ชายชุดดำหิ้วกระต่ายอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกเล็กน้อย กระต่ายในมือหนักประมาณสี่ห้าชั่งได้ มองแล้วมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง แต่... คุณชายบ้านเขาทานอาหารประเภทเนื้อได้ที่ไหนกันเล่า ม้ามและกระเพาะอาหารของคุณชายถูกสมุนไพรต้มมานานจนละเอียดอ่อนอย่างหาอะไรเปรียบไม่ได้ไปนานแล้ว อาหารที่มีกลิ่นคาวเล็กน้อยล้วนทานไม่ได้
“ขอบใจน้องสาว ได้รับของขวัญจากน้องสาวมาหลายครั้งแล้ว พี่ชายรู้สึกอับอายขายหน้านัก ไม่มีของดีอะไรมอบตอบแทน ลูกประคำไม้จันทน์อันนี้ให้เ้า ขับไล่สิ่งชั่วร้ายเพิ่มความหอม ขจัดความกังวล” กู้อู่กล่าว เอาลูกประคำสีดำออกจากระหว่างข้อมือ ยื่นส่งไป
เจินจูตะลึงพลัน โบกมือปฏิเสธทันทีทันใด “พี่ชายกู้อู่ไม่ต้องเกรงใจ หัวไชเท้ากับกระต่ายเหล่านี้ล้วนเป็ผลผลิตของบ้านข้า ไม่มีราคาเลยสักนิด”
“ความห่วงใยของน้องสาวที่มีต่อกู้อู่จะเปรียบเทียบด้วยเงินได้อย่างไร ไม่ว่าของเหล่านี้จะราคาเท่าไร ล้วนหมายความว่าเป็น้ำใจของน้องสาว” กู้อู่กล่าวล้อเล่นครึ่งหนึ่งจริงจังครึ่งหนึ่ง “ประคำนี้ไม่ใช่ของพิเศษอะไร แล้วก็ไม่ได้ราคาสูงนัก เพียงอยู่กับข้ามาหลายปี วันนี้ให้เป็อภินันทนาการต่อเ้า หวังว่าเ้าจะไม่รังเกียจ”
“…”
เจินจูมองอย่างเงียบๆ ไม่เอ่ยเสียงออกมา ลูกประคำไม้จันทร์ในยุคปัจจุบันเคยเป็ที่นิยมอยู่พักหนึ่ง นางเคยคิดจะซื้อมาสวมใส่ ดังนั้นจึงเคยสำรวจบนอินเทอร์เน็ตมาก่อน ในยุคปัจจุบันก็ไม่นับว่าโด่งดังและล้ำค่าเป็พิเศษ แต่ราคานั่นเป็เพียงรูปแบบทั่วไป
ส่วนของชิ้นนี้บนข้อมือของกู้อู่ไม่ใช่ประคำไม้จันทร์ธรรมดาอย่างแน่นอน ชิ! คิดว่านางเป็เด็กน้อยสิบขวบจริงๆ หรือ สามารถสวมอยู่บนข้อมือคุณชายกู้มาหลายปีได้ เช่นนั้นจะเปรียบเทียบราคากับประคำไม้จันทร์ธรรมดาไม่ได้อย่างแน่นอน ตามความเคยชินของครอบครัวที่ร่ำรวยแล้ว หากไม่เป็ผู้าุโมอบให้ ก็เป็พระอาจารย์มีชื่อที่ไหนปลุกเสกให้มา สรุปแล้ว ไม่ใช่สิ่งของไร้ค่าจากปากของเขาอย่างแน่นอน
ยิ่งกว่านั้น เหมือนว่าเด็กสาวยุคโบราณจะไม่สามารถรับของขวัญจากผู้ชายตามอำเภอใจได้หรือ? ของที่รับมาและมอบให้เป็การส่วนตัว ล้วนเป็ฝ่ายหญิงที่จะถูกด่าทอกระมัง? แม้นางจะยังเป็เด็กน้อย แต่... ระมัดระวังรอบคอบหน่อยก็ดี
กู้อู่เห็นว่าเจินจูไม่ปรารถนาจะยื่นมือมาเลยแม้แต่น้อย รู้ว่าใจนางมีความกังวลอยู่ จึงจงใจกล่าวทันที “โธ่ ให้มาไม่ให้กลับเสียมารยาทนัก ในเมื่อน้องสาวรังเกียจ เช่นนั้น กู้อู่ทำได้เพียงตัดใจไม่รับน้ำใจของน้องสาวแล้ว”
เจินจูเลิกหางคิ้วขึ้นเล็กน้อย มุมปากกระตุก ในใจะโร้องด้วยความโมโห เ้าตัวดีนี่ ถูกเอาเปรียบแล้วยังอวดฉลาด หากไม่เห็นว่าใบหน้าเ้าหนุ่มนี่ท่าทางเกือบจะไปพบพญายมแล้ว ผู้ใดจะว่างมาสนใจเ้า เ้าจะไอจนตายก็ช่าง
รอยยิ้มของกู้อู่ซึมซาบเข้าสู่ดวงตา แล้วยื่นลูกประคำข้อมือส่งไปอีกครั้ง เป็ไปดังคาด เด็กสาวถลึงตาปูดใส่หนึ่งที แล้วรับไปด้วยใบหน้าไม่เต็มใจ
ชายชุดดำที่อยู่้ากลับมองอย่างตกตะลึง ประคำพวงนั้นเห็นชัดๆ ว่าเป็ฟู่เหรินไปวัดต้าเอินขอให้พระอาจารย์ฮุ่ยทงปลุกเสกมาเป็พิเศษ เพื่อขอให้อยู่เย็นเป็สุขและขจัดสิ่งชั่วร้ายโดยเฉพาะ หลายปีมานี้คุณชายสวมติดตัวอยู่ตลอด ยามนี้ ไม่นึกเลยว่าจะเอามันให้กับเด็กสาวผู้นี้?
“เอาเถิด ขอบคุณของขวัญจากพี่ชายกู้อู่ ข้าจะรักษาไว้ด้วยความระมัดระวัง” เจินจูลูบประคำเม็ดเล็กๆ ที่เรียบเนียนเป็มัน แม้ไม่ได้เข้าใกล้จมูก กลับได้กลิ่นหอมของไม้จันทน์บางๆ
แกล้งทำเป็เอาใส่ในหน้าอกเสื้อ ความเป็จริงคือใส่เข้าไปในมิติช่องว่างกลัวว่าใส่ติดมือแล้วจะหาย สิ่งของมีค่าเช่นนี้ วางไว้ในมิติช่องว่างปลอดภัยกว่านัก
“เช่นนั้น พี่ชายกู้อู่ ข้าขอไปก่อนเล่า คนที่บ้านยังรอข้าอยู่” เจินจูโบกมือ ถอยหลังไปสองสามก้าว “ตอนเย็นอย่าลืมใช้หัวไชเท้าตุ๋นกระต่ายล่ะ ดีต่อร่างกายมากนัก คุยกันแล้ว ต้องทานด้วยนะ”
เจินจูเน้นอีกครั้ง หลังจากนั้นก็หมุนกายแล้ววิ่งไป
กู้อู่มองเงาของร่างเล็กๆ ไกลออกไป ในใจมีความอบอุ่นไหลผ่านหนึ่งสาย ลมหายใจระหว่างหน้าอก ราวกับว่าฉุดรั้งความเ็ปทั้งหมดให้บรรเทาลงไปไม่น้อย ในตำบลและเมืองเล็กๆ ที่ไม่คุ้นเคยอย่างยิ่งแห่งนี้ สามารถคบหากับสหายที่อบอุ่นใจหนึ่งคนได้ เป็เื่ที่ควรค่าน่ายินดี แม้นางเป็เพียงเด็กสาวตัวเล็กๆ ก็ตาม
“คุณชาย เหตุใดท่านเอาประคำที่ฟู่เหรินขอมาให้กับผู้อื่นเล่า? นี่…นี่ตอนกลับไปฟู่เหรินน่าจะโมโห” ชายชุดดำกล่าวอย่างติดๆ ขัดๆ
กู้อู่กวาดสายตาผ่านเขา แล้วหยุดอยู่ที่กระต่ายสีเทาที่อยู่ในมือชายชุดดำ อดโค้งมุมปากขึ้นไม่ได้ “เก็บประคำไว้บนแขนข้า ผ่านไปไม่นานก็ไร้ความหมาย ไม่สู้ถือโอกาสเอามันให้กับคนที่มีวาสนาในตอนนี้ไม่ดีกว่าหรือ ส่วน มารดา…เ้าเห็นนางเคยโกรธข้าตอนไหนด้วยหรือ”
ชายชุดดำฟังกู้อู่ที่กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย อดแสบจมูกขึ้นเป็วงกว้างไม่ได้ เป็คุณชายบ้านเขาไม่ง่ายเลย แม้ฐานะจะสูงส่ง ลำดับศักดิ์ในวงศ์ตระกูลชั้นสูง แต่... ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดในจวนล้วนคล้ายกับไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลยสักนิด ที่ผ่านมานอนอยู่บนเตียงเป็เวลายาวนาน นอกจากฟู่เหรินแล้ว ผู้าุโอื่นๆ ในจวนเพียงเข้ามาเยี่ยมสักหน ทุกปีป่วยและทานยาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำเอาคุณชายระทมทุกข์จนความมีชีวิตชีวาหม่นมัวลง ไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย
เจินจูที่เพิ่งขึ้นนั่งบนเกวียน หวังซื่อก็อดถามเบาๆ ไม่ได้ “เจินจู เ้ารู้จักคุณชายผู้นั้นได้อย่างไร?”
“ท่านย่า เขาเป็คุณชายของฝูอันถัง ครั้งก่อนข้าไปซื้อฮวาเจียวที่ร้านสมุนไพรของเขาแล้วรู้จักน่ะ” เจินจูอธิบาย หูฉางหลินกับผิงอันที่อยู่ด้านข้างต่างก็หูผึ่งตั้งใจฟัง ชาวบ้านชนบทเต็มไปด้วยความทึ่งและเคารพยำเกรงต่อคนร่ำรวยที่มีเกียรติในตำบลและเมืองนัก
“เจินจู คุณชายผู้นั้นมองแล้วร่างกายไม่ดีเลย ผ่ายผอมจนรูปร่างดูไม่ได้” หูฉางหลินทั้งจูงวัวเดินไปข้างหน้าทั้งกล่าวนินทา
“อื้ม ร่างกายเขาไม่ดีนัก ป่วยมาตลอด” กู้อู่ใบหน้าขาวซีด ไม่ว่าผู้ใดต่างก็มองออกว่าเป็คนป่วยไม่สดใส
“ชิ…บ้านเขาเปิดร้านสมุนไพรใหญ่เพียงนั้น ไม่คิดเลยว่ายังป่วยอยู่ตลอด เช่นนั้นอาการป่วยของเขาต้องหนักมากเป็แน่” หูฉางหลินส่ายศีรษะด้วยความเสียดาย “เพราะอย่างนั้นจึงกล่าวได้ว่า บางครั้งมีทรัพย์สินร่ำรวยมหาศาลไม่สู้ร่างกายแข็งแรง”
“อา…” เจินจูยิ้ม ท่านลุงของนางผู้นี้ยังคงมองได้ชัดเจนนัก “ท่านลุง รีบไปเถิด เที่ยงวันแล้ว เ้าของร้านสือหลี่เซียงงานยุ่งขึ้นมาจะไม่มีเวลาสนใจพวกเรานะ”
“ใช่ ใช่ รีบไป” หวังซื่อเงยหน้ามองสีท้องฟ้า และเร่งขึ้นทันที
ดวงอาทิตย์ในหน้าหนาวหาได้ยากยิ่ง ถึงวันตลาดอีกครั้ง คนสัญจรบนถนนในเมืองขวักไขว่ หูฉางหลินหลีกเลี่ยงคนเ่าั้บนถนนด้วยความระวังแล้วเร่งจังหวะก้าวให้เร็วขึ้น หลังจากชั่วขณะ จึงเลี้ยวเข้าตรอก ถนนราบรื่นขึ้นมาทันที
ประตูหลังสือหลี่เซียงปิดไว้ไม่ได้ล็อก สามคนลงจากเกวียนวัว ผ่านหน้าประตูที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง มองเข้าไปด้านใน กลับเห็นในลานวางตะกร้าไผ่สานเรียงกันอยู่เจ็ดแปดใบบนพื้น ในตะกร้าบางใบก็เปิดอยู่ สีเขียวอ่อนท่ามกลางหน้าหนาวที่หนาวเย็นเช่นนี้ ความเขียวเตะตาอย่างหาอะไรเปรียบไม่ได้
นั่น ไม่ใช่ชิงไฉ่ฮวา [1] หรือ? นี่ฤดูหนาวที่หนาวมาก ไม่นึกเลยว่าสามารถปลูกออกมาได้สดเช่นนี้? หรือว่าในยุคนี้มีโรงเรือนผักสดอยู่ทั่วไปแล้ว?
ทุกคนมองผักสดใหม่ด้วยความประหลาดใจ ในลานมีเสียงหัวเราะเบิกบานดังขึ้น “นี่มิใช่พี่สะใภ้สกุลหูหรือ? หลานชายผู้มีเกียรติสกุลหูก็มาด้วย เร็ว เข้ามาเร็ว”
จางหย่งฝูเ้าของร้านคนที่สองของสือหลี่เซียง กำลังสั่งให้ลูกจ้างเอาผักสดที่นำกลับมา ย้ายเข้าห้องเก็บเสบียง พอเห็นกลุ่มคนสกุลหู จึงทักทายขึ้นทันที แล้วเดินออกไปเปิดประตูลานด้วยตนเอง
ประตูลานกว้างขวาง เมื่อเปิดออกสองข้าง จึงถือโอกาสจูงเกวียนวัวเข้าไป
“สวัสดีเ้าของร้านจาง มาให้การต้อนรับอีกแล้ว” หวังซื่อยิ้มแล้วทักทาย
“ไอ๊หยา พี่สะใภ้ใหญ่กล่าวอันใดกัน พวกข้าปรารถนาให้พวกท่านมาทุกวันเป็อย่างยิ่ง” เ้าของร้านจางใบหน้ายิ้มแย้ม เขายินดีต้อนรับการมาของสกุลหูอย่างจริงใจ ไม่ว่าพวกเขาจะมาขายกระต่ายหรือเห็ด หรือจะเป็อาหารแปลกใหม่อะไรก็ตามแต่
ต้องบอกว่า สูตรลูกชิ้นปลาที่ซื้อมาครั้งที่แล้ว พอเปิดตัวออกไปก็ได้รับเสียงตอบรับอย่างดี อยู่ในระดับที่ขายดีจนทำให้พวกเขาไม่คาดคิดกันเลยทีเดียว
ทันทีหลังจากนั้น จึงเผยแพร่ออกไปสาขาอื่น ก็ได้รับเสียงชมเป็เสียงเดียวกัน พาให้ป้ายร้านสือหลี่เซียงของพวกเขายิ่งโด่งดังขึ้นไปอีก
แม้โรงเตี๊ยมร้านอาหารสายอาชีพเดียวกันจะเลียนแบบ แต่ลักษณะและรสชาติล้วนสู้พวกเขาไม่ได้ ขณะนี้เอ่ยถึงลูกชิ้นปลาดีๆ ย่อมเป็สือหลี่เซียงเป็ธรรมดา
“สวัสดีท่านปู่เ้าของร้าน!” เจินจูดึงผิงอันมายืนอยู่ด้านข้างอย่างว่าง่าย
“เอ๋! สวัสดีเจินจูน้อย เด็กชายตัวน้อยคือผู้ใดกัน?” เ้าของร้านจางมองเด็กสาวตัวเล็กที่ขาวนุ่ม สักพักก็ยิ้มตาหยีจนกลายเป็รอยเย็บ
“เขาเป็น้องชายข้า นามว่าหูผิงอัน ผิงอัน ทักทายท่านปู่เ้าของร้านสิ” เจินจูตบน้องชายคนเล็กที่เกิดความกลัวเล็กน้อยเบาๆ
“สวัสดีท่านปู่เ้าของร้าน…” น้ำเสียงมีความขลาดกลัวเล็กน้อย ผิงอันเข้าเมืองเป็ครั้งแรก ในเมืองบ้านเรือนตั้งตระหง่านสูงใหญ่ เหล่าผู้คนท่าทางดูโหดร้ายน่ากลัว ทุกสิ่งล้วนทำให้เขาแปลกใจไม่หยุด แม้เ้าของร้านตรงหน้า ใบหน้าจะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่เขาใบหน้าอัปลักษณ์ดุร้ายน่ากลัวและรูปร่างสูงใหญ่ ทำให้ผิงอันที่รูปร่างเล็กหวาดกลัวเล็กน้อย
“อื้ม... สวัสดี ผิงอันน้อย ต่อไปก็มาด้วยกันกับพี่สาวเ้าบ่อยๆ สิ อีกเดี๋ยวปู่จะเลี้ยงของว่างเ้า” เ้าของร้านจางรู้ว่าตนเองไม่ดึงดูดให้เด็กเล็กชอบนัก ดังนั้นจึงใช้ของว่างและลูกอมให้เป็ประโยชน์เพื่อดึงดูดเขามากกว่า
“เ้าของร้านจาง นี่เป็กระต่ายที่เลี้ยงโตใน่นี้ของที่บ้าน มีเพียงหกตัว แล้วยังมีเห็ดแห้งที่เก็บตอนเข้าฤดูใบไม้ร่วงอีกครึ่งตะกร้า” หวังซื่อชี้ไปที่ตะกร้าไผ่บนพื้น หูฉางหลินพอเข้ามาในลานก็ย้ายตะกร้าไผ่สานลงมาจากเกวียน
“ดี ดี ทั้งหมดนี่คุยกันได้ ขณะนี้อากาศหนาวเย็น ราคากระต่ายก็สูง พวกเราล้วนคบค้ากันมานานแล้ว ราคาไม่มีทางให้พวกท่านเสียเปรียบอย่างแน่นอน ตอนนี้กระต่ายนี่อยู่ที่ชั่งละ 28 เหวิน เห็ดแห้ง 30 เหวิน หากพี่สะใภ้รู้สึกว่าพอได้ พวกเราก็มาชั่งกันเลย?” เ้าของร้านจางกล่าวอย่างรวดเร็วตรงไปตรงมา ผักสดกองใหญ่ในลานนี้ยังไม่ทันได้แยกประเภทเก็บให้ดี หากผู้มาไม่ใช่สกุลหู เขาคงต้องรอให้ยุ่งเสร็จแล้วจึงจะมาทักทาย
“ตกลง พวกเราเชื่อใจเ้าของร้านจาง ท่านธุระยุ่งนัก ให้ท่านเสียเวลามากไม่ดี” หวังซื่อย่อมไม่ได้ตาบอดขนาดนั้น
“ฮ่า ฮ่า…ไม่เสียเวลาเลย นี่ล้วนเป็เื่ที่ข้าต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว เสี่ยวลิ่ว จับกระต่ายไปชั่ง แล้วเอาตะกร้าไผ่สานมาเทเห็ดแห้งออก แล้วค่อยผ่านตาชั่ง” เ้าของร้านจางะโสั่งงานลูกจ้าง
ลูกจ้างเคลื่อนไหวรวดเร็วนัก หยิบตะกร้าใบใหญ่หนึ่งใบมาแล้วอุ้มตะกร้าเห็ดแห้งขึ้นไปเทเห็ดออก “เอ๊ะ! ช้าก่อน ข้างล่างยังมีของอยู่ เห็ดมีเพียงครึ่งเดียว อย่าเทของข้างล่างออกมาด้วยนะ” เจินจูกล่าวเตือน
หูฉางหลินเพิ่งจะนึกถึงอาหารหมักใต้เห็ดขึ้นได้ จึงรีบไปข้างหน้าช่วยเขี่ยเห็ดออก
“โอ้ เสี่ยวลิ่ว ทำช้าๆ หน่อย” เ้าของร้านจางกำชับหนึ่งเสียง หันกลับมายิ้ม “เจินจูน้อย ข้างล่างยังมีของดีอันใดหรือ?”
เจินจูเม้มปากยิ้ม เอียงศีรษะจงใจทำท่าทางลึกลับ “ท่านปู่เ้าของร้าน เป็ของดีเลย อีกเดี๋ยวท่านดูเสียหน่อยว่ารู้จักหรือไม่?”
“เป็ของดีจริงหรือ?” สายตาเ้าของร้านจางปรากฏความดีใจระคนแปลกใจ นึกคำที่เด็กสาวกล่าวครั้งก่อนขึ้นได้ บ้านพวกนางยังทำลูกชิ้นประเภทอื่นได้อีก หรือว่ารอบนี้ก็มีอีกประเภทหนึ่งแล้ว?
ไม่นานนัก เห็ดแห้งก็เทออกมาทั้งหมด เปิดกระดาษน้ำมันที่กั้นอยู่ออก อาหารหมักครึ่งตะกร้าก็ปรากฏต่อหน้าทุกคน
“นี่เป็…เนื้อรมควันหรือ?” เ้าของร้านจางเดินไปข้างหน้าไม่กี่ก้าวสังเกตอย่างละเอียด ตอนเขายังหนุ่มเคยวิ่งไปที่ต่างๆ หลายพื้นที่ ยังพอมีความเข้าใจเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมอาหารทางเหนือและใต้บ้างเล็กน้อย พื้นทีู่เาทิศตะวันตกเฉียงใต้ก็มีเนื้อรมควันคล้ายกัน สีดำๆ เหลืองๆ เต็มไปด้วยกลิ่นควันไฟ แม้ทานเข้าในปากรสชาติจะไม่เลว แต่กลิ่นรมควันกระดูกนั้นยังไม่ค่อยคุ้นเคยเลยจริงๆ
“นี่เป็เนื้อตากแห้งกับกุนเชียง ไม่ใช่เนื้อรมควัน” เป็ไปดังคาด ยังมีคนที่พบเห็นพอรอบรู้อยู่บ้าง รู้จักอาหารประเภทนี้ นี่จึงยืนยันได้ว่าอาหารหมักมีอยู่ในยุคสมัยนี้แล้ว
เชิงอรรถ
[1] ชิงไฉ่ฮวา คือ บรอกโคลี
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้