เคอโยวหรานไม่แยแสผู้เฒ่าทั้งสอง แม้พวกเขาจะถูกมิติวิเศษดีดกระเด็นจนรู้สึกเจ็บอยู่บ้าง แต่กลับไม่าเ็ถึงกระดูกและเส้นเอ็น หลังคนทั้งสองคลานขึ้นมาจะยังคงเปี่ยมกำลังวังชาเช่นเดิม
นางดึงต้วนเหลยถิงมาสำรวจบนล่าง ซ้ายขวา และนอกในหนึ่งรอบ นอกจากเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ถูกกรีดชำรุด ส่วนอื่นๆ ล้วนไม่บุบสลาย
ในที่สุดเคอโยวหรานก็วางใจแล้วดึงต้วนเหลยถิงเข้าไปในเรือนเล็กฝานหวา
หมาป่าน้อยทั้งสองตัวถูกบิดาของมันพาตัวไปแล้ว หากพวกมันอยากออกจากมิติวิเศษโดยเร็ว เช่นนั้นก็ทำได้เพียงรีบรับการถ่ายทอดให้ไวที่สุด
พ่อหมาป่าก็รับรู้ได้เช่นกันว่าเวลาของมันเหลือไม่มากแล้ว หากยังเป็เยี่ยงนี้ต่อไป
มันกังวลว่าลูกหมาป่าน้อยทั้งสองยังรับการถ่ายทอดไม่เสร็จ ตนก็ต้องจากไปเสียก่อน
หากตนสามารถสื่อสารให้ผู้เป็นายไปหาแผนที่ของมิติวิเศษได้ก็คงดี
เมื่อเป็เช่นนั้นจะได้ไม่จำเป็ต้องใช้ร่างกายเล็กๆ ของลูกหมาป่ามารับการถ่ายทอดโดยไม่ต่างกับกรอกอาหารเข้าปากเพื่อป้องกันการพังทลายของมิติวิเศษ
ทว่าน่าเสียดาย ก่อนที่การถ่ายทอดจะสำเร็จ ตนก็มิอาจส่งสารกับผู้เป็นายผ่านทางหมาป่าน้อยได้
ช่างเถิด รีบถ่ายทอดให้ลูกหมาป่าโดยเร็ว จากนั้นค่อยใช้พลังของตนแบกรับมิติวิเศษเอาไว้เพื่อยื้อเวลาให้หมาป่าน้อยกับนายท่านสักระยะหนึ่ง
เมื่อคิดเช่นนี้ พ่อหมาป่าก็พาลูกๆ ของมันวิ่งไปทางหอรับการถ่ายทอดเร็วขึ้นกว่าเดิม
ทางด้านเคอโยวหรานกับต้วนเหลยถิงที่อยู่ในหอเล็กฝานหวากลับไม่รับรู้ถึงความเสี่ยงที่มิติวิเศษจะพังทลายแม้แต่นิด
หลังต้วนเหลยถิงอาบน้ำผลัดเสื้อผ้า เคอโยวหรานก็หอบหีบไม้กฤษณาฉีหนานใบนั้นแล้วเปิดปากถามว่า
“ซานหลาง ท่านไปพบหีบไม้เต็มไปด้วยกลไกใบนี้จากที่ใด? ฝีมือประณีตยิ่งนัก หากคิดจะเปิดเกรงว่าคงยากเป็อย่างยิ่งเ้าค่ะ”
ต้วนเหลยถิงเดินเข้ามารับหีบไม้ไปจากอกของเคอโยวหราน ชายหนุ่มดึงนางให้นั่งลงบนเตียงแล้วเคาะตรงช่องลับก้นหีบหลายครั้ง
ได้ยินเพียงเสียงดังแกร๊กของกลไกกระทบกัน ตามด้วยกลไกทั้งหมดบนหีบต่างพากันเปิดออก
“นี่...” เคอโยวหรานนิ่งงันอยู่กับที่ “มิใช่กระมังซานหลาง นึกไม่ถึงว่าวิชากลไกของท่านจะ...”
เคอโยวหรานมิอาจหาคำกล่าวใดมาบรรยายความเชี่ยวชาญที่ต้วนเหลยถิงมีต่อวิชากลไก นี่มันจะผิดเพี้ยนเกินไปแล้ว!
ต้วนเหลยถิงจดจ้องหีบ น้ำเสียงของเขาแปรเปลี่ยนเป็นิ่งขรึมหลายส่วน “ไม่ใช่ว่าข้าเก่งกาจวิชากลไกมากเกินไป แต่เป็เพราะเดิมทีหีบใบนี้ก็เป็ของข้า”
เคอโยวหราน “...?”
์ ฟ้าดินกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ ออกไปข้างนอกหนึ่งหน นึกไม่ถึงว่าจะหาสิ่งของที่หายไปพบ นี่มันโชคชะตาอันใดกัน?
ต้วนเหลยถิงไม่รอให้เคอโยวหรานตกตะลึงจนเสร็จก็เริ่มบรรยายเื่ราวอันยาวเหยียดอย่างเอ้อระเหย
“โดยทั่วไปเมื่อบุรุษสกุลต้วนของพวกเราอายุสิบห้า ต่างก็แยกบ้านออกไปตั้งจวน
พ่อบ้านของข้าแซ่เริ่น ข้าเรียกเขาว่าลุงเริ่นมาโดยตลอด เขาคือคนที่ท่านพ่อมอบให้ข้า คือผู้ที่ดูแลข้าจนเติบใหญ่”
ครั้นเอ่ยถึงเื่นี้ต้วนเหลยถิงก็ชะงักเล็กน้อย จากนั้นโอบเคอโยวหรานแล้วเอนกายพิงเตียง
ชายหนุ่มกอดเคอโยวหรานไว้ในอ้อมแขนอย่างแแ่ ราวกับว่ามีเพียงการทำเช่นนี้จึงจะปลอบประโลมความเ็ปในใจของเขาได้
ความรู้สึกของเคอโยวหรานค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็หนักอึ้งตามคำบรรยายของต้วนเหลยถิง
นางรู้ว่ายามนี้สิ่งที่ต้วนเหลยถิง้าคือผู้ที่เงียบฟังเขาเท่านั้น นางจึงเอนกายพิงอกของต้วนเหลยถิงอย่างเงียบเชียบและฟังเขาบรรยายต่อไป
“่เวลาดีๆ มักไม่ยืนยาว ข้าตั้งจวนได้ไม่ถึงสองปี ภายในจวนก็เกิดความเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ข้าจึงรีบโยกย้ายทุกคนในจวนโดยเร็ว
ทว่าลุงเริ่นไม่ยอมจากไป เขาสาบานว่าจะติดตามข้าจนวันตาย ข้ารู้ว่าตนเองกับพวกท่านพี่ล้วนแต่เป็หนามยอกอกของศัตรู หากติดตามข้าแล้วยังมีชีวิตรอดก็นับว่าเคราะห์ดียิ่งนัก
ดังนั้นข้าจึงนำโฉนดที่ดินทั้งแคว้น โฉนดกิจการทั้งหมด รวมถึงทรัพย์สินที่ข้ารวบรวมเอาไว้และตั๋วเงินใส่ลงในหีบใบนี้แล้วส่งให้ลุงเริ่น เพื่อให้เขาไปหาสถานที่เร้นกาย”
ต้วนเหลยถิงสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เดิมทีข้าคิดว่าลุงเริ่นทุ่มเทแรงกายแรงใจรับใช้ข้ามานานปีถึงเพียงนี้ ชั่วชีวิตไม่มีบุตรหญิงหรือบุตรชาย
ยามแก่เฒ่าข้ายังมิอาจเลี้ยงดูเขา มิสู้มอบสิ่งของทั้งหมดนี้และส่งองครักษ์จำนวนมากคอยคุ้มกันเขา ให้ลุงเริ่นไปหาสถานที่ตั้งหลักใช้ชีวิตบั้นปลาย นับได้ว่าเติมเต็มความสัมพันธ์ฉันนายบ่าวของพวกเราแล้ว
แต่นึกไม่ถึงว่าเพื่อปกป้องหีบใบนี้ เขากลับยอมสละชีวิตของตนเอง...”
เคอโยวหรานััได้ถึงความเ็ปของต้วนเหลยถิง นางจึงซุกศีรษะเข้ากับแผงอกแกร่งเพื่อปลอบโยนเขาอย่างเงียบเชียบ
ต้วนเหลยถิงแนบชิดกับหน้าอกของเคอโยวหราน ครั้นได้ยินเสียงจังหวะหัวใจของนางก็ค่อยๆ สงบใจลง ชายหนุ่มหยัดกายลุกขึ้นแล้ววางหีบใบนั้นลงตรงกลางระหว่างคนทั้งสอง
จากนั้นหยิบข้าวของแต่ละอย่างออกมาจากหีบและเอ่ยว่า “เ้าดู นี่คือโฉนดหน้าร้านกว่าห้าร้อยแห่งทั่วทั้งแคว้น หน้าร้านเหล่านี้ล้วนแต่ปล่อยเช่าออกไป หลังจากเกิดเื่ภายในจวนก็มิได้เก็บค่าเช่ามาสองปีแล้ว
หน้าร้านเหล่านี้ล้วนแต่อยู่ภายใต้ชื่อของข้า มีหกสิบกว่าร้านในชนบทและสวนชาน้อยใหญ่ ราคามากน้อยเท่าใดข้าก็มิอาจคำนวณแล้วเช่นกัน
ส่วนโฉนดพวกนี้คือหน้าร้านในเขตรุ่งเรืองของเมืองหลวง รวมถึงลานเรือนในแต่ละเมืองโจวฝู่และอำเภอต่างๆ...”
ต้วนเหลยถิงกล่าวแนะนำทรัพย์สินของตนโดยละเอียด ทางด้านเคอโยวหรานถึงกับตกตะลึงจนพูดไม่ออกเสียแล้ว
์ นี่นางออกเรือนกับเศรษฐีงั้นหรือ? นี่มันรวยข้ามคืนแล้วกระมัง?
ไม่เอ่ยถึงเื่อื่น เคอโยวหรานรู้ว่าสถานที่เช่นเมืองหลวง นับแต่โบราณมาผืนดินแต่ละคืบล้วนมีค่าดั่งทองคำ
หากไม่มีตำแหน่ง ฐานะ และภูมิหลัง แม้อยากจะปกป้องหน้าร้านเพียงแห่งเดียวเอาไว้ยังอาจเป็ดั่งนิทานอาหรับราตรี [1] เสียด้วยซ้ำ เช่นนั้นยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการที่ต้วนเหลยถิงมีหน้าร้านตั้งมากมายถึงเพียงนี้
เมื่อคิดเช่นนี้ เคอโยวหรานจึงหรี่ดวงตาถามว่า “ซานหลาง ท่านบอกข้ามาตามตรง เมื่อก่อนท่านมีฐานะเช่นไรกันแน่เ้าคะ? แท้จริงแล้วศัตรูของท่านคือผู้ใด?”
“เฮ้อ...” ต้วนเหลยถิงถอนหายใจพลางส่ายหน้า โยวหรานของเขาช่างหลักแหลมนัก
หากสตรีอื่นเห็นทรัพย์สินเงินทองที่มากมายขนาดนี้ คาดว่าคงจะยินดีจนหาทิศเหนือไม่พบ
แต่โยวหรานกลับไม่มองข้าวของเหล่านี้แม้แต่นิดก็วิเคราะห์ได้แล้วว่าฐานะของตนไม่ธรรมดา เช่นนี้นางจะต้องฉลาดหลักแหลมถึงเพียงใดกัน?
ต้วนเหลยถิงวางสิ่งของในมือลง เปลี่ยนท่านั่งเพื่อโอบเคอโยวหรานเข้าสู่อ้อมกอดพลางเอ่ยว่า
“ข้าก็รู้อยู่แล้วว่าคงปิดบังเ้าไม่ได้ เ้ารู้หรือไม่ว่าแซ่ต้วนนี้หมายถึงสิ่งใด?”
เคอโยวหรานส่ายหน้า นางมิใช่คนพื้นเมืองของที่นี่สักหน่อย ทั้งยังมีโอกาสออกไปข้างนอกไม่มาก กระทั่งความรู้ที่มีเกี่ยวกับสถานที่ซึ่งกำลังอยู่อาศัยก็ยังน้อยเหลือเกิน
เช่นนั้นจะไปเข้าใจได้อย่างไรว่าชื่อแซ่ของที่นี่มีความหมายอันใด?
ในที่สุดต้วนเหลยถิงก็พบความรู้สึกลำพองใจอยู่บ้าง นึกไม่ถึงว่าใต้หล้านี้ยังมีสิ่งที่โยวหรานไม่รู้
เขาแต้มจูบลงบนหว่างคิ้วของนาง เปิดปากอธิบายอย่างมีน้ำอดน้ำทนว่า
“ต้วนคือแซ่แคว้น หรือก็คือมีเพียงชนบทในเขตชายแดนห่างไกลเช่นนี้ที่ไม่รู้ว่าแซ่ต้วนหมายความว่าอย่างไร ดังนั้นพวกเราจึงกล้าใช้แซ่เดิมของตนลงหลักปักฐาน”
เคอโยวหรานพลันเงยหน้าขึ้น เอ่ยด้วยความตกตะลึงว่า “ให้ตายเถิด นี่ข้าแต่งเข้าตระกูลราชวงศ์โดยไม่รู้ตัวหรือเ้าคะ?”
“หึ...” ต้วนเหลยถิงถูกท่าทางน่าเอ็นดูของนางทำเอาขบขันเสียแล้ว ครั้นทอดมองดวงตาพร่างพราวดั่งดวงดาวของนาง ความรู้สึกหนักอึ้งภายในใจก็เบาบางลงไม่น้อย
เคอโยวหรานอุทานด้วยความเศร้าสร้อย “ท่านมีฐานะเช่นไรในเชื้อพระวงศ์หรือ? สามารถเปิดเผยกับข้าได้หรือไม่? ข้าจะได้เตรียมใจเอาไว้สักหน่อยเ้าค่ะ”
ต้วนเหลยถิงปริปากเอ่ย “เสด็จปู่ของข้าคือฮ่องเต้ เสด็จพ่อของข้าคือพระโอรสลำดับที่ห้า ผู้คนต่างเรียกขานเขาว่าอี้อ๋อง”
“ให้ตายเถิด!” ใบหน้าเรียวเล็กของเคอโยวหรานยับยู่ยี่ ดวงหน้าเล็กฉายแววขมขื่นขณะพึมพำว่า
“ยิ่งฐานะสูงส่ง ความสัมพันธ์ก็ยิ่งซับซ้อน หรือก็คือยิ่งเป็ภาระและปัญหา ชีวิตอันสงบสุขของข้าหายไปทั้งเช่นนี้แล้วงั้นหรือ? ์ ท่านล้อข้าเล่นหรืออย่างไร?”