ได้ยินคำพูดของหม่าซื่อ หลิ่วเทียนฉีก็ยกมุมปาก หันมามองหลิ่วเจียง
“ท่านลุงใหญ่ หลานมีเื่หนึ่งที่ไม่เข้าใจ อยากขอคำชี้แนะจากท่านสักหน่อย!”
“เื่ใด?” หลิ่วเจียงกัดฟันมองตอบกลับ สองคำนี้แทบจะเค้นลอดไรฟันออกมา
“ตอนแรก ลูกน้องของท่านลุงใหญ่หาศพร่างนี้พบ แล้วเหตุใดถึงมั่นใจว่านี่คือศพพี่หกของข้าเล่า?”
“ยังต้องถามอีกหรือ ก็เขาสวมเสื้อผ้าของเทียนลู่อยู่มิใช่หรือไง?” หลิ่วเจียงถลึงตาตอบ
“นอกจากเสื้อผ้า ไม่มีแหวนมิติกับหยดเืพิสูจน์สายเื ท่านลุงใหญ่ก็ยอมรับแล้วหรือว่าศพแปลกหน้านั่นเป็หลานของตน ชุ่ยเกินไปหน่อยกระมัง? ไม่ค่อยเหมือนวิธีจัดการเื่ต่างๆ ของท่านลุงใหญ่เท่าไรนะ?” หลิ่วเจียงทำสิ่งใดล้วนรอบคอบมาตลอด จะทำผิดพลาดเช่นนี้ได้อย่างไร?
“แหวนมิติ เ้าพูดบ้าอะไร? ศพร่างนี้พบที่เขาสัตว์อสูร ตอนที่หาพบเนื้อก็ถูกสัตว์อสูรกินจนเกลี้ยง ต่อให้มีแหวนมิติก็คงถูกผู้ฝึกตนคนอื่นเอาไปแล้ว! จะทิ้งไว้ได้อย่างไร?” หลิ่วเจียงเอ่ยกลับอย่างมีเหตุผล
“ฮ่าๆๆ ท่านลุงใหญ่พูดได้ดี แหวนมิติมีค่าปานนั้นจะถูกทิ้งไว้ได้อย่างไร? เช่นนั้นตามหลักเดียวกัน ป้ายหยกที่ผนึกการโจมตีของผู้บรรลุดวงปราณสายหนึ่งไว้นั่นไม่มีค่างั้นหรือ? ทำไมผู้อื่นเอาไปแต่แหวนมิติ แต่ไม่เอาป้ายหยกแผ่นนั้นไปเล่า? หรือคนผู้นั้นเป็คนโง่ ไม่รู้ว่าการโจมตีของผู้มากความสามารถระดับดวงปราณสายหนึ่งหากนำไปขาย จะได้ศิลาทิพย์มากมายเลยงั้นหรือ?”
“นี่...” หลิ่วเจียงได้ยินเข้าราวกับถูกอุดปาก ชั่วขณะหนึ่งไร้คำพูด
“บนป้ายหยกสลักชื่ออยู่ อีกฝ่ายคงกลัวความยุ่งยากถึงไม่กล้าเอาไปกระมัง!” หลิ่วซานรีบแก้ตัวแทนบิดา
“ใช่แล้ว พวกเราตระกูลหลิ่วที่ฝูเฉิงเป็ถึงตระกูลมีหน้ามีตา บนป้ายก็สลักชื่อของเ้าไว้ ใครจะกล้าแตะต้องกันเล่า!” หม่าซื่อพยักหน้าเห็นด้วย รีบร้อนพูดคล้อยตามความเห็นของบุตรสาว
“ที่แท้ก็เป็เช่นนี้ แค่เพราะป้ายหยกที่สลักชื่อข้าไว้แผ่นหนึ่งกับโครงกระดูกแปลกหน้า ข้าถึงต้องกลายเป็ผู้ร้าย ถูกท่านลุงรองตบกระดูกสันหลังหักเสียดื้อๆ และยังถูกท่านลุงใหญ่ชี้หน้าบอกว่าเป็ฆาตกรอีก เฮ้อ ดูท่าข้าช่างโชคร้ายจริงหนอ!” พูดจบ หลิ่วเทียนฉีก็ถอนหายใจหลายเฮือก ท่าทางเย้ยหยันตนนั่นทำให้ทุกคนนิ่งเงียบ
“นี่...”
เมื่อหลิ่วเทียนฉีพูด ในห้องโถงใหญ่พลันเงียบกริบไปอีกครั้ง
“เ้าใหญ่ เ้าสอง เื่นี้พวกเ้าควรให้คำอธิบายกับเ้าสามและเทียนฉีสักอย่างไม่ใช่หรือ หืม?” หลิ่วฮั่นชิงเอ่ยเสียงขรึม
“สามีข้าผิดเอง ไม่ควรทำร้ายเทียนฉีจนาเ็ในสถานการณ์ที่ไม่ได้ตรวจสอบความจริงของเื่ราวให้กระจ่างชัด ข้ายินดีรับกฎตระกูลแทนสามีเ้าค่ะ!” ซูหงบอกพลางคุกเข่าตรงหน้าหลิ่วฮั่นชิง
“ไม่ ใครทำคนนั้นรับ ข้ายินดีรับโทษ ท่านพ่อ อย่าทำหงเอ๋อร์เลย!” หลิ่วไห่ว่าพลางรีบคุกเข่าลง
“ไม่เ้าค่ะ สามีข้าอาการาเ็บนร่างเพิ่งหายดี ขอท่านพ่อโปรดเข้าใจ ตีข้าเถิด!”
“ดี เ้าใหญ่ปกครองบ้านไม่เคร่งครัด เข้าใจเืเนื้อตระกูลหลิ่วผิด ใส่ร้ายเทียนฉี ต้องโบยแส้ิญญายี่สิบที และเ้าสอง เ้าลงมือกับหลานโดยพลการ นิสัยหยาบช้า ต้องโบยแส้ิญญาสามสิบที และเห็นแก่ที่เขาาเ็อยู่ สามีภรรยาสองคนรับคนละสิบห้าแส้ิญญา”
“ขอบคุณท่านพ่อเ้าค่ะ!” ซูหงก้มศีรษะรีบตอบกลับ
“ภรรยา!” หลิ่วไห่มองภรรยาที่คุกเข่าอยู่ข้างกายตนพลางเรียกเสียงเบา
“สามี ไม่ต้องพูดแล้ว!” ซูหงมองอีกฝ่ายด้วยท่าทีแน่วแน่
“ท่านปู่ หลานยินดีรับโทษแทนบิดาเ้าค่ะ!” หลิ่วซานเอ่ยก่อนคุกเข่าลงตรงหน้าหลิ่วฮั่นชิง
“ท่านปู่ หลานก็ยินดีรับโทษแทนบิดามารดาเ้าค่ะ!” หลิ่วซือกับหลิ่วอู่คุกเข่าลงเช่นกัน
“ไม่ได้ ใครทำคนนั้นรับ หากเ้าสองไม่าเ็อยู่ ข้าก็ไม่อยากให้ลูกสะใภ้รองถูกตีแทนเขาเช่นกัน” หลิ่วฮั่นชิงโบกมือปฏิเสธทันที
“ท่านปู่...”
“ไม่ต้องพูดมาก เชิญกฎตระกูล ลงทัณฑ์!”
“ขอรับ!” ข้ารับใช้ขานรับพร้อมเอาแส้ิญญาออกมา เริ่มโบยตีสามคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น
“อ๊าก...”
“กรี๊ด...”
เสียงครวญครางทุกข์ทรมานของทั้งสามก้องกังวานทั้งห้องโถงใหญ่ในทันที