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้