"ฉลองเทศกาลเดือนห้าแล้ว พรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทาง"
เหลียนเซวียนมองเซวียเสี่ยวหรั่น ใช้สายตาถามความคิดเห็นของนาง
"ได้สิ แต่ว่ารถม้าเล่า? ต้องไปจ้างที่เมืองยงหนิงหรือไม่"
รถม้าจากเมืองลู่ิย่อมเป็ของแคว้นหลี ไม่รู้จะผ่านไปได้หรือไม่
"เื่เหล่านี้เ้าไม่ต้องเป็ห่วง พวกเหลยลี่จัดการได้"
ตลอดการเดินทางั้แ่ขู่หลิ่งถุนเป็ต้นมา นางต้องเป็กังวลสารพัดทั้งเื่อาหารและเครื่องนุ่งห่ม ลำบากนางแล้ว เหลียนเซวียนมองเซวียเสี่ยวหรั่นด้วยแววตาละมุนละไมดุจสายลม
เซวียเสี่ยวหรั่นเหลือบมองคนสองคนที่ดูเหมือนเสาใหญ่สองต้นตรงขั้นบันไดชั้นล่าง
ประเสริฐ ไม่ต้องให้เธอวุ่นวายใจเป็ดีที่สุด
"สุขภาพของหงกูเป็อย่างไรบ้าง" เหลียนเซวียนมองเหลยลี่
"ดื่มยาแล้ว พักสักครึ่งวันคงค่อยทุเลา หงกูบอกว่า่บ่ายจะมาคารวะนายท่านขอรับ"
องค์ชายยังไม่อาจเปิดเผยฐานะ เหลยลี่จึงเปลี่ยนคำเรียกใหม่
เซวียเสี่ยวหรั่นได้ยินพวกเขาคุยกันอย่างสนิทสนม ก็มองซ้ายมองขวาด้วยสายตาเคลือบแคลง
"ทำไมรึ" เหลียนเซวียนหันมา เห็นั์ตานางเหมือนจะมีคำถาม
"พวกเขาลอบเข้ามาั้แ่เมื่อคืนใช่หรือไม่"
เซวียเสี่ยวหรั่นยื่นหน้าเข้ามาใกล้พลางกระซิบถาม นางนึกถึงเมื่อเช้าที่ประตูห้องเขาปิดสนิท
สายตาที่หลุบลงมาผุดแววยิ้ม "อ้อ เ้ารู้ด้วยรึ"
เซวียเสี่ยวหรั่นกลอกตาใส่เขา "คนไม่ได้เจอกันมาครึ่งปี ครั้งแรกที่พบกัน จะนิ่งเฉยเพียงนี้หรือ"
เห็นเธอโง่นักหรือไง
เหลียนเซวียนเห็นไรผมเล็กๆ ตรงหน้าผากของนางชี้ฟู ก็อดใจไม่ไหว คิดจะเอื้อมมือออกไปลูบให้มันเข้าที่
แต่พอยื่นมือไปได้ครึ่งทาง นึกขึ้นได้ว่าเหลยลี่กับฟางขุยยังยืนเป็เทพประจำประตูอยู่
ครั้นแล้วก็เปลี่ยนทิศทางมาเป็ลูบไรผมที่หน้าผากของตนเอง
"แฮ่ม พวกเ้าไปเตรียมการเดินทางวันพรุ่งนี้"
"ขอรับนายท่าน" เหลยลี่กับฟางขุยพยายามซ่อนงำความตื่นตระหนกบนใบหน้า ก่อนถอยออกไป
นี่หรือคือองค์ชายเจ็ดของพวกเขา องค์ชายผู้มักวางตัวเฉยชา ไม่แยแสต่อสิ่งใดเสมอมา
พวกเขาเห็นเต็มสองลูกตา พระเนตรของพระองค์ฉายแววยิ้ม
มิหนำซ้ำยังเป็ยิ้มที่อ่อนโยนมากอีกด้วย
ยามเดินไปถึงประตูโค้งตรงลานสวน ยังหันกลับมามองด้านหลังพร้อมกัน
เงาร่างหนึ่งสูงหนึ่งเตี้ยอยู่ใกล้ชิดกันมาก ทุกอากัปกิริยาเห็นชัดว่าสนิทสนมกันอย่างกลมกลืนเป็ธรรมชาติ รอยยิ้มจากพระเนตรขององค์ชายแม้อยู่ไกลเพียงนี้ยังเห็นอย่างชัดเจน
"หัวหน้า ข้าเพิ่งเคยเห็นองค์ชายแย้มพระสรวลอ่อนโยนเช่นนี้เป็ครั้งแรก"
บิดาก็เพิ่งเคยเห็นเป็แรกเหมือนกับเ้านั่นแหละ เหลยลี่รีบรั้งสายตากลับ ถ้าถูกองค์ชายเห็นเข้า พวกตนจะถูกจัดการอย่างไรก็สุดคะเนได้
"รีบไป นินทาองค์ชายลับหลัง คิดว่าชีวิตสุขสบายเกินไป ถึงอยากหาเื่ใส่ตัวนัก"
"โธ่ หัวหน้า ก็ไม่ได้มีแค่พวกเราสองคนเสียหน่อย องค์ชายหกอภิเษกสมรสแล้ว อีกไม่ช้าก็ถึงคราองค์ชายของพวกเราบ้าง"
ฟางขุยกับเหลยลี่ทำงานร่วมกันมาหลายปี ทั้งสองจึงสนิทสนมกันราวกับพี่น้องคลานตามกันมา
"เื่เหล่านี้องค์ชายทรงตัดสินพระทัยได้เอง พวกเราปฏิบัติหน้าที่ของตนเองให้ดีก็พอ"
เหลยลี่นึกถึงหวงกุ้ยเฟยผู้เป็ดั่งพยัคฆ์ร้ายจิตใจอำมหิตผู้นั้น ก็ปวดเศียรเวียนเกล้า องค์ชายทรงเคราะห์ร้ายเหลือเกิน
"ท่านไม่ได้นอนทั้งคืนเลยละสิ?"
พอองครักษ์สองคนนั้นไปแล้ว เซวียเสี่ยวหรั่นก็หันมาถาม
"เปล่า"
เหลียนเซวียนมองหน้าผากน้อยๆ เบื้องหน้า เห็นไรผมเล็กๆ ชี้ฟูขึ้นมาก็รู้สึกรำคาญตา ในที่สุดอดใจไม่ไหว ยื่นมือออกไปลูบมันลง
"เอ๊ะ ท่านทำอะไรน่ะ?" เซวียเสี่ยวหรั่นตกตะลึง ยกมือขึ้นลูบไรผมที่หน้าผากของตนเอง "นี่เป็ผมที่เพิ่งขึ้นใหม่ ยังไม่ยาวพอที่จะเกล้าขึ้นได้"
"มันชี้ขึ้นมาอีกแล้ว" พอกดลงไปมันก็ตั้งชี้ขึ้นมาอีก เหลียนเซวียนยิ้มมุมปาก
มือใหญ่วางอยู่เหนือหน้าผากของนาง เซวียเสี่ยวหรั่นเหลือบตาขึ้นมองก็อดขำไม่ได้ "ชี้ก็ชี้ไปสิ ท่านกดมันเดี๋ยวมันก็ตั้งขึ้นมาอีก รอไว้ยาวก่อนสามารถรวบขึ้นได้ก็ไม่ชี้ฟูแล้วล่ะ"
เซวียเสี่ยวหรั่นไม่นำพา แต่เหลียนเซวียนกลับระคายตา "มีคนบอกว่า ผู้ที่ผมชี้ฟูเป็คนนิสัยดื้อรั้น"
เขาย่อมไม่ปรารถนาให้นางเป็ลาหัวดื้อ
คำพูดที่เขาโพล่งออกมาประโยคนี้ เซวียเสี่ยวหรั่นได้ยินแล้วก็อึ้งงัน "ใครเป็คนพูด? วาจาเชื่อถือไม่ได้เช่นนี้มาจากไหนกัน"
ใครเป็คนพูด... ก็ศิษย์พี่ผู้ไม่น่าเชื่อถือของเขาเองนะสิ เหลียนเซวียนนึกแล้วยังอดขำไม่ได้
"แฮ่ม วันนี้วันตวนอู่ เ้าอยากออกไปเดินเล่นหรือไม่"
เขาวางมือลง แต่สายตายังคงจ้องไรผมชี้ฟูเ่าั้อย่างมันเขี้ยว
"ไม่ไป ควรต้องจัดเก็บสัมภาระแล้ว พรุ่งนี้ออกเดินทางแต่เช้ามิใช่หรือ"
จัดเก็บสัมภาระเรียบร้อย ก็อาบน้ำให้สะอาดเพื่อสุขอนามัย ปรกติการเดินทางก็มักต้องตั้งกระโจมค้างแรมข้างนอก จะหาที่อาบน้ำล้างหน้าก็ลำบากยิ่ง
"อื้อ ไม่ไปก็ไม่ไป เทศกาลตวนอู่ปีหน้า ข้าจะพาเ้าไปดูแข่งเรือั" เขายังจดจำคำพูดของนางไว้ในใจ
"เอาสิๆ ท่านรับปากแล้วต้องจำไว้ด้วยล่ะ" เซวียเสี่ยวหรั่นรีบผงกศีรษะ ไม่ว่าอย่างไรการแข่งขันเรือัก็ยังน่าสนใจมากสำหรับเธอ
"ข้าย่อมจำได้อยู่แล้ว" เหลียนเซวียนยื่นมือมากดไรผมของนางอีก
"โธ่เอ๊ย... เลิกกดเสียทีเถอะ ท่านเป็โรคย้ำคิดย้ำทำหรือไงกันนะ" เซวียเสี่ยวหรั่นถอยออกมาสองก้าว ย่นจมูกพลางขึงตาใส่เขา "ข้าจะกลับห้องไปเก็บของ อาเหลย ไปกันเถอะ"
หลังเรียกอาเหลยแล้วก็หมุนตัวกลับไปที่ห้อง เขาจะได้ไม่ต้องรำคาญตากับไรผมของเธอ
ดูเหมือนว่าัันุ่มนวลยังคงทิ้งไว้อยู่ที่กลางฝ่ามือ เหลียนเซวียนเอามือไพล่หลัง ยืนอยู่หน้าระเบียงไม่ขยับไปไหนเป็เวลานาน
ขณะที่หงกูมาถึงก็ใกล้ยามเซินแล้ว [1] ภายในเรือนหลังน้อยกำลังครึกครื้นได้ที่
"เ้าอย่าดูแค่ว่าหม้อใบนี้ใช้จนดำปี๋ แต่มันเป็ของที่เหลียนเซวียนทำเองกับมือเชียวนะ ดินข้าเป็คนขุด แต่เขาเป็คนปั้น ใบที่ร้าวไปแล้วของข้าเอง ส่วนใบที่เขาทำ ถึงตอนนี้ยังใช้ได้ดีอยู่เลย
"แต่คุณชายบอกว่าองครักษ์เหลยจัดเตรียมเครื่องครัวไว้ครบครันแล้ว ของเหล่านี้ไม่ต้องใช้"
"ถึงอย่างนั้นก็ทิ้งไม่ได้ เก็บไว้เผื่อใช้ภายหลัง ส่วนพวกชามกับตะเกียบเ่าั้ก็อย่าทิ้ง วันหน้ายังใช้ได้อีก"
"พี่สาว พัดใบจากกับเบาะรองนั่งก็ต้องเอาไปด้วย ระหว่างทางอากาศร้อน"
"อื้อ เอาไปสิ ซื้อมาใช้ไม่กี่ครั้งเอง ต้องเอาไปอยู่แล้ว"
"..."
เรือนไม่ใหญ่มาก จึงมีแต่เสียงคนลั่นไปหมด สีหน้าของหงกูตะลึงพรึงเพริด นางได้ยินจากปากของเหลยลี่กับฟางขุยมาบ้าง ถึงสถานการณ์ขององค์ชายใน่เวลาที่ผ่านมา องค์ชายทรงถูกพิษพลัดเข้าไปอยู่ในป่า ได้รับความช่วยเหลือจากสตรีแปลกหน้าคนหนึ่ง
นางมีน้องชายหนึ่งคน สาวใช้หนึ่งคน แล้วก็ลิงอีกตัว และจะติดตามไปยังเมืองหลวงด้วย
แม้หงกูยังไม่เคยพบสตรีผู้นี้ แต่ฟังความหมายจากปากของสองคนนั้น องค์ชายทรงให้ความสำคัญกับสตรีนางนี้เป็อย่างยิ่ง
หงกูเกิดความคิดมากมาย ขณะเดินตามหลังเหลยลี่เข้าไปในห้องรับแขก
"องค์ชาย หงกูมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ" เหลยลี่รายงาน
เพียงเห็นเงาร่างที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ขอบตาของหงกูก็เริ่มแดง
"ตึง" เสียงเข่ากระทบพื้น
"องค์ชาย... ทรงลำบากแล้ว"
สิ้นคำน้ำตาก็พรั่งพรูออกมา หงกูไม่กล้าเปล่งเสียงร้อง องค์ชายไม่โปรดคนอ่อนแอที่ชอบร้องไห้คร่ำครวญ
"น้าหงลุกขึ้นเถอะ ร่างกายดีขึ้นหรือยัง" พอเห็นดวงหน้าซีดเซียวของหงกู คิ้วหนาของเหลียนเซวียนก็ย่นเข้าหากันเล็กน้อย
"ขอบพระทัยองค์ชายที่ทรงเป็ห่วง สุขภาพของบ่าวไม่มีปัญหาแล้วเพคะ" หงกูรู้สึกกระดากเล็กน้อย
หลังได้ข่าวขององค์ชาย นางตื่นเต้นเกินไป ไม่ได้หลับดีๆ ต่อเนื่องหลายวัน ประกอบกับการเดินทางเร่งรีบ ไม่ทันระวังจึงล้มป่วย
...
[1] ยามเซิน คือ่เวลาระหว่าง 15.00-16.59