สายฝนที่กระหน่ำลงมาหลายชั่วโมง หยุดลงในเวลาสองทุ่มกว่า
แสงจันทร์ส่องสว่างขึ้นมาบนท้องฟ้า ดวงจันทร์ในวันนี้สว่างสดใสสวยงามราวกับเพิ่งถูกฝนชำระล้างไป
ผู้เป็แม่ยืนรับลมอยู่ในบ้าน เธอจ้องมองไปยังโคมไฟระย้ากลางบ้านก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ั้แ่ที่กินข้าวกลางวันไป เสี่ยวหรานก็ยังไม่ออกมาจากห้องเลยเป็อะไรไปนะ”
ซูอี้เหรินนั้น เมื่อเห็นว่าไม่รู้จะตอบกลับอย่างไรจึงได้เพียงแต่ยิ้มออกมาบางๆ ความจริงมันก็แค่ไม่กี่ชั่วโมงเองนักฝึกศาสตร์ระดับฝึกลมปราณนั้น แม้ว่าจะยังไม่สามารถอดอาหารได้แต่ว่าถ้ามีน้ำและอาหารมากพอ การที่จะเก็บตัวหลายๆ ปีก็เป็เื่ที่พบเห็นได้ปกติ
เพียงแต่เขาไม่รู้ว่า รุ่นพี่หลินนั้นอยู่ในระดับขั้นไหนแล้ว?
แววตาของซูอี้เหรินเปล่งประกายออกมารุ่นพี่หลินน่าจะเป็คนแรกในกลุ่มของพวกเขา ที่จะได้เป็ระดับพื้นฐานสินะ?
หลินลั่วหรานนั้นไม่ได้นั่งสมาธิพยายามฝึกอยู่อย่างที่ซูอี้เหรินคิดภายในห้องที่เงียบสงบ หลินลั่วหรานหลับตาทั้งสองลงกลุ่มแสงห้าสีรายล้อมอยู่รอบตัวของเธอหลังจากที่ถูกหลินลั่วหรานพยายามบีบอัดแน่นเข้าในที่สุดมันก็กลายเป็ไข่มุกแก้วประกายแสงสีรุ้งออกมา
หลินลั่วหรานลืมตาขึ้น ก่อนที่จะเก็บไข่มุกนั่นเข้ามาอย่างระมัดระวังเธอทิ้งสายตาลงพร้อมกับใช้สมองคิดไตร่ตรอง ก่อนที่จะหลับตาลงอีกครั้งเธอหวังว่าจะสามารถฟื้นฟูพลังกลับมาได้ในเวลาสั้นๆ นี้
เสี่ยวจินลืมตาขึ้นมามองไปยังหลังเขาอยู่บ่อยๆ วันนี้ทั้งวันจิตของมันไม่สงบนิ่งเอาเสียเลย มันคือััพิเศษอย่างหนึ่งของอินทรีขนทอง
ไม่ทันได้รู้ตัว เข็มนาฬิกาก็เดินมาถึงเวลาตีสองทำให้หลินลั่วหรานมองไปยังหลังเขาด้วยความกังวลก่อนที่จะเกิดคลื่นพลังอันแรงกล้าขึ้นมาสั้นๆ เพียงไม่กี่วินาที แล้วก็กลับไปสงบดังเดิม
หลินลั่วหรานรีบลืมตาขึ้นในทันทีเธอออกคำสั่งกับเสี่ยวจินอยู่สองสามประโยคก่อนที่สีหน้าของอินทรีตัวนี้จะหนักแน่นขึ้นมา
หลินลั่วหรานเปิดหน้าต่างออก ก่อนที่จะร่อนตัวลงมาก่อนที่จะเห็นว่าหลีซีเอ๋อร์และซูอี้เหรินเองก็ลุกขึ้นมาแล้วการขับเคลื่อนพลังครั้งใหญ่แบบนี้ทำให้แม้แต่นักฝึกศาสตร์ที่มีระดับน้อยอย่างทั้งสองยังต้องใ
เมื่อเห็นว่าหลีซีเอ๋อร์จะส่งเสียงเรียกออกมาหลินลั่วหรานก็แสดงท่าทางให้เธอเงียบเสียงลงก่อนที่เสียงอันหนักแน่นจริงจังของหลินลั่วหรานจะดังขึ้นในหัวของทั้งสอง “อยู่ที่บ้านนะถ้าเกิดว่าสถานการณ์ไม่ดีก็รีบหนีไป...พ่อกับแม่แล้วก็ลั่วตง เสี่ยวจินจะพาไปเองดูแลตัวเองให้ดีก็พอ”
เมื่อซูอี้เหรินตั้งท่าจะพูดอะไรสักอย่าง หลีซีเอ๋อร์ก็รั้งเขาเอาไว้ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้กับหลินลั่วหราน
แม้ว่าพ่อของหลินลั่วหรานนั้นจะััได้ถึงพลังแล้วแต่การที่หลินลั่วหรานมีระดับการฝึกที่สูงมากนั้น เขายังไม่ได้รับรู้อะไรพวกหลีซีเอ๋อร์นั้นไม่ได้จะคิดปิดบังั้แ่แรก จึงปลุกเขาให้ตื่นขึ้นมาเมื่อผู้เป็พ่อเดินออกมาดู ก็เห็นเพียงหลินลั่วหรานพุ่งออกไปราวกับนกตัวใหญ่ เสื้อผ้าของเธอสะบัดพลิ้วก่อนจะหายไปในป่าเพียงชั่วพริบตา
แสงจันทร์เด่นกล้า สีหน้าของหลีซีเอ๋อร์เต็มไปด้วยความหนักแน่นก่อนที่จะฝืนรอยยิ้มออกมา
“คุณพ่อคะ ดูเหมือนว่าคืนนี้จะนอนไม่ได้แล้วล่ะ”
เส้นทางในเขาเพียงไม่กี่ลี้ สำหรับหลินลั่วหรานในตอนนี้แล้วก็ไม่ได้ถือว่าไกลมากนัก เพียงการะโพุ่งตัวไม่กี่ครั้งเธอก็เห็นตัววัดชิงเฉิงจากที่ไกลๆ แล้ว มีคนอยู่ที่หลังคาด้วย!
หลินลั่วหรานเหลือบสายตาขึ้นมองนักปราชญ์ชรารูปร่างผอมคนหนึ่งยืนหันหลังให้กับแสงจันทร์ทำให้มองเห็นใบหน้าของเขาได้ไม่ชัดนัหหญิงสาวสวมชุดดำยืนอยู่ที่อีกมุมหนึ่ง หญิงสาวสวมชุดดำนั้นไม่จำเป็ต้องพูดถึงดังนั้นนักปราชญ์ชราคนนั้นจะต้องเป็เ้าอาวาสอย่างแน่นอนดูจากการสั่นไหวของพลังเมื่อครู่ ดูเหมือนว่าทั้งสองจะเริ่มลงมือกันไปแล้ว
หลินลั่วหรานนั้นรู้ในความสามารถของตัวเองดีเธอไม่มั่นใจว่าจะซ่อนตัวจากทั้งสองได้ จึงเข้าขยับไปใกล้พวกเขาโดยไม่หลบซ่อนพอขยับเข้ามาใกล้ ก็สามารถสังเกตเห็นรอยเืที่มุมปากของหญิงสาวสวมชุดดำขึ้นมาได้ส่วนเ้าอาวาสวัดชิงเฉิงนั้นกลับไร้ร่องรอยใดๆ ดูเหมือนว่าเขาจะได้เปรียบอยู่
หลินลั่วหรานรู้สึกสบายใจขึ้นมาไม่แน่ว่าคืนนี้พ่อกับแม่อาจจะไม่ต้องไปไหน และนั่นก็คงจะดีมากทีเดียว
ในที่สุดพวกเขาก็ต้องฉีกหน้ากากออก ในเวลาตลอด่บ่ายที่ผ่านมาอดทนมาจนถึงตอนนี้ได้ ก็ไม่รู้ว่าระหว่างนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง
หญิงสาวสวมชุดดำเผยรอยยิ้มออกมา เืที่มุมปากของเธอยังไม่แห้งดีเมื่อยิ้มออกมาแบบนี้ จึงทำให้ดูสวยงามและน่ากลัวไปในขณะเดียวกัน “มาอีกหนึ่ง ์นั้นช่างช่วยให้ประหยัดเวลาจริงๆ...”
หลินลั่วหรานไม่ได้สนใจอะไรเธอเพียงแค่แสดงความเคารพท่านเ้าอาวาสเท่านั้น “ต้องขอขอบคุณในความกรุณาของท่าน” ในสถานการณ์แบบนี้ พูดมากความไปก็ไม่เหมาะไม่ควรมีบางเื่ที่ไม่พูดออกมาก็น่าจะดีกว่า
นักปราชญ์ชราฮุยจู๋พยักหน้าลงช้าๆก่อนที่จะเปลี่ยนเป็เสียงหัวเราะเย้ยหยันของหญิงสาวสวมชุดดำที่ดังขึ้น “โลกแห่งการฝึกศาสตร์เริ่มให้คำแนะนำสนับสนุนเด็กรุ่นใหม่ั้แ่เมื่อไร...” น้ำเสียงของเธอนั้นเบาลงเรื่อยๆทำให้ทุกคนต่างก็อยากจะรู้ประโยคส่วนที่เหลือหลินลั่วหรานนึกไปถึงเื่ผิดปกติที่เกิดขึ้นที่บ้านหลิน ก่อนที่จะใขึ้นมาเธอกัดลิ้นของตัวเองอย่างแรง เพื่อเรียกให้ได้สติกลับมา
ที่แท้สถานการณ์ในตอนนี้ก็เปลี่ยนไปมากแล้วนักปราชญ์ชราฮุยจู๋ถือแส้หางม้าเอาไว้ในมือ มันน่าจะเป็อาวุธวิเศษชนิดหนึ่งในตอนที่เต็มไปด้วยพลัง แส้หางม้าเห็นประกายเด่นชัดขึ้นภายใต้แสงจันทร์มันลุกตั้งขึ้น ราวกับเข็มเหล็กที่ทำเอาผู้คนต้องหวาดผวา
หลังจากระดับพื้นฐานแล้ว แหล่งพลังก็จะขยายออก จุดรวมพลังก็จะสมบูรณ์ขึ้นพลังในร่างของผู้ฝึกก็จะสามารถกลั่นออกมาเป็พลังได้อย่างช้าๆ พวกอาวุธเวทนั้นต้องใช้พลังในการพัฒนามันขึ้น ถึงจะสามารถแสดงพลังที่แท้จริงของมันออกมาได้
หญิงสาวชุดดำส่งเสียงหัวเราะใสออกมาก่อนที่ในมือขวาของเธอจะปรากฏดอกไม้สีดำขึ้น แล้วค่อยๆ ขยายออกภายใต้แสงจันทร์หลินลั่วหรานไม่แม้แต่จะกะพริบตา นี่จะต้องเป็อาวุธเวทของเธออย่างแน่นอน
ในโลกแห่งการฝึกศาสตร์นั้น ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องฝึกดาบหลินลั่วหรานจับปิ่นปักผมฟีนิกซ์ในมือไว้แน่น ถ้าหากว่าเสวี่ยเจี้ยนไม่ได้เป็อะไรดาบทั้งสองได้รวมพลังกัน เธอก็อาจจะไม่ต้องกังวลถึงขนาดนี้ใช่ไหม?
ในตอนนั้นเอง ้าหลังคาก็เกิดการปะทะกันขึ้นแส้หางม้าของนักปราชญ์ชราฮุยจู๋นั้นมีความว่องไวกว่า ทุกครั้งที่มันขยับสั่นไหวก็จะโจมตีไปยังรอบตัวของหญิงสาวสวมชุดดำ ทำให้เธอไม่อาจจะขยับไปที่อื่นได้
บางทีนี่อาจจะเป็พลังความสามารถของผู้าุโระดับพื้นฐานหรือว่าเป็เพราะสถานการณ์ของพลังบนโลกในปัจจุบันทำให้พวกเขาไม่สามารถที่จะสิ้นเปลืองได้ในทุกๆ การโจมตี? หลินลั่วหรานไม่อยากจะขยับดวงตาของเธอไปไหนแน่นอนว่าเป็เพราะการต่อสู้ของระดับพื้นฐานนั้นหาพบได้ยาก ในทุกๆ การโจมตีต่างก็เป็แรงกระตุ้นให้คนที่ด้อยประสบการณ์ด้านการต่อสู้อย่างเธอ
กลีบของดอกบัวสีดำค่อยๆ บานออก เผยให้เห็นดอกบัวสีขาวด้านใน สีดำขาวประชันกันขึ้นมาก่อนที่หลินลั่วหรานจะััได้ถึงกลิ่นหอมที่ลอยขึ้นมาในอากาศมันดูคุ้นเคยจนทำให้เธอนึกถึงดอกไม้สีดำที่เธอเจอที่หน้าผาขึ้นมาได้ ดูเหมือนมากไม่ใช่ว่า...
หลินลั่วหรานมึนงงไปสักพักก่อนที่ร่างของหญิงสาวสวมชุดดำจะปล่อยหมอกสีชมพูออกมาอย่างไร้เสียงหลินลั่วหรานขยับสายตากลับมา คำว่า “ท่านเ้าอาวาสระวัง” ยังไม่ทันหลุดออกจากปากของเธอหมอกสีชมพูนั่นก็กลายเป็รูปร่างงูพุ่งไปยังตัวของนักปราชญ์ชราฮุยจู๋ เมื่อเทียบกันกับหมอกงูของโจวเหย้าเวยที่คลับบลูเบิร์ดแล้วงูั์ของหญิงสาวสวมชุดดำคนนี้ ดูมีพลังและว่องไวกว่ามาก เพียงในชั่วพริบตามันก็พุ่งไปถึงด้านหน้าของฮุยจู๋เสียแล้ว
หลินลั่วหรานสูดลมหายใจเข้า ไม่แปลกที่เธอจะคุ้นตาเพราะมันเป็ศาสตร์เดียวกันกับของโจวเหย้าเวยอย่างแน่นอนผู้หญิงคนนี้มาแก้แค้นอย่างนั้นเหรอ? แบบนั้นเธอยิ่งปล่อยให้เ้าอาวาสมารับแทนเธอไม่ได้...ปิ่นปักผมฟีนิกซ์กลายร่างเป็ดาบออกมาที่นี่ไม่มีแม่น้ำใหญ่ให้ยืมพลังน้ำ แต่ว่าในป่าเขาเองก็มีพลังธาตุน้ำอยู่ไม่ขาดในตอนที่ฟ้ากำลังสลัวๆ แบบนี้ ก็เป็เวลาหมอกลงพอดีไม่ใช่เหรอ?
ในเมื่อหญิงสาวสวมชุดดำคนนี้อาจจะเป็อาจารย์ของโจวเหย้าเวยแล้วหลินลั่วหรานจะต้องยั้งมือทำไม
อะไรนะ? คุณบอกว่าจะลอบโจมตีไม่ได้เหรอ? ไร้สาระน่ะ! สมัยนี้แล้วใครมัวแต่เล่นตามกติกาก็โง่แล้วล่ะ
นักปราชญ์ชราฮุยจู๋นั้นมีประสบการณ์ในการต่อสู้มากกว่าหลินลั่วหรานเขาจึงสามารถหลบออกมาได้อย่างง่ายดาย หมอกงูนั้นไม่ได้แตะต้องโดนแม้แต่ชายเสื้อของเขาด้วยซ้ำ
ในตอนนี้ “หมอกลง” ของหลินลั่วหรานนั้นเป็เหมือนกับ “หมอก” ในยามกลางคืนที่ไร้ซึ่งเสียงโจมตีไปยังด้านหลังของหญิงสาวสวมชุดดำ
จิตใจของหลินลั่วหรานต่างรวมกันแน่นไปที่ตัวดาบเธอมองไปยังดาบเจาเจี้ยนเตรียมที่จะฟันลงที่ตัวของหญิงสาวคนนั้นก่อนที่เส้นเงินจะเข้ามาพันรัดดาบของเธอเอาไว้เสียก่อน...
หลินลั่วหรานมองไปยังนักปราชญ์ชราฮุยจู๋ที่อยู่ๆ ก็ลงมือกับเธอราวกับโดนฟ้าผ่าลงมาใส่
แต่หญิงสาวสวมชุดดำนั้นกลับหัวเราะคิกคักออกมาจนกลีบดอกไม้ต่างพากันขยับสั่นไหว