เมิ่งเจียนเจียถูกบังคับให้เงยหน้าขึ้นเผชิญหน้ากับชาวบ้านทั้งหมด หนังศีรษะของนางเจ็บแปลบราวกับถูกเข็มทิ่มแทง นางหน้าซีดขาวและกรีดร้องโหยหวนอย่างอดไม่ได้
นางเย่โกรธจัด "เมิ่งอู่!"
เมิ่งอู่เหลือบมองนางเย่ด้วยสายตาเ็าก่อนกล่าว "ท่านป้าสะใภ้ใหญ่อย่าตระหนก ดูคล้ายหนังศีรษะนี่จะเป็ของจริง"
จากนั้นเมิ่งอู่ก็เอื้อมมือไปบีบกรามของเมิ่งเจียนเจีย บีบจนกรามของนางแทบหลุด เมิ่งเจียนเจียเ็ปจนพูดไม่ออก น้ำตาไหลจากหางตา
เมิ่งอู่บิดมือทั้งสองข้างของนางไพล่หลัง ควบคุมนางไว้ด้วยมือเดียว ออกแรงมากจนเมิ่งเจียนเจียขัดขืนไม่ได้ ได้แต่ต้องทนรับเท่านั้น
เมิ่งอู่ตรวจสอบใบหน้าเมิ่งเจียนเจียอย่างละเอียดดุจกำลังพิสูจน์หน้ากากหนังมนุษย์จริงๆ นางลูบไล้ไปตามไรผมของอีกฝ่าย ไม่รู้ว่าดึงผมของนางหลุดไปกี่เส้นแล้ว จากนั้นเมิ่งอู่ก็ออกแรงดึง
เมิ่งเจียนเจียกรีดร้องลั่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
นางเย่สั่นเทิ้มไปทั้งตัว ไม่ว่าอย่างไรก็จะพุ่งเข้ามาหา
เมิ่งอู่กล่าวเนิบช้า "ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ใจเย็นๆ เดิมข้าแค่อยากจะตรวจสอบ แต่หากท่านพุ่งเข้ามา แล้วข้าใ มือข้าอาจจะพลาดไปฉีกหน้าของนางออกเป็ชิ้นๆ ก็เป็ได้เ้าค่ะ”
นางเย่จำต้องหยุด กัดฟันกรอดก่อนเอ่ย “เ้าดูสิ นางเ็ปขนาดนั้น ไหนเลยจะเป็หน้ากากหนังมนุษย์! เมิ่งอู่ หยุดประเดี๋ยวนี้!”
เมิ่งอู่มีสีหน้าท่าทางสงบมาก เอ่ยว่า “ยามที่ข้ากรีดแขน ข้ายังไม่เจ็บด้วยซ้ำ นางแค่โดนดึงผม ยังไม่ทันเห็นเื แล้วจะนับเป็อันใด”
พวกชาวบ้านโน้มน้าว “อดทนหน่อย อดทนหน่อย ประเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”
ดังนั้นเมิ่งอู่จึงดึงผมของเมิ่งเจียนเจียจากซ้ายไปขวา จากขวาไปซ้าย ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของเมิ่งเจียนเจีย เมิ่งอู่โน้มตัวเข้าไปกระซิบข้างหูนาง หัวเราะเบาๆ ก่อนเอ่ย “เื่ฉีกหน้านี่อย่าได้หวังว่าข้าจะปรานี ใบหน้าของเ้าไม่ได้งดงามอะไรนักหนา”
เมิ่งเจียนเจียขนลุกซู่ เสียงกรีดร้องของนางเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว
จากนั้นใบหน้าของเมิ่งเจียนเจียเปลี่ยนเป็สีแดงและปรากฏรอยนิ้วมือบวมนูนขึ้น ตามแนวไรผมมีเืซึมออกมานิดๆ
เมิ่งอู่ปล่อยมือจากเมิ่งเจียนเจีย ก่อนโยนกระจุกเส้นผมที่ดึงออกมาจากหนังศีรษะของอีกฝ่ายลงพื้นอย่างตั้งใจ ก่อนกล่าวกับทุกคนว่า “ตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว นี่คือพี่สาวเจียนเจียของข้าจริงๆ”
เมิ่งเจียนเจียที่เคยอ่อนโยนและมีน้ำใจในอดีต ยามนี้กลับคลุ้มคลั่งดั่งคนเสียสติ นางกุมหน้าตนเองไว้พลางกรีดร้องอย่างเศร้ารันทด “หน้าข้ายังอยู่หรือไม่? หน้าข้ายังอยู่หรือไม่?!”
บรรดาชายหนุ่มในหมู่บ้านต่างทนมองตรงๆ ไม่ได้
เมิ่งเจียนเจียที่ต้องทนทุกข์ต่อแรงยั่วยุ วิ่งหนีออกไปพร้อมกับกรีดร้องตลอดทาง แม้นางเย่จะเคียดแค้นยิ่งนัก แต่ยามนี้ก็ไม่สนใจที่นี่แล้ว รีบหันหลังวิ่งไล่ตามเมิ่งเจียนเจียไป
สุดท้ายเื่ตลกนี้ก็ยุติลง
อินเหิงประคองแขนเมิ่งอู่ไว้ สีหน้าไม่สู้ดีนัก นางเซี่ยเองก็ย่ำแย่ รีบเข้าห้องไปค้นหาสมุนไพรทั้งหมดออกมา นางถาม “ยาตัวไหนใช้รักษาาแภายนอก?”
ก่อนหน้านี้ยามที่เมิ่งอู่เปลี่ยนยาให้อินเหิง เขาจดจำส่วนประกอบของยาได้ จึงเลือกออกมาบางส่วนให้นางเซี่ยรีบนำไปบดก่อนพอกแผลภายนอกให้เมิ่งอู่ ส่วนอินเหิงทำความสะอาดคราบเืที่ไหลออกมา
นี่เป็ครั้งแรกที่เมิ่งอู่เห็นอินเหิงกับนางเซี่ยร่วมมือกัน นางอดรู้สึกผิดไม่ได้ กล่าวว่า “แท้จริงข้าลงมืออย่างมีขอบเขต ถลอกนิดหน่อย… ยามนี้เืหยุดไหลแล้ว…”
อินเหิงกับนางเซี่ยต่างจ้องมองเมิ่งอู่ทั้งสีหน้ามืดครึ้มและกังวลโดยไม่ได้นัดหมาย
เมิ่งอู่หดคอ กล่าวว่า “แสร้งทำเป็ว่าข้าไม่ได้พูดอันใดก็แล้วกัน”
หลังพอกยาแล้ว อินเหิงก็พันแผลให้ เนื่องจากอากาศเริ่มร้อนขึ้น จึงพันแน่นเกินไปไม่ได้ ขอเพียงไม่ให้ยาหลุดออกมาก็พอ
แม้เสียงของอินเหิงเบาทว่าหนักแน่นไม่ให้ปฏิเสธ “ต่อไปห้ามใช้วิธีศัตรูสูญเสียหนึ่งพัน ตนเองสูญเสียแปดร้อย[1] เช่นนี้อีก เ้าคือเ้า หากผู้อื่นไม่ยอมรับเ้า ก็แค่ทำให้พวกเขากลัว”
อินเหิงกล่าวต่อ “เ้ากังวลว่าพวกเขาจะมองเ้าเป็คนเลวกระมัง? คนดีแล้วอย่างไร คนเลวแล้วอย่างไร? หากเ้าไม่พิสูจน์ตนเองว่าเป็คนดี ผู้อื่นก็จะมองว่าเ้าเป็คนเลว นั่นนับเป็ปัญหาของพวกเขาแล้ว คนเลวมิจำเป็ต้องพิสูจน์ว่าตนชั่วร้าย แล้วเหตุใดคนดีจึงต้องพิสูจน์ว่าตนเองดีงามด้วยเล่า?”
เมิ่งอู่นิ่งงัน นางเซี่ยที่อยู่ใต้ชายคาเรือนก็ตะลึงเช่นกัน
ชาวบ้านไม่เอาเื่หวังสี่ซุ่นที่รังแกผู้คนในหมู่บ้าน และไม่เอาผิดกับกลุ่มอันธพาลที่ก่ออาชญากรรมในเวลากลางวันแสกๆ นั่นก็ไม่มีอันใดมากไปกว่าไม่กล้ายั่วยุ
ที่นี่การจะเป็คนดีต้องคอยระแวดระวังเพื่อนบ้านอยู่เสมอ แต่การเป็คนเลวกลับไม่ต้องจ่ายค่าตอบแทนใดๆ
ฟังแล้วน่าขบขันนัก คนซื่อสัตย์มักถูกผู้อื่นรังแกง่ายๆ แต่ผู้ที่คนซื่อสัตย์กล้ารังแกก็มีแต่คนซื่อสัตย์ด้วยกันเท่านั้น
เมิ่งอู่ฉวยโอกาสแตะมือของอินเหิง กล่าวว่า “อาเหิง ข้าไม่เคยบอกว่าข้าเป็คนดี”
นางเซี่ยกล่าว “พวกเราไม่ทำเื่ที่ขัดต่อ์และเหตุผล แต่ผู้ใดก็ห้ามทำร้ายอาอู่ของข้าเด็ดขาด!”
เหล่าเซินล้มป่วย สะใภ้สกุลเซิน้ามาเอาเื่กับเมิ่งอู่ แต่สุดท้ายต้องกลับไปมือเปล่า
มนุษย์ที่กินธัญพืชห้าอย่างและพืชไร่อื่นๆ ย่อมต้องเจ็บป่วย แต่สะใภ้สกุลเซิน้าหาผู้ใดสักคนมารับผิดชอบอาการเจ็บป่วยของเหล่าเซิน
เช่นนี้นางจะได้ไม่ต้องเสียเงินค่ารักษา
ยามนี้ความหวังนั้นภินท์พัง เหล่าเซินยังนอนป่วยอยู่บนเตียงด้วยความไม่สบายใจ สะใภ้สกุลเซินไม่มีทางเลือกจึงได้แต่ไปเชิญหมอหยางในหมู่บ้านมาตรวจรักษา
หมอหยางผู้นี้ปกติมักหวังว่าชาวบ้านจะเจ็บป่วย เช่นนี้ยาของเขาถึงจะขายออกมิใช่หรือ?
เวลานี้หมอหยางนั่งลงข้างเตียงคนป่วย ทำทีเป็จับชีพจร แล้วกล่าวว่า “ไม่มีอันใดร้ายแรง ข้าจะสั่งยาให้ พักผ่อนสองวันก็หายแล้ว”
แน่นอนว่าสภาพจิตใจของคนป่วยส่วนใหญ่มักมีร่องรอยให้ติดตาม ตราบใดที่ดื่มยา ในใจก็จะมั่นคงขึ้นบ้าง ไม่ว่าอาการจะดีขึ้นจริงหรือไม่ ขอเพียงในใจคิดว่าดีขึ้นแล้ว นั่นก็นับว่าดีขึ้นแล้ว
หมอหยางเป็หมอในหมู่บ้านมานานหลายปี โดยอาศัยหลักจิตวิทยาของคนไข้แบบนี้เอง
ทว่าเมื่อหมอหยางหยิบยาออกจากล่วมยา แล้วมอบให้สะใภ้สกุลเซิน สะใภ้สกุลเซินมือหนึ่งจะจ่ายเงิน มือหนึ่งจะรับยา จังหวะนั้นจู่ๆ ก็มีเสียงแ่เบาดังขึ้นโดยไม่ทันให้ตั้งตัว “รากหญ้าเน่าๆ ที่ตากแดดให้แห้งมีไว้หลอกลวงสตรีและเด็กที่โง่เขลาในชนบทเท่านั้น”
หมอหยางหน้าพลันเปลี่ยนสี เขาและสะใภ้สกุลเซินต่างหันมองไปทางประตู
เห็นเพียงเมิ่งอู่ก้าวเท้าข้ามธรณีประตูเรือนสกุลเซินอย่างไม่รีบเร่ง แสงอาทิตย์สาดส่องกระทบแผ่นหลังของนาง ทำให้ดวงตานางสงบนิ่งและเยือกเย็นเป็พิเศษ
นางพับแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นผ้าพันแผลสีขาวสะอาดที่พันอยู่บนแขน
ก่อนหน้านี้สะใภ้สกุลเซินไปหาเื่ถึงเรือนเมิ่งอู่ ยามนี้เมิ่งอู่มาหาถึงเรือนของตนบ้าง นางจึงหวาดกลัว ไม่รู้ว่าสมควรมีปฏิกิริยาเช่นไร
หมอหยางที่ขาดความมั่นใจกลับะโเสียงดังด้วยความไม่พอใจ “เมิ่งอู่ เ้าไม่รู้อันใดก็อย่าพูดมาก! ภรรยาของเหล่าเซิน! เร็ว ไล่เด็กคนนี้ออกไป จะได้ไม่กระทบต่อการรักษาของข้า!”
สะใภ้สกุลเซินได้ยินดังนั้นยังไม่ทันก้าวเท้าขึ้นหน้า เมิ่งอู่ก็เดินเข้ามาคว้า “ยา” จากมือหมอหยาง แล้วจ่อที่จมูก ดมกลิ่นก่อนโยนลงบนโต๊ะ นางยิ้มกล่าว “เมื่อครู่ยามข้าเดินผ่านมา เห็นหญ้าแบบนี้อยู่ข้างทางหน้าเรือนสกุลเซินหลายต้น ท่านไปถอนบางส่วนกลับมา แล้วลองเปรียบเทียบรากดูว่าเหมือนกันหรือไม่”
สะใภ้สกุลเซินรู้สึกแคลงใจ
ส่วนหมอหยางใช้ความโกรธกลบเกลื่อนความตื่นตระหนก กล่าวว่า “เด็กน้อย พูดจาเหลวไหล! ในเมื่อไม่เชื่อถือข้า ข้าก็ไม่รักษาชายคนนี้ให้แล้ว!”
กล่าวอย่างนั้นแล้วก็หยิบ “ยา” ของตนเองขึ้นมา แล้วรีบร้อนจากไป สะใภ้สกุลเซินร้องเรียก “ท่านหมอหยาง! ท่านหมอหยาง! ท่านจากไปเช่นนี้ แล้วเหล่าเซินของข้าจะทำอย่างไร!”
……….
[1] หมายถึง เหมือนจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียหายหนัก แต่ฝ่ายตนก็เสียหายไม่น้อยเหมือนกัน