ตอนแรกสกุลหลัวประสบภัยพิบัติ สกุลถังเงียบเชียบไม่พูดจา ถอยทัพไปเก้าสิบลี้ [1] สำหรับพวกเขาแล้วนี่เป็ทางเลือกที่ดีที่สุด
แต่สำหรับหลัวจิ่งที่อยู่ในวัยเยาว์แล้ว กลับเป็ความโหดร้ายและไร้เมตตายิ่งนัก ในปีนั้นเขาลี้ภัยไปต่างเมืองอย่างโดดเดี่ยว อีกนิดเกือบเอาชีวิตไปทิ้งที่เมืองเล็กๆ อันห่างไกล หากตอนนั้นสกุลถังยื่นมือออกมาจับและช่วยเหลือไว้สักหน่อย เขาจะประสบกับความยากลำบากมากมายเพียงนั้นได้อย่างไร
เฮ้อ... ธรรมชาติของมนุษย์ส่วนใหญ่ล้วนเห็นแก่ตัวทั้งสิ้น การเป็ผู้ที่เอาตัวรอดและหาผลประโยชน์ใส่ตัวเป็ความคิดของคนส่วนมาก นี่ก็ไม่อาจโทษคนเขาได้เช่นกัน
เจินจูนึกย้อนกลับไปครั้งแรกที่ได้เห็นสภาพของหลัวจิ่ง ร่างกายอ่อนแอตัวผอมลีบโดนพวกอันธพาลรุมทำร้ายอยู่ในตรอกที่สกปรกและเย็นเยียบประดุจน้ำแข็ง ทั่วทั้งใบหน้าบวมแดง ร่างกายเขียวคล้ำ หมดสติล้มพับไปบนพื้น กระดูกขาหักบวมจนเปลี่ยนรูป
ผู้ใดจะคาดคิดว่าเขาในยามนั้นย้อนไปไม่กี่เดือนก่อนจะเป็คุณชายสูงศักดิ์ ชีวิตอุดมสมบูรณ์อาหารเสื้อผ้าเพียบพร้อมของตระกูลขุนนางใหญ่โตที่มีฐานะและมีอำนาจ
และก็เป็เขาที่ฟ้าลิขิตให้ยังมีชีวิตอยู่เช่นกัน เพราะในวันนั้นสกุลหูอยู่ในเมืองพอดี
จู่ๆ เจินจูก็ยิ้มขึ้น บางครั้งโชคชะตาก็มหัศจรรย์เช่นนี้ หากพวกนางไม่ได้เดินผ่านตรอกเล็กของถนนเส้นนั้น ก็คงไม่มีทางบังเอิญช่วยเขาเอาไว้ได้พอดี และหากไม่ใช่ว่าพบนาง สภาพอาการาเ็อย่างรุนแรงเพียงนั้นของเขาก็มีความเป็ไปได้มากว่าจะไม่มีชีวิตรอดเช่นกัน
สรุปแล้วหลัวจิ่งเป็คนที่มีวาสนายิ่งนัก
เพราะเขาได้พบนาง...
เจินจูอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก
นางไม่สนใจแม่ลูกสกุลถังที่อยู่ด้านข้างอีก เริ่มเลือกเครื่องประดับขึ้นอย่างจริงจัง
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ในมือผิงอันกับหลิวอี้ล้วนอุ้มกล่องเครื่องประดับสูงหลายชั้นออกมาจากประตูใหญ่ของหอจินหม่านยู่
รถม้ารออยู่นอกประตูแล้ว ผู้คุ้มกันสี่นายยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบสงบ
หลังวางสิ่งของเข้าในเกวียน หลิวอี้ก็บังคับรถม้าให้เคลื่อนไปยังจวนของเจิ้นกั๋วกง
“ท่านพี่ พวกเราซื้อมากเกินไปแล้วหรือไม่ จ่ายเงินไปเยอะยิ่งนัก” กองเครื่องประดับเ่าั้รวมกันขึ้นมาทั้งหมดทั้งสิ้นแล้ว จ่ายไปหนึ่งพันแปดร้อยเหลียง พวกเขาซื้อมาเป็จำนวนมาก เ้าของร้านจึงมอบกล่องเครื่องประดับฝีมือประณีตให้เป็พิเศษอีกหลายกล่องด้วย
“ไม่เป็ไร เงินที่พี่นำมามีเพียงพอให้พวกเราใช้จ่าย” นี่เป็เงินก้อนใหญ่ที่สุดหนึ่งจำนวนที่นางจ่ายไป นางไม่ได้ปวดใจเลย อย่างไรเสียตั๋วเงินสองหมื่นเหลียงที่กู้ฉีให้มาเพื่อทำการซื้อโสมคนก็มีความเป็มาอย่างเป็ธรรมถูกต้อง ไม่มีอะไรให้ต้องเป็กังวล
ในยามที่นางออกเดินทาง บิดาสกุลหูยังยัดตั๋วเงินห้าร้อยเหลียงแก่นางอีกด้วย บอกว่าขณะเดินทางให้นางไม่ต้องประหยัด สิ่งใดควรจ่ายก็จ่าย นางเชื่อฟังเป็อย่างมากเลยล่ะ ฮิๆ
“อื้มๆ ท่านพี่ พี่ชายกู้อู่มอบสิ่งใดให้พวกเรากัน จวนจะกองเต็มทั้งเกวียนอยู่แล้ว” ผิงอันดันสิ่งของข้างกายที่ตั้งกองสูงขึ้นออกไปเล็กน้อย
เจินจูยื่นมือออกไปลูบ “น่าจะเป็พวกผ้าพับ แล้วก็สินค้าพื้นเมือง กลับไปค่อยดูแล้วกัน”
“แต่ของเยอะเกินไปแล้ว ฮูหยินกั๋วกงก็มอบเสื้อผ้าใหม่ให้พวกเราอีกตั้งมากมาย พวกเรามีรถม้าเพียงสองเกวียนเอง แล้วยังมีสัมภาระของทุกคนอีก อาจใส่เข้าไปไม่หมดเอาได้” ผิงอันขมวดคิ้วขึ้น
“ไม่เป็ไร อย่างมากก็แค่เพิ่มรถม้าอีกหนึ่งเกวียน” เจินจูไม่ได้ใส่ใจ จุดประสงค์ของการเข้าเมืองหลวงมาสำเร็จราบรื่น เื่เหล่านี้ล้วนเป็เื่เล็ก
“ท่านพี่ พรุ่งนี้เช้าเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวฮุยจะหลบการตรวจสอบอย่างไรดี?” ผิงอันกังวลในปัญหานี้มาตลอด คำพูดของกู้ฉีนั้นเห็นได้ชัดว่ามีนัยแฝงซ่อนอยู่ รอยเท้าเ่าั้เป็ปัญหาใหญ่จริงๆ
“รอตอนค่ำ พวกเราค่อยหารือกัน” เจินจูยังลังเลอยู่เล็กน้อยเช่นกัน
“อื้ม ขอรับ” ผิงอันพยักหน้า
จนกระทั่งพวกนางกลับมาถึงลานอันหวาก็เป็เวลาพลบค่ำโดยประมาณ ซึ่งเยว่อิงก็รออยู่เป็เวลานานแล้วเช่นกัน
ฮูหยินกั๋วกงได้จัดงานเลี้ยงอำลาส่งท้าย เชิญให้ทั้งสองคนไปร่วมงานเลี้ยง
เมื่อนำสิ่งของจัดเรียงจนเรียบร้อย เจินจูจึงแอบเตือนเสี่ยวเฮยและเสี่ยวฮุย และบังคับพวกมันว่าวันนี้ห้ามออกไปไหนทั้งสิ้น จากนั้นสองพี่น้องจึงเช็ดหน้า ทำความสะอาดมือและไปยังลานฮ่าวอู๋
สามคนทั้งครอบครัวของเจิ้นกั๋วกงต่างก็รออยู่ในห้องโถงต้อนรับแขก
สองฝ่ายทักทายทำความเคารพกัน หลังนั่งลงประจำที่แล้วถึงเริ่มพูดคุยถามไถ่
สีหน้าเซียวฉิงเป็ดังปกติ ทว่าดวงตาด้านในกลับแฝงไว้ด้วยคำถามเจาะลึก
ข่าวคราวที่ได้รับมาใน่นี้ บนสันกำแพงสูงของเขตที่พักอาศัยที่องค์ไท่จื่อถูกลอบสังหาร มีรอยเท้าแมวและหนูกระจัดกระจายเป็จำนวนมาก
ผู้ตรวจการศาลาว่าการแห่งเมืองหลวงฟางติ่งคาดคะเนอย่างยืนหยัดมั่นใจว่า มีความเป็ไปได้ที่จะเป็ชาวยุทธ์ที่มีความสามารถโดดเด่นในการใช้สัตว์ดำเนินการลอบสังหาร ตอนที่เซียวฉิงได้ยินข่าวรู้สึกน่าขันอยู่เล็กน้อย หามือสังหารออกมาไม่ได้ก็หยิบยกรอยเท้าแมวกับหนูมากล่าวเป็ประเด็น บนสันกำแพงลานบ้านของผู้ใดบ้างที่จะไม่มีรอยเท้าของแมวหรือหนู
แต่…
สายตาของเขาทอดมองอยู่บนกายของพี่น้องสกุลหู
ได้ยินเยว่อิงรายงานว่า พวกนางเลี้ยงแมวสีดำไว้หนึ่งตัวและหนูขนสีเทาหนึ่งตัว
จะบังเอิญเกินไปแล้ว นี่เป็เื่แปลกประหลาดยิ่งนัก
เมื่อเขาตรวจสอบดูก็ค้นพบว่าที่แท้ในวันนั้น พวกนางร่วมเดินทางไปคฤหาสน์ร้อยสัตว์กับคุณหนูสี่ของจวนท่านโหวเหวินชางด้วยเช่นกัน
ภายในใจเซียวฉิงเดือดพล่านขึ้นมาฉับพลัน เดิมทีเขาคิดว่าเป็การลงมือของหลัวจิ่ง แต่วันนั้นส่วนใหญ่แล้วที่เข้าไปในงานล้วนเป็สตรี หลัวจิ่งน่าจะปะปนเข้าไปไม่ได้
สายตาของเขาอดทอดไปบนตัวหูเจินจูอย่างเสียไม่ได้ ผู้ที่สามารถเข้าคฤหาสน์ไปได้น่าจะมีเพียงนางเท่านั้น
เป็การลงมือของนางเช่นนั้นหรือ?
แต่เซียวฉิงรู้สึกว่าไม่น่าเป็ไปได้ แม้รูปร่างลักษณะของแม่นางผู้นี้จะเอวบางร่างน้อยกว่าแม่นางทั่วไป แต่ถึงอย่างไรแล้วก็เป็คนธรรมดาที่ไม่มีกำลังภายในและไร้วรยุทธ์
แต่พอมองอีกทีองค์ไท่จื่อกับองครักษ์ล้วนโดนวางยาพิษ ซึ่งคนธรรมดาก็สามารถปล่อยใส่พวกเขาได้เช่นกัน กล่าวขึ้นมาแล้วความเป็ไปได้ที่นางจะเป็ผู้ลงมือช่างมีมากยิ่งนัก
การเข้าเมืองหลวงครั้งนี้ของพี่น้องสกุลหู นอกจากไปมาหาสู่กับคุณหนูสี่ของจวนท่านโหวเหวินชางอย่างใกล้ชิดเป็พิเศษและระมัดระวังแล้ว ก็ยังมีการไปมาหาสู่กับกู้ฉีบุตรชายคนรองของครอบครัวกู้ซ่างซูด้วย
กู้ฉี เขาเคยเห็นในกว๋อจื่อเจี้ยน เปี่ยมไปด้วยความเฉลียวฉลาดและรูปงาม ร่างสูงชะลูดเป็สง่า เป็คนมีความสามารถที่ผุดขึ้นมาใหม่ของเมืองหลวงใน่สองปีมานี้
เมื่อก่อนเขาล้มหมอนนอนเสื่ออย่างเงียบเชียบไร้ข่าวคราวมาหลายปี สภาพร่างกายแย่ยิ่งกว่าจวิ้นเอ่อร์อย่างมาก ตามที่กล่าวกันมา หมอหลวงล้วนตรวจอยู่หลายครั้งพบว่าสภาพชีพจรอยู่ในขั้นอันตราย ถึงขนาดยืนยันว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินสิบแปดปี
ในขณะนี้ กู้ฉีอายุได้ยี่สิบปีแล้ว ไม่เพียงมีชีวิตอยู่อย่างดีเท่านั้น พอมองไปแล้วยังแข็งแรงเสียยิ่งกว่าคนทั่วไปอีกด้วย
จู่ๆ ในหัวของเซียวฉิงก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้น มี่ระยะเวลาหนึ่งที่กู้ฉีออกจากเมืองหลวงไปท่องเที่ยวอยู่ภายนอก หลังกลับมาร่างกายก็เริ่มเปลี่ยนไปดีขึ้นช้าๆ สถานที่ที่เขาไปท่องเที่ยวคล้ายว่าจะเป็ทางเอ้อโจว และพี่น้องสกุลหูก็มาจากเอ้อโจวด้วย การที่ร่างกายของเขาดีขึ้นมาได้จะเกี่ยวข้องกับสองพี่น้องสกุลหูหรือไม่นะ
ดูท่าต้องตั้งใจตรวจสอบเื่ของทั้งสองฝ่ายให้แน่ชัดเสียแล้ว และหากเป็ไปได้ก็อยากนัดหมายกับกู้ฉีให้ได้สักครั้ง และถามปัญหาข้องใจนี้สักหน่อย
ร่างกายของจวิ้นเอ่อร์แข็งแรงกว่ากู้ฉีในเมื่อก่อนไม่น้อย หากสามารถทำให้จวิ้นเอ่อร์เป็เหมือนกู้ฉีที่แข็งแรงอย่างคนปกติได้ ย่อมไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว
เซียวฉิงวิเคราะห์อย่างใจเย็นและมีเหตุผล สายตาที่มองไปทางเจินจูลึกซึ้งขึ้นมา
เจินจูรู้สึกถึงสายตาถามเจาะลึกอันเฉียบคมของเซียวฉิงได้ั้แ่เข้ามาภายในห้องโถง
ขนอ่อนตามิัร่างกายของนางลุกชันขึ้น เซียวฉิงต้องได้รับข่าวนั้นแล้วแน่ๆ เป็นางที่ประมาทเกินไป ลืมว่ารอยเท้าบนสันกำแพงก็เป็เบาะแสอย่างหนึ่งเช่นกัน หากเขาเชื่อมโยงมาถึงเสี่ยวเฮยและเสี่ยวฮุยของตนเอง เช่นนั้นจะเดาไม่ออกได้อย่างไร
ไม่ได้ นางต้องไม่สะทกสะท้าน จะตีโพยตีพายไปก่อนไม่ได้ ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร พวกนางก็เป็ผู้มีพระคุณช่วยชีวิตของเซียวจวิ้น เซียวฉิงคงไม่มีทางเปิดโปงพวกนางออกมากระมัง
เจินจูพยายามมองข้ามสายตาของเซียวฉิงไป บนใบหน้าประดับรอยยิ้มขึ้น และพูดคุยกับเถาซื่อต่ออย่างปกติ
“พวกข้าซื้อเครื่องประดับและดอกไม้ผ้าไหมประดิษฐ์ที่แพร่หลายในเมืองหลวงกลับมาเล็กน้อย เมื่อกลับไปจะได้มอบให้ญาติๆ และสหายเ้าค่ะ”
“ไอ๊หยา ข้ามีทัดดอกไม้มากมายที่ได้มาเป็รางวัลจากในวัง ล้วนเก็บไว้วางอยู่ในห้องเก็บของ ส่วนใหญ่ล้วนไม่เคยนำมาใช้ประดับเลย อีกสักพักข้าจะให้คนห่อให้เรียบร้อยแล้วมอบให้เ้าเอากลับไป จะเอาไปใช้เองหรือมอบให้ผู้อื่นก็ล้วนเหมาะสมมากยิ่งนัก”
ทุกปีภายในวังล้วนมอบทัดดอกไม้เป็จำนวนมากที่แพร่หลายในปีนั้นให้เป็รางวัล มีดอกไม้ที่ปักผมมากมายหลายชนิด เช่น ดอกไม้ผ้าไหมลวดลายประดิษฐ์ ดอกไม้เป็เส้นหรือตาข่ายประดิษฐ์ ดอกไม้แพรต่วนประดิษฐ์ ดอกไม้ผ้าต่วนประดิษฐ์ ดอกไม้ผ้าแพรประดิษฐ์ ดอกไม้ประดับมุก... สีสันสวยสดงดงามเหมือนจริงมาก เถาซื่อมีอายุแล้วไม่เหมาะให้ประดับสิ่งเหล่านี้ และภายในจวนก็ยังไม่มีสตรีอื่นอีก ผลสุดท้ายทัดดอกไม้ของทุกปีล้วนเก็บเข้าในห้องเก็บของทั้งหมด ไม่มีโอกาสให้ได้ใช้เลยสักนิด
“ขอบคุณฮูหยินยิ่งนักเ้าค่ะ แต่สิ่งของที่ได้รับเป็รางวัลมาจากในวัง พวกข้าสามัญชนคนธรรมดาใช้ไม่ค่อยเหมาะนัก” เจินจูบอกปัดอย่างมีมารยาท ฮูหยินกั๋วกงเหมือนกับจะโละสิ่งของออกจากคลังที่มีทั้งหมดอย่างไรอย่างนั้นจริงๆ อะไรก็ล้วน้าขนมาให้นางทั้งหมดเลย
“อ่า... ไม่หรอก ทัดดอกไม้เหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงชนชั้นสูง คนมากมายที่ได้รางวัลชมเชยก็มอบให้กับชนรุ่นหลังไว้ประดับกันทั้งสิ้น ไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น” เถาซื่อตอบด้วยดวงตายิ้มหยี จากนั้นเรียกเยว่อิงทันที ให้นางเปิดห้องเก็บของแล้วหาทัดดอกไม้ของปีที่แล้วๆ ออกมากองทั้งหมด
เยว่อิงรับคำสั่งและจากไป เจินจูทำได้เพียงปลงใจล้มเลิกการบ่ายเบี่ยง
“ฮูหยินเ้าคะ ดื่มชาดอกไม้ไม่กี่วันมานี้ รู้สึกดีขึ้นหรือไม่เ้าคะ?” นางย้ายหัวข้อไปที่ชาดอกไม้
สายตาของเถาซื่อเป็ประกาย บนใบหน้าปรากฏความเบิกบานใจออกมา
“รู้สึกดีอย่างมากเลยล่ะ ไม่กี่วันมานี้กำลังวังชาดีกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย เดินไปมาก็มีเรี่ยวแรงมากขึ้นนิดหน่อย”
เซียวฉิงมองไปทางนางทันที พบว่าสีหน้าของเถาซื่อดีขึ้นไม่น้อยดังที่ว่า สายตาที่แต่เดิมดูป่วยไร้เรี่ยวแรงล้วนเป็ประกายขึ้นมาก ชาดอกไม้ชนิดนั้น สรรพคุณดีเพียงนี้เลยหรือ?
“อื้ม เช่นนั้นก็ดีเ้าค่ะ เมื่อก่อนฐานะการเงินทางครอบครัวข้ายากจน ร่างกายของมารดาก็ไม่ค่อยดีสักเท่าไร ภายหลังเมื่อการเงินของที่บ้านดีขึ้นมาได้หน่อย ก็ค่อยๆ บำรุงมา่ระยะหนึ่ง ร่างกายจึงดีขึ้นอย่างมาก ปีก่อนยังมีน้องสาวคนเล็กตัวอ้วนจ้ำม่ำเพิ่มให้พวกข้าสองพี่น้องอีกด้วย ตอนนี้ร่างกายของท่านแม่แข็งแรงขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากเลยเ้าค่ะ” เจินจูเริ่มขุดหลุมพรางขึ้น
ดวงตาคู่งามของเถาซื่อเบิกกว้างขึ้นทันที ถามขึ้นด้วยความตื่นเต้นอย่างอดกลั้นไม่อยู่ “มารดาเ้าบำรุงอย่างไรหรือ?”
เจินจูหันไปยิ้มอย่างอ่อนโยนทางนาง ทำการขุดหลุมพรางต่อ “โดยหลักแล้ว ต้องลดเื่ที่ทำให้นางทุกข์ใจน้อยลง สภาพจิตใจเปิดกว้าง คิดให้น้อยกลุ้มใจให้น้อย ร่างกายย่อมดีขึ้นมากเป็ธรรมดาเ้าค่ะ ข้าตั้งใจปลูกดอกกุหลาบไว้ไม่น้อย เพื่อทำเป็ชาดอกไม้ให้นางดื่มโดยเฉพาะ ร้านสมุนไพรในเมืองของพวกเรามีมากมาย มีเ้าของร้านเคยบอกกับข้าไว้ว่าชาดอกไม้ที่ทำจากดอกกุหลาบเหมาะให้สตรีดื่มที่สุด ด้วยเหตุนี้ข้าเลยชงชาดอกไม้ให้นางอยู่ตลอดทั้งปีเ้าค่ะ”
หัวใจเถาซื่อเต้นดังมีกลองตีรัวกระหน่ำ รีบถามอาการของโรคและอายุของมารดานางขึ้น เจินจูตอบเถาซื่อทีละคำถาม
ล้วนเป็ปัญหาของสตรี ส่วนใหญ่แล้วเหมือนกันทั้งสิ้น รอยยิ้มมุมปากของเถาซื่อกลั้นไว้ไม่อยู่ มารดาของนางอายุมากกว่านางเล็กน้อย เป็เช่นนั้นแล้วร่างกายยังสามารถบำรุงให้ดีกลับมาได้ เช่นนั้นนางก็มีความหวังเช่นกันใช่หรือไม่
นางกุมมือของเจินจูไว้ทำใจปล่อยไม่ได้เลย พร้อมกับชมนางไม่หยุดปากว่าเป็บุตรสาวแสนกตัญญูยิ่งนัก
“เจินจู กลับไปเ้าก็ปลูกดอกกุหลาบให้มากหน่อย ไม่เช่นนั้นก็สร้างเพิงอุ่นๆ สักหลัง หน้าหนาวก็สามารถทำการเพาะปลูกได้ด้วย เงินในส่วนนี้ข้าจะออกให้เ้าเอง”
เถาซื่อใบหน้าเต็มไปด้วยความหวัง
เซียวจวิ้นมองการแสดงออกอย่างรีบร้อนของผู้เป็มารดา อดประคองศีรษะขึ้นอย่างเสียไม่ได้ ความทุกข์ใจของมารดาไม่เบาเลยจริงๆ
เซียวฉิงใส่ใจกับบทสนทนาของพวกนางด้วยความกังวลเช่นกัน จวนเจิ้นกั๋วกงมีบุตรชายคนเดียวมาเป็รุ่นที่สามแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงเซียวจวิ้นที่เป็หน่อเนื้อสายเืผู้เดียวเท่านั้น และยิ่งร่างกายของสองแม่ลูกต่างก็ไม่ค่อยดีสักเท่าไร จะให้เขาไม่เป็ทุกข์เป็ร้อนได้อย่างไร
“ฮูหยินเ้าคะ พืชพรรณที่เติบโตไปตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติ จึงจะให้สรรพคุณที่ดีที่สุดได้ ท่านอย่าร้อนใจเลย ที่บ้านข้ายังเก็บชาดอกไม้ไว้จำนวนหนึ่ง รอพวกข้ากลับไปแล้วจะส่งมาให้ท่านแล้วกันเ้าค่ะ อืม... แต่ผ่านไปอีกสักระยะหิมะอาจตกหนักปิดถนนก็เป็ได้ ไม่เช่นนั้นรอให้ผ่านเดือนแรกไปแล้วค่อยให้คนนำมามอบให้ดีหรือไม่เ้าคะ?”
เจินจูยิ้มจนดวงตาหยี หลุมพรางที่นางขุดก็หยุดรออยู่แค่นี้แล้ว ชาดอกไม้ของนางมีสรรพคุณแน่นอน แต่จะให้เห็นผลทันทีนั้นย่อมเป็ไปไม่ได้ ต้องรอสามปีห้าปี แม้ไม่แน่ว่าจะทำให้ฮูหยินกั๋วกงตั้งครรภ์ขึ้นได้ดังหวัง แต่นี่จะทำให้ร่างกายของนางแข็งแรงขึ้นอย่างแน่นอน กล่าวขึ้นมาแล้วก็ไม่นับว่าเป็หลุมพรางของนางสักเท่าไร
เถาซื่อรีบหันศีรษะไปทันที ส่งสายตาขอร้องไปยังเซียวฉิงให้เขาส่งองครักษ์ร่วมเดินทางไปกับนาง แล้วรับชาดอกไม้กลับมาด้วย
เซียวฉิงพยักหน้ารับโดยไม่คิดเลยแม้แต่น้อย
“…”
ต้องรีบร้อนเพียงนี้เลยหรือนี่
เชิงอรรถ
[1] ถอยทัพเก้าสิบลี้ หมายถึง การยอมถอย หลีกเลี่ยง ยินยอมไม่สู้รบปรบมือด้วย