บทที่ 56 ลงทุนกับเจียงชูหลง
ลิขิตฟ้าสีทอง!
ในยามนี้ นอกจากยัยก้อนน้ำแข็งแล้ว นี่คือลิขิตฟ้าขั้นสูงสุดเท่าที่เขาเคยพบเจอ!
เมื่อเนตรทิพย์ลิขิตฟ้าฉายข้อมูลขึ้นมา แล้วเหลือบมองขอทานน้อยผู้หายใจรวยรินอยู่ตรงนั้น ความแตกต่างระหว่างทั้งสองช่างเกินกว่าจะจินตนาการ เมื่อยืนยันว่าตนมิได้ตาฝาด หลี่โม่ก็ยืนนิ่งงันราวกับถูกฟ้าผ่า
ธิดาองค์เล็กแห่งจักรพรรดิอวี้!
กำเนิดกระบี่โดยธรรมชาติ!
เ้าของระบบพึมพำกับตนเองถึงสองคำนั้น ยังคงไม่สามารถเรียกสติคืนมาได้เต็มที่นัก เจียงชูหลงจะมีลิขิตฟ้าสีทอง แม้ไม่อาจเทียบกับยัยก้อนน้ำแข็ง แต่ความตื่นตะลึงที่นางมอบให้เขากลับมิได้ลดน้อยลงเลย
เขาไม่รู้ว่าในเก้าฟ้าสิบพิภพนั้นมีผู้แข็งแกร่งมากเพียงใด แต่หากกล่าวถึงสถานะและตำแหน่งแล้ว ไฉนเลยจะมีผู้ใดเทียบเคียงกับผู้ปกครองสูงสุดอย่างราชวงศ์ได้?
ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจียงชูหลงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ทว่ายังคงรักษาลิขิตฟ้าสีทองไว้ได้ หากเป็คนอื่น ไม่ตายก็ถือว่านับเป็วาสนาอันแปลกประหลาดแล้ว
นาง...น่าจะเป็คนที่ยัยก้อนน้ำแข็งกำลังตามหา!
หลี่โม่มั่นใจเกินแปดส่วนว่าต้องใช่แน่ และก็พลันคิดได้ว่า เดิมทียัยก้อนน้ำแข็ง้าตามหาคน ไม่ใช่ญาติที่พลัดพรากจากกัน หากแต่เป็เพราะนางเคยพบเจอเจียงชูหลง และรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ธรรมดา จึงให้ตนมาตามหานาง
“ท่านพี่หลี่ ท่านเป็อะไรไปหรือขอรับ?”
เมิ่งช่านเงยหน้าถามอย่างสงสัย ขอทานน้อยคนอื่นๆ ก็มองมา บ้างก็สงสัย บ้างก็ตั้งความหวัง บ้างก็หวาดกลัว
“ยัยก้อนน้ำแข็งเอ๋ย ถ้าเ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะจูบเ้าให้ดูสักที...”
หลี่โม่หรี่ตาจ้องมอง การที่รอบกายสตรีแห่งลิขิตฟ้าสีแดง จะปรากฏยอดฝีมือผู้โดดเด่นเช่นนี้ เมื่อคิดดูแล้ว ก็ดูสมเหตุสมผลยิ่งนัก
“ท่านพี่หลี่ พี่สาวผู้พูดติดอ่างป่วยหนักมากเลยหรือขอรับ?”
เมิ่งช่านคิดว่าสหายหลี่น้อยใกับอาการป่วยของพี่สาวผู้พูดติดอ่าง ใบหน้าเล็กๆ ของเขาจึงเต็มไปด้วยความกังวล
“ข้าขอดูอาการก่อน”
สหายหลี่น้อยเก็บงำความตื่นเต้นที่ปั่นป่วนอยู่ในใจ จากนั้นจึงก้าวเข้าไปในบ้านที่ทรุดโทรม เขาวางมือลงบนข้อมือที่บอบบางของเจียงชูหลง แล้วหลับตาลงเพื่อรับรู้
ลมปราณอ่อนแอ...อวัยวะภายในร่วงโรย...ไข้หวัดรุนแรง...าแติดเชื้อ...ภาวะทุพโภชนาการอย่างรุนแรงจากการอดอยากมาเป็เวลานาน...
เจียงชูหลงในยามนี้ เปรียบได้ดั่งตุ๊กตาผ้าขาดวิ่นที่ลมพัดก็ปลิวได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่ล้มลงเบาๆ ก็อาจจะแตกสลายได้ หากเป็คนอื่น เกรงว่าจะตายไปนานแล้ว
แต่สถานการณ์ของเจียงชูหลงนั้นแปลกพิสดารนัก ทุกครั้งที่เปลวไฟแห่งชีวิตของนางกำลังจะมอดดับลง ก็จะมีพลังงานบางอย่างดึงนางกลับมาได้อย่างปาฏิหาริย์
“พี่สาวผู้พูดติดอ่างป่วยเป็อะไรหรือขอรับ?”
เสียงถามเบาๆ ดังขึ้นข้างหู สหายหลี่น้อยลดเสียงลง แล้วกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า
“อาการของนางค่อนข้างซับซ้อน”
“แต่...สามารถรักษาได้”
ลิขิตฟ้าสีทองมิได้แสดงลักษณะของความตายที่พันธนาการอยู่ แม้เขาจะไม่ลงมือ เจียงชูหลงก็จะไม่ตาย เพียงแต่ยังต้องผ่านการต่อสู้อันยาวนานกับอาการป่วยนี้
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลี่โม่ถอด 'ถุงผ้าขนนกเพลิง' ที่แขวนอยู่บนอกออก จากนั้นคลายนิ้วมือนางออกแล้วยัดเข้าไป
“ตอนนี้ร่างกายของนางยังไม่สามารถรับยาบำรุงได้”
“ถุงผ้านี้สามารถบำรุงร่างกายของนางได้ รอจนร่างกายของนางดีขึ้น จึงจะสามารถบำรุงด้วยยา”
พลันเกิดสิ่งมหัศจรรย์อย่างน่าเหลือเชื่อ ทันทีที่ 'ถุงผ้าขนนกเพลิง' ตกอยู่ในมือเจียงชูหลง ลมหายใจของนางก็เริ่มมีแรงขึ้นเล็กน้อย ผิดกับก่อนหน้านี้ที่เหงื่อเย็นๆ ออกมาตลอดเวลา
ในขณะเดียวกัน เสียงแจ้งเตือนจากระบบก็ดังขึ้นข้างหูของสหายหลี่น้อย
[ยินดีด้วยเ้าของระบบ ท่านลงทุนกับ ‘เจียงชูหลง’ ด้วย ‘ขนนกเพลิง’ สำเร็จ]
[ผลตอบรับการลงทุน: น้ำนมแห่งชีพจรั]
[้ารับหรือไม่?]
“ไม่”
สหายหลี่น้อยพึมพำในใจ แล้วมองไปข้างๆ
“พี่สาวผู้พูดติดอ่างรอดแล้ว!”
“ท่านพี่หลี่ วิชาแพทย์ของท่านสุดยอดมาก!”
เด็กน้อยเ่าั้ต่างแสดงสีหน้าประหลาดใจ ราวกับได้พบกับหลักประกันของชีวิตอีกครั้ง
หลังจากมองหน้ากันแล้ว ขอทานน้อยที่อายุมากที่สุดก็วิ่งออกไปข้างนอก เมื่อเขากลับมา ในมือก็มีเกลือสีเหลืองก้อนเล็กๆ เพิ่มขึ้นมาหนึ่งก้อน และศีรษะของเขาแทบจะจมลงไปในอก
“ท่านพี่หลี่ พวกเราไม่มีเงิน...”
“ถ้าเช่นนั้นพวกเ้าจะเลี้ยงข้าวข้าหรือ?”
สหายหลี่น้อยอดที่จะยิ้มไม่ได้
เมื่อมองเด็กหนุ่มผู้สวมเสื้อผ้าหรูหราสง่างามราวกับเทพเซียนที่ก้าวลงมาจากฟากฟ้า แล้วเหลือบมองดูกระปุกดินเผาที่แตกครึ่งซึ่งกำลังต้มซุปผักป่าใสๆ อยู่ข้างนอก เด็กน้อยเ่าั้ก็ยิ่งรู้สึกทำอะไรไม่ถูก
เมิ่งช่านเคยเห็นคนที่น่าเกรงขามที่สุดคือนายอำเภอ ผู้ถือดาบเดินตรวจตราตามท้องถนน แต่เมื่อครู่เขากลับได้ประจักษ์แก่สายตาว่า แม้แต่นายอำเภอผู้สง่างามเ่าั้ยังไม่กล้าสบตาพี่ชายหลี่ด้วยซ้ำ ช่างนอบน้อมเสียเหลือเกิน อาหารที่พวกเขาเคยกินเป็ประจำนั้น แม้แต่สุนัขจรจัดยังเมิน แล้วจะนำสิ่งใดมาต้อนรับพี่ชายหลี่ได้เล่า...
“ผักป่าพวกนี้เป็ของดีนะ บริสุทธิ์จากธรรมชาติ ปราศจากมลพิษ”
“ปกติแล้วข้ายังไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสเลย”
กล่าวแล้วหลี่โม่ก็ก้าวไปยังกระปุกดินเผา เขาเติมข้าวสารลงไปในปริมาณที่พอเหมาะ จากนั้นไม่รู้ว่าเนื้อชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นในมือเขาได้อย่างไร เมื่อเขาปาดเบาๆ มันก็กลายเป็เนื้อบดละเอียด
“ไม่ได้ทำอาหารมาสองวันแล้ว อย่าว่าข้าเลยนะ”
เด็กน้อยขอทานทั้งหลายต่างตกตะลึงเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าพี่ชายผู้นี้จะเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ดูติดดินถึงเพียงนี้ ถึงกับลงมือทำอาหารด้วยใบหน้าที่ผ่อนคลายอย่างแท้จริง
“ท่านพี่หลี่ ท่านทำอาหารเองบ่อยๆ ที่สำนักชิงเยวียนหรือขอรับ?”
“ใช่แล้ว อาหารในโรงอาหารน่ะไม่อร่อยเอาเสียเลย”
“ท่านพี่หลี่ ท่านกำลังทำอะไรอยู่น่ะ? หอมจังเลย...”
“โจ๊กผักป่าเนื้อบดน่ะ ฝีมือทำอาหารของข้ายังเจ๋งกว่าวิชาแพทย์อีกนะ”
หลี่โม่แย้มยิ้ม เมื่อครู่เขาแอบใส่ยาโอสถิญญาม่วงห้าธาตุลงไปเม็ดหนึ่ง เป็ของล้ำค่าที่ช่วยเติมเต็มส่วนที่ร่างกายขาดไป แถมสรรพคุณของยาก็อ่อนโยนจนผู้คนทั่วไปที่ร่างกายมิได้รับการหล่อหลอมก็สามารถรับประทานได้ เพียงเม็ดธรรมดาๆ ก็สามารถขายได้ถึงห้าพันตำลึงเงินในโรงประมูลแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็ยาระดับหกอักษรเชียว!
แน่นอนว่าสำหรับเ้าของระบบแล้ว นี่ไม่ใช่เื่แปลกประหลาดอะไร
ไม่นานนัก ในลานบ้านที่ทรุดโทรม ก็มีควันจากการหุงต้มลอยขึ้นบางๆ
“ทั้งชีวิตนี้ ข้าไม่เคยได้กินของดีขนาดนี้มาก่อนเลย”
“อื้อๆๆ!”
“ข้าอิ่มมากเลย”
“ฮือๆๆ ข้าคิดถึงท่านแม่แล้ว...”
สหายหลี่น้อยอยู่ไม่ไกลนัก มุมปากประดับรอยยิ้ม เฝ้ามองพวกเขาดื่มโจ๊กอย่างเงียบๆ
[ชื่อ: ต้าจู้]
[อายุ: 8]
[รากฐานกระดูก: ไม่มี]
[ขอบเขต: ไม่มี]
[ลิขิตฟ้า: เทา]
[คำวิจารณ์: ร่างกายเปรียบดั่งหญ้าป่า ชีวิตเปรียบดั่งขนนก]
[สิ่งที่ประสบพบเจอเมื่อเร็วๆ นี้: ด้วยความช่วยเหลือของเจียงชูหลง เขาได้หลบหนีจากเงื้อมมือของพ่อค้าทาส และไม่พึ่งพาการลักขโมยเพื่อยังชีพอีกต่อไป]
การลงทุนครั้งนี้มิได้ให้ผลตอบแทนที่เป็รูปธรรมอะไรนัก เพราะเด็กน้อยขอทานกลุ่มนี้ ล้วนมีลิขิตฟ้าคล้ายกับต้าจู้ ทว่าหลี่โม่กลับอารมณ์ดีนัก
ตึก—
พลันมีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง หลี่โม่หันกลับไป ก็เห็นขอทานผู้ถูกผ้าปิดตา พยุงตัวยืนอยู่ที่วงกบประตู แม้จะมองไม่เห็นดวงตาของนาง แต่ก็ััได้ชัดเจนว่าแววตาของนางในยามนี้เต็มไปด้วยความระแวดระวังอย่างยิ่ง
“เ้า...เ้าคือ...”
“อืม ข้าเป็คนทำอาหาร ถุงผ้าข้าก็เป็คนให้”
สหายหลี่น้อยตอบอย่างทันควัน
“เพื่...”
ครืด—
เจียงชูหลงยังพูดไม่ทันจบประโยค ขาทั้งสองก็อ่อนแรงจนแทบยืนไม่ไหว พร้อมจะล้มลงได้ทุกเมื่อ
“เ้ากินข้าวก่อนเถอะ”
“ท้องไม่อิ่มแล้วจะไปสนใจสิ่งอื่นใดได้”
สหายหลี่น้อยยิ้มอย่างขบขัน เขาก็พอจะเข้าใจความระแวดระวังของเจียงชูหลงได้เป็อย่างดี หนีตายมาตลอดเส้นทาง แถมยังถูกหน่วยลาดตระเวน์ตามล่า ไม่ว่าใครก็ย่อมกลายเป็นกหวาดกลัวธนู
“ขอบ...ขอบคุณ...”
เจียงชูหลงเม้มปาก สุดท้ายก็พยักหน้า
ไม่นานนัก นางก็เดินกลับมาพร้อมกับโจ๊กหนึ่งชาม ซึ่งเป็ชามสุดท้ายที่เหลืออยู่ในกระปุกดินเผา
“ท่าน...ท่านกินก่อน...”
เสียงติดอ่างของนางฟังแล้วไพเราะน่าฟัง รู้สึกได้ถึงความน่าสงสารอย่างยิ่ง
หลี่โม่ “?”
สิ่งนี้ทำให้เ้าของระบบค่อนข้างงุนงงอยู่ไม่น้อย นี่มิใช่ว่าเ้าหิวจนยืนแทบไม่ไหวอยู่แล้วหรอกหรือ ยังจะห่วงว่าข้าไม่ได้กินข้าวอีก?
องค์หญิงผู้นี้คิดอะไรอยู่กันแน่...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้