เมื่อออกจากจวนอู่เซียงโหว เหงื่อที่หลังของเหวียนหรงยังไม่แห้งดี ในตอนแรกเขาคิดว่าวันนี้ที่เขามาจวนอู่เซียงโหวก็เพื่อที่จะเชิญอู่เซียงโหวซื่อจื่อซูจื่อเฉิงไปเที่ยวเล่นกัน ใครจะคิดเล่าว่าผลที่ได้กลับเป็เช่นนี้ ในใจก็ไม่พอใจหยางหนิงยิ่งนัก แต่เื่ก็เกิดขึ้นไปแล้ว จะต่อว่าตำหนิไปก็เพียงเท่านั้น ทำได้เพียงย้ำให้หยางหนิงรักษาคำพูด เพื่อรักษาให้พวกเราทั้งสองจวนนั้นสงบสุข
หยางหนิงรู้สึกสบายใจยิ่งนัก เมื่อกลับถึงจวนจิ่นอีโหว เขาก็ไม่ได้รีบร้อนบอกเื่นี้กับคนภายในจวน
คืนนี้เขาคงจะได้พักผ่อนนอนหลับสบายใจเสียแล้ว เื่จริงก็เป็เช่นนี้ ค่ำคืนอันเงียบสงัด แต่เมื่อเวลาผ่านไปครึ่งค่อนคืน กลับได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้หยางหนิงที่หลับสนิทอยู่นั้นสะดุ้งตื่นขึ้น
เขารู้สึกอารมณ์เสียนัก ลุกขึ้นมาเพื่อที่จะใส่อารมณ์เต็มที่ แต่ได้ยินเสียงของฉีเฟิงดังขึ้น จึงเก็บอาการไว้เสียก่อน แล้วเปิดประตูออกไป เห็นฉีเฟิงสีหน้ารีบร้อนยิ่งนัก เห็นหยางหนิงเปิดประตูออกมา ก็รีบพูดว่า “ท่านซื่อจื่อ เกิด...เกิดเื่ใหญ่ขึ้นแล้ว!”
ดึกดื่นค่อนคืน กับสภาพของฉีเฟิง ทำให้หยางหนิงรู้สึกในัก แล้วก็ถามว่า “เกิดเหตุอันใดขึ้น? ฟ้าถล่มดินทลายหรืออย่างไรกัน?”
“ไม่ใช่แต่ใกล้เคียง” ฉีเฟิงพูดว่า “ท่านซื่อจื่อ โรงรับจำนำ...ไฟไหม้แล้ว”
หยางหนิงไม่ได้สติ จากนั้นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เ้าหมายความว่าอย่างไร? ไฟไหม้อะไรที่ไหนอย่างไร?”
“โรงรับจำนำ โรงรับจำนำไฟไหม้ขอรับ” ฉีเฟิงพูดด้วยความรีบร้อน “พี่ต้วนคุ้มกันฮูหยินสามไปที่โรงรับจำนำแล้ว พี่ต้วนให้ข้ามาบอกท่านซื่อจื่อ”
ในตอนนี้หยางหนิงถึงได้เข้าใจ จากนั้นก็พูดว่า “เ้าหมายถึงโรงรับจำนำของเราอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว” ฉีเฟิงแอบคิดในใจหากเป็ของคนอื่น ข้าจะรีบร้อนเช่นนี้รึ ช่างถามมาได้?
หยางหนิงรู้แล้วว่าสถานการณ์เกรงว่าจะไม่ดีแน่ จึงรีบไปหยิบเสื้อคลุมมาสวม แล้วเดินไปพลางพูดไปพลาง “โรงรับจำนำไฟไหม้ได้อย่างไรกัน? แล้วรุนแรงขนาดไหน? เ้ารีบพาข้าไปดูเดี๋ยวนี้ จริงสิ มีใครได้รับาเ็ใช่หรือไม่?”
ฉีเฟิงเดินอยู่ข้างๆ หยางหนิง แล้วพูดว่า “คนทางนั้นเพียงส่งคนมาแจ้งข่าว ว่าไฟไหม้โรงรับจำนำ ตอนนี้สถานการณ์เป็อย่างไร ข้าน้อยไม่อาจทราบรายละเอียดมากนัก”
ฉีเฟิงได้ให้คนไปเตรียมม้าเอาไว้ที่หน้าประตูจวนแล้ว เมื่อออกจากจวน จะได้ไม่เสียเวลามากนัก ฉีเฟิงขี่ม้านำหยางหนิงออกไป หยางหนิงกับองครักษ์อีกสองคนขี่ม้าตามฉีเฟิงไป
ม้าวิ่งราวกับบิน ไม่นานหยางหนิงก็เห็นท้องฟ้าที่กลายเป็สีแดงมาจากไกลๆ เขารู้ในทันทีว่านั้นก็คือไฟ จึงรีบควบม้าไป เมื่อถึงทางแยก จึงเห็นไฟลุกโชนขึ้น มีหลายคนที่กำลังช่วยกันดับไฟ
หยางหนิงเห็นดังนั้น ก็ตะลึงใไปชั่วขณะ ไฟไม่ได้ไหม้แค่ห้องสองห้อง มันกำลังลามไปทั่วตึกโรงรับจำนำนั้น ตอนนี้มันได้เผาไหม้บ้านไปแล้วกว่าหกเจ็ดห้อง
หยางหนิงลงจากหลังม้า แล้วรีบเดินเข้าไป ท่ามกลางเปลวไฟที่ลุกโชน เห็นเงาของกู้ชิงฮั่นยืนอยู่ จึงเดินเข้าไปหา ไฟส่องจนหน้าของกู้ชิงฮั่นกลายเป็สีแดง ร่างกายของนางสั่นไปทั้งตัว หยางหนิงจึงเรียกนางเบาๆ “ฮูหยินสาม...!”
กู้ชิงฮั่นหันหน้าไปมองหยางหนิง สีหน้าของนางดูเศร้าสลด นางเริ่มยืนไม่ไหว มือข้างหนึ่งของนางพาดอยู่ที่หน้าอกของหยางหนิง สีหน้าเคร่งเครียดและเศร้ายิ่งนัก ราวกับว่านางกำลังจะล้มลง หยางหนิงเดินขึ้นเข้าไปพยุงตัวนางเอาไว้ พูดด้วยความใ “ฮูหยินสาม ฮูหยินสาม ท่านไม่เป็ไรใช่หรือไม่?” เห็นกู้ชิงฮั่นกัดฟัน คิ้วขมวด ถึงแม้ไฟมันจะร้อนแรง แต่สีหน้าของนางกลับซีดขาวจนน่ากลัว
ตอนนี้เองต้วนชางไห่จึงรีบเดินเข้ามา พูดด้วยความใว่า “ฮูหยินสามท่านเป็อย่างไรบ้าง?”
ฉีเฟิงรีบะโขึ้นมาว่า “รีบไปตามหมอมาเร็ว”
ต้วนชางไห่รีบเข้ามา แล้วพูดว่า “ขออภัยที่ต้องล่วงเกิน!” จากนั้นก็ยืนมือไปตรวจชีพจรของกู้ชิงฮั่น ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “รีบไปตามหมอมาเร็ว!”
“ข้ารอไม่ได้แล้ว” หยางหนิงกลับส่ายหน้าแล้วพูดว่า “โรคของฮูหยินสามคือโรคหัวใจ โรคนี้จะรอไม่ได้ ขอข้าลองดูหน่อย”
ต้วนชางไห่กับฉีเฟิงต่างก็ใ ฉีเฟิงอดไม่ได้ที่จะถาม “ซื่อจื่อ ท่าน...ท่านรักษาโรคเป็ด้วยรึ?” ในใจก็เกิดความสงสัยเป็อย่างมาก กลัวว่าหยางหนิงรักษาไม่ได้ จะเสียเวลาเอาได้
หยางหนิงรักษาโรคไม่ได้ แต่ทว่าเคยเจอคนที่เกิดเหตุฉุกเฉินอยู่บ่อยครั้ง จึงพอจะรู้อยู่บ้าง คนที่โรคหัวใจกำเริบเป็อาการที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด หยางหนิงจึงพอจะรู้วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้ เขายื่นมือไปจับที่ชีพจร ต้วนชางไห่กับฉีเฟิงมองหน้ากัน ในใจก็คิดว่าซื่อจื่อตรวจชีพจรเป็ด้วยหรือ?
หยางหนิงพอตรวจชีพจรได้บ้าง แต่ว่าหากให้วินิจฉัยโรคเกรงว่าจะไม่ได้
การตรวจชีพจรวินิจฉัยโรคจะบอกว่าง่ายก็ไม่ใช่ เพราะมันคือกลวิธีเฉพาะทางขั้นสูงของ ต่อให้อยู่ในยุคของหยางหนิง หมอเชี่ยวชาญที่ตรวจชีพจรนั้นก็ใช่ว่าจะมีมากนัก
การที่หยางหนิงตรวจชีพจร ไม่ใช่เพื่อรักษาโรค แต่้าหาจุดซีเหมินบนมือของกู้ชิงฮั่น จุดซีเหมินคือหนึ่งในจุดชีพจรที่มือ อยู่บริเวณด้านข้างแขน หยางหนิงรู้ว่า การกดไปที่จุดตรงหัวใจ จะสามารถลดความดันของหัวใจและเพิ่มการไหลเวียนของเืได้
จริงๆ แล้วความรู้เื่การปฐมพยาบาลเบื้องต้นนั้นไม่ใช่เื่ซับซ้อนอะไรมากนัก คนที่จะรู้เื่จุดชีพจรจุดไหลเวียนของเืนั้นมีไม่มากนัก ดังนั้นมันเป็เื่ที่ซับซ้อนยิ่งนัก
หยางหนิงเคยเรียนเื่จุดชีพจรในร่างกายและโครงกระดูกต่างๆ ตอนที่ได้เรียนเื่ชีพจร จึงพอรู้วิธีประถมพยาบาลเบื้องต้น
ความดันหัวใจสูงขึ้นทำให้วิงเวียนเป็ลม เป็อาการที่พบได้บ่อย อาการดูออกง่ายมาก หยางหนิงเห็นกู้ชิงฮั่นมีอาการหัวใจกำเริบ เขารู้เลยว่านี่คืออาการของคนที่มีความเครียดความกดดันมากเกินไป ตอนนี้เขาใช้นิ้วโป้งของเขากดเข้าไปที่จุดซีเหมินของกู้ชิงฮั่น มือขวาจับไปที่มือของนาง นิ้วโป้งซ้ายที่กดหมุนไปมา มือขวากดออกนอก การทำเช่นนี้ในสายตาของพวกต้วนชางไห่แล้ว มันดูแปลกมาก พวกเขามองหน้ากัน ในใจรู้สึกสงสัยหยางหนิงยิ่งนัก
เพียงแค่กดไปกดมาสิบกว่าครั้ง ก็เห็นริมฝีปากของกู้ชิงฮั่นเริ่มมีเืฝาด นางค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา หยางหนิงยังไม่หยุด ยื่นมือไปกดที่จุดเน่ยกวนที่มือของกู้ชิงฮั่นอีก กดเบาๆ อยู่หลายครั้ง กู้ชิงฮั่นก็ไอออกมา ในที่สุดก็ลืมตาขึ้นมา มองไปรอบๆ
ต้วนชางไห่กับฉีเฟิงดีใจมาก ตอนนี้ไม่สงสัยในตัวของหยางหนิงอีกต่อไปแล้ว ในใจรู้สึกชื่นชมเขายิ่งนัก
“หนิงเอ๋อ...!” นางพิงอยู่ในอ้อมกอดของหยางหนิง กู้ชิงฮั่นยิ้มอย่างขมขื่น “โรงรับจำนำถูกไฟไหม้หมดแล้ว มัน...เฮ้อ เป็ความผิดของข้าเอง...!”
หยางหนิงพยุงกู้ชิงฮั่นขึ้นมา แล้วพูดด้วยความอ่อนโยนว่า “ฮูหยินสาม โรงรับจำนำไฟไหม้ มันเป็เหตุสุดวิสัย ไม่มีผู้ใดคาดการณ์ได้ มันจะเกี่ยวกับท่านได้อย่างไร?” เห็นคนที่มาช่วยดับไฟก็มีไม่น้อย อาจจะเป็ชาวบ้านที่ใตื่นขึ้นมาจึงมาช่วย ตอนนี้ยังมีเ้าหน้าที่ของทางการมาร่วมด้วย
ต้วนชางไห่เห็นกู้ชิงฮั่นปลอดภัย จึงสั่งให้คนช่วยดับไฟต่อไป คนยิ่งมากยิ่งมีกำลัง ถึงแม้ไฟจะไหม้แรงเพียงใด แต่ทุกคนต่างร่วมแรงร่วมใจ ทำให้ไฟมอดไปไม่น้อย
หยางหนิงเห็นไฟไหม้บ้านไปแล้วกว่าห้าหกหลัง สูญเสียไปไม่น้อย จึงขมวดคิ้วขึ้นมา ในเวลานี้เอง ก็เห็นคนคนหนึ่งเดินมาจากท่ามกลางฝูงคน อายุน่าจะเกินห้าสิบ สีหน้าของเขาดูจริงจังยิ่งนัก ตอนนี้เสื้อผ้าของเขายับยู่ยี่ไปหมด คนคนนั้นมองไปที่หยางหนิง ก็พลันใ แต่ยังคงเดินเข้ามา แล้วมาคุกเข่าตรงหน้าหยางหนิง
คนคนนี้อยู่ดีๆ ก็เดินมาคุกเข่าลง หยางหนิงจึงใ จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของเขา “ข้าน้อยไร้ประโยชน์ ซื่อจื่อ โรงรับจำนำไฟไหม้ เป็เพราะข้าน้อยประมาทขาดความรอบคอบ ท่าน...ท่านฆ่าข้าน้อยเสียเถอะ”
หยางหนิงยังไม่ทันพูดอะไร กู้ชิงฮั่นจึงเดินเข้ามา แล้วพูดว่า “ท่านผู้ดูแลสวี ท่านลุกขึ้นมาเถิด!”
ผู้ดูแลสวีคุกเข่าร้องไห้ไม่ยอมลุกขึ้น แล้วพูดว่า “ข้าน้อยได้รับความไว้วางใจจากท่านแม่ทัพและฮูหยินสาม ดูแลโรงรับจำนำมามากกว่าสิบปี ครั้งนี้เป็หายนะครั้งใหญ่ ต่อให้ข้าน้อยมีสิบชีวิตก็ชดใช้มิได้ ฮูหยินสาม ซื่อจื่อ ข้าน้อย...ข้าน้อยไม่มีหน้าจะมีชีวิตต่อไปอีกต่อแล้ว...!” เขาคุกเข่า จากนั้นก็โขกศีรษะกับพื้นอย่างเต็มแรง
หยางหนิงรู้ผู้ดูแลสวีน่าจะเป็ผู้ดูแลโรงรับจำนำ เห็นเขาโขกศีรษะ หากไม่ห้ามเขาตอนนี้ ตาเฒ่านี่จะต้องหัวแตกตายแน่นอน ก็เลยยื่นมือไปพยุงเขาขึ้นแล้วพูดว่า “ยังไม่ได้สอบสวนอันใดเลย เื่เป็มาอย่างไรก็ไม่อาจทราบได้ ท่านจะรีบตายไปไหนกัน?”
น้ำตาอาบหน้าผู้ดูแลสวี ตัวสั่นไปทั้งตัว
“เหตุใดเป็อย่างนี้?” เสียงรีบร้อนของพ่อบ้านชิวดังขึ้นมา หยางหนิงหันกลับไปดู เห็นพ่อบ้านชิวเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ “อยู่ดีๆ เหตุใดถึงได้เกิดไฟไหม้รุนแรงมากถึงเพียงนี้ได้?”
สีหน้าของพ่อบ้านชิวก็ไม่ค่อยดีนัก จากนั้นก็เดินขึ้นเข้ามา จ้องไปที่ผู้ดูแลสวีที่ร้องไห้ไม่หยุด จากนั้นก็ถามเชิงตำหนิว่า “เหล่าสวี นี่มันเกิดเหตุใดขึ้น? ต้นเพลิงนี้มาจากที่ใดกัน มาจากคนอื่น หรือมาจากร้านของพวกเรา?”
หยางหนิงคิดในใจว่าพ่อบ้านใหญ่ก็คือพ่อบ้านใหญ่ ถามคำถามเดียวโยงเข้าประเด็นหลักเลย
เพลิงไหม้บ้านไปห้าหกหลัง หากมาจากบ้านอื่น ต่อให้โรงรับจำนำของตระกูลฉีจะถูกไหม้ หลังจากประมาณค่าเสียหายแล้ว ก็จะได้ค่าเสียหายจากคนอื่นมาด้วย ถือว่าไม่เสียหายอะไรมากนัก
แต่หากว่าต้นเพลิงมาจากโรงรับจำนำของตระกูลฉี ถ้าเป็เช่นนั้นผลลัพธ์ที่ตามมานั้นก็แทบไม่กล้าจะคิด ไม่ต้องพูดถึงว่าโรงรับจำนำเสียหายเท่าไหร่ ถึงเวลานั้นร้านค้าที่ถูกไฟไหม้เสียหายไปก็จะต้องมาที่จวนจิ่นอีโหวเพื่อเรียกร้องให้ทางจวนชดใช้ค่าเสียหาย ทางจวนจิ่นอีโหวเองก็เริ่มเข้าสู่สภาวะที่ยากลำบาก
สถานการณ์ทางการเงินของจวนจิ่นอีโหวในตอนนี้ไม่ค่อยดีนัก งานศพของฉีจิ่ง ใช้จ่ายไม่น้อยเลย ตอนนี้ยังค้างเงินกับธนาคารอีก ที่ผ่านมา สถานะทางการเงินของจวนก็ไม่ถือว่าแย่ ยังพอมีโอกาสพลิกฟื้นกลับมาได้ แต่ว่าหากตอนนี้มีหนี้ไฟไหม้ที่ต้องชดใช้เพิ่มขึ้นมาอีก มันถือว่าเป็ความหายนะที่อาจจะถึงชีวิตของจวนจิ่นอีโหวเลยก็ว่าได้
กู้ชิงฮั่นสนใจประเด็นนี้ยิ่งนัก นางจ้องไปที่ผู้ดูแลสวี เพื่อรอคำตอบจากปากของผู้ดูแลสวี
ผู้ดูแลสวีร้องไห้แล้วตอบว่า “ฮูหยินสาม พ่อบ้านชิว ต้นเพลิง...ต้นเพลิงมาจากโรงรับจำนำของพวกเราขอรับ... !”
หยางหนิงได้ฟังอย่างนั้นแล้วก็พลันเกิดความเครียดขึ้นมา พ่อบ้านชิวสีหน้าหนักใจ สีหน้ากู้ชิงฮั่นเริ่มเปลี่ยนไป ถอนหายใจเบาๆ แล้วส่ายหน้าผิดหวังเป็อย่างมาก
“มีหลายหลังที่อยู่ติดกับร้านของเราทางใต้” หยางหนิงค่อยๆ พูดขึ้นมาว่า “คืนนี้ลมทางเหนือแรงมาก เปลวไฟที่ปลิวอยู่นั้น ก็ปลิวไปทางทางใต้...!” เขาขมวดคิ้วแล้วพูดต่อว่า “โรงรับจำนำสร้างจากไม้ ตอนนี้มันเข้ากลางฤดูใบไม้ผลิ อากาศแห้งแล้ง มันเป็่ที่อันตรายยิ่งนัก... !”
สถานการณ์ไฟในตอนนี้เบาลงมากแล้ว ในขณะที่ดับไฟ เพื่อไม่ให้ไฟพัดต่อไปร้านทางใต้อีก ดังนั้นจึงต้องเริ่มดับไฟจากทางใต้ขึ้นมา เพื่อตัดการลุกลามของเปลวเพลิง
แต่เพราะเช่นนี้ ร้านที่เสียหายมากที่สุดก็คือโรงรับจำนำของตระกูลฉี ทั่วทั้งร้าน ไหม้จนแทบไม่เหลืออะไรเลย เหลือแต่ซากให้พวกเราเห็นเพียงเท่านั้น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้