หลินฟู่อินเบิกตาขึ้นมา หากมันกินมนุษย์เช่นนั้นก็ฆ่าล้างบางมันไปให้สิ้นเสียจะดีกว่า
เมื่อเห็นว่าหลินฟู่อินคลายสีหน้าไม่พอใจในตอนแรกลงแล้ว หวงฝู่จินก็โล่งอก เด็กสาวผู้นี้มีจิตใจที่อ่อนโยนเพียงใดกันนะ?
หากนางไปเป่ยหรงแล้ว นางจะทนมองปศุสัตว์ที่ถูกสังหารไม่เว้นวันได้หรือ?
“จิ้งจอกม่วงออกล่ามนุษย์และปศุสัตว์ตลอดเลยหรือ?” หลินฟู่อินสนใจขึ้นมา ในใจพลางคิดว่าหากจิ้งจอกม่วงมีขนาดเท่าเสือจริงๆ ก็นับว่าน่าหวาดหวั่นนัก
มันคงต่างกับจิ้งจอกน้อยแสนน่ารักที่นางวาดภาพไว้จริงๆ
“ใช่ และมันมักมากันเป็ฝูง หากคนทั่วไปพบเข้าก็ไม่มีทางรอด ในเป่ยหรง การได้พบหมาป่าหรือเสือนั้นไม่ใช่เื่น่าหวาดหวั่น แต่หากพบกับจิ้งจอกม่วงหรือหมาป่าใหญ่ก็แทบไม่มีทางรอด” หวงฝู่จินกล่าว
แต่เขาไม่ได้บอกนางว่าการสังหารจิ้งจอกม่วงนั้นไม่ใช่เื่ง่าย
เพราะระดับสติปัญญาของมันไม่เป็รองมนุษย์เลย ทั้งยังเ้าเล่ห์เสียยิ่งกว่ามนุษย์ปกติ ผนวกเข้ากับความป่าเถื่อนของสัตว์ป่า
หลินฟู่อินไม่รู้ถึงความคิดของหวงฝู่จิน เพราะได้ยินจากเขาแล้วว่ามันเป็สัตว์อันตราย นางจึงไม่มีความเห็นใจให้แก่พวกมันอีก
อย่างไรเสีย การจัดการกับสัตว์ป่าในเขตอยู่อาศัยก็เป็สิ่งที่จำเป็ต้องทำนับแต่โบราณ
หวงฝู่จินมองใบหน้าอันน่ารักของหลินฟู่อินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยื่นนิ้วออกไปััจมูกของนาง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “อินเอ๋อร์ เ้าคงคิดว่าข้าเป็คนโหดร้ายใช่หรือไม่?”
หลินฟู่อินอึ้งค้างไปอีกครั้ง นางทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะกล่าวสิ่งใด จึงเพียงเม้มปากไปเงียบๆ
“รีบๆ ขึ้นรถม้าเสีย ลมเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว” หวงฝู่จินเร่งให้ฟู่อินรีบขึ้นไปบนรถม้า
เมื่อทั้งสองขึ้นไปบนรถม้าแล้ว หวงฝู่จินจึงได้ยื่นมือออกไปจับมืออันเย็นเฉียบของหลินฟู่อิน ก่อนจะถอนหายใจยาว แต่เมื่อเห็นว่านางไม่ได้พยายามหลบเลี่ยงแล้ว เขาก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย
เขามองใบหน้าเล็กๆ ที่สุกเป็ลูกตำลึงของนาง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย “อินเอ๋อร์ ข้าควรจะทำเช่นไร เ้าจึงจะกลับมาอารมณ์ดีหรือ?...”
หลินฟู่อินได้ยินแล้วก็ใจนนิ่งไป
หวงฝู่จิน… กล่าวด้วยท่าทีจริงจังยิ่ง สติของเขายังดีอยู่หรือไม่?
เขามีแม่นางหลีอู่นั่นอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?
“คุณชาย อย่าได้กล่าวคำเช่นนั้นกับข้าอีกในอนาคต เพราะข้าไม่เข้าใจ” หลินฟู่อินสูดหายใจเข้าลึก แล้วมองหวงฝู่จินด้วยสีหน้าจริงจัง
หลินฟู่อินลองพิจารณาดูแล้ว มีหลายเื่ที่ไม่อาจหลีกหนีไปได้ตลอด ดังนั้นนางจึงต้องทำให้มันชัดเจนเสียั้แ่เนิ่นๆ
เมื่อสบประสานั์ตาที่จริงจังของหลินฟู่อินแล้ว หวงฝู่จินก็รู้สึกว่าดวงตาของนางช่างน่ารักนัก
ใจเขาอยากดึงมากอดนัก แต่เขากลัวว่าจะถูกนางปฏิเสธ
ดูท่าว่าหากเขาไม่ตอบให้ชัดเจนเสียตรงนี้ แม้ว่าหลังจากนี้นางจะยังหยอกล้อกับเขาบ้าง แต่ก็คงไว้ตัวมากขึ้น เขาเองก็อยากบอกนางยิ่งนัก แต่เขาไม่อาจพูดมันออกไปได้
เขาไม่กล้าพูดอะไรพล่อยๆ ในสถานการณ์นี้ และแม้เขาจะอยากหยอกล้อกับนางอีก แต่มันไม่เหมาะสมนักในสถานการณ์นี้ เขาจึงต้องยั้งไว้
หวงฝู่จินพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เขาคิดว่าเด็กสาวตรงหน้ารู้ใจของตนเองอยู่แล้ว แต่เพราะเป็คนคิดมากเกินไป จึงไม่ยอมเชื่อในความรู้สึกของตนเอง และเมื่อไร้ความเชื่อ นางจึงไม่ยอมเคลื่อนไหวตามที่ใจเรียกร้อง
นางไม่กล้าเข้าหาเขา เช่นนั้นแล้วเขาจะเข้าหานางเอง
เขาเองก็เคยมี่เวลาที่คิดมากเกินเช่นกัน คิดว่านางยังเด็กเกินไป คิดว่านางจะกลัวเขา ทั้งพวกตวนมู่เฉิงยังเตือนเขาอีกว่าปูมหลังของนางนั้นไม่ชัดเจน
ทว่าคำกล่าวหนึ่งของเหล่าลิ่วได้ทำให้เขาปลอดโปร่งขึ้น
เหล่าลิ่วได้กล่าวว่า เขาเห็นว่าทั้งหลิวฉินและหลี่อี้ต่างก็หลงใหลในตัวคุณหนูหลิน และคุณหนูหลินเองก็พอใจกับทั้งสองอยู่ไม่น้อย แม้เขาจะไม่รู้ก็ตามว่านางหลงใหลใครกันแน่…
เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้ว หวงฝู่จินจึงตัดสินใจกลับมายังเมืองชินหยาง แล้วเร่งสร้างสัมพันธ์กับนางเพื่อไม่ให้นางถูกบุรุษอื่นล่อลวง
จะเ้าหลี่อี้นั่นก็ดี หรือเ้าหลิวฉินนั่นก็ดี แม้พวกมันจะหลอกตาผู้อื่นได้ แต่มันหลอกเขาไม่ได้!
เ้าสองคนนั้นต้องไม่ใช่อย่างที่คนอื่นเห็นเป็แน่!
“อินเอ๋อร์ เ้าน่ะเข้าใจในสิ่งที่ข้าสื่ออยู่แล้ว และต่อให้เ้าหลอกข้าได้สำเร็จ เ้าก็คงหลอกตัวเองไม่ได้หรอกใช่หรือไม่?” หวงฝู่จินกล่าวด้วยรอยยิ้มชุ่มฉ่ำ
หลินฟู่อินรำคาญนัก
แม้มันจะเป็เื่จริง แต่เขาหน้าด้านพอที่จะกล่าวออกมาได้เช่นไรกัน ไม่เข้าใจหรือไรว่านางกำลังเตือนเขาอยู่ และกำลังพยายามรักษาระยะห่างกับเขาอยู่น่ะ?
หลินฟู่อินเก็บความไม่พอใจไว้ในอก นางคิดว่าตนเป็คนหัวไว ดังนั้นแล้วแม้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาจะเป็ความลับ แต่นางก็เชื่อว่าหากนางพยายามแล้ว นางก็คงขึ้นไปทัดเทียมกับเขาได้
นับั้แ่เกิดมา นางพยายามที่จะทำใจให้เข้มแข็งไว้เสมอ แม้ว่าในใจจะเศร้าก็ตาม
แต่ตอนนี้เขากำลังจงใจแกล้งนางอยู่ใช่หรือไม่?
นางมองเขาอย่างกรุ่นโกรธ “หวงฝู่จิน ท่านเข้าใจเื่ที่ข้ากล่าวออกไปอยู่แล้ว อย่า ได้ กล่าว เช่น นี้ กับ ข้า อีก”
นางเตือนอีกครั้ง
หวงฝู่จินขยับเข้ามาใกล้นางมากขึ้น เขายื่นจมูกเข้ามาใกล้กับจมูกของหลินฟู่อิน ลมหายใจร้อนผ่าวััใบหน้านาง
หลินฟู่อินขนลุกทันที ร่างกายเริ่มสั่นสะท้านขึ้นมา
มันคือความกังวล
“เ้ากลัวข้าหรือ?” ริมฝีปากของหวงฝู่จินเคลื่อนไปใกล้ใบหูของหลินฟู่อิน แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ยิ่งเขาเข้าใกล้นางมากเพียงใด เขาก็ยิ่งอยากโอบกอด อยากเป็หนึ่งเดียวกับนางมากขึ้นเท่านั้น
แต่นางกำลังสั่นเทา นางกำลังหวาดกลัวอยู่…
หวงฝู่จินต้องใช้ความอดกลั้นอย่างสูงในการไม่โอบกอดหลินฟู่อิน
แต่หลินฟู่อินเองก็กำลังใช้ความอดทนอย่างสูงในการทำใจให้สงบและไม่ะโหนีลงจากรถม้าเช่นกัน
ตอนนี้นางกลัวเขาแล้ว
ด้วยท่าทีที่ไม่ชัดเจนว่าอยากทำอะไรกันแน่ ทั้งยังรักษาระยะห่างบ้างไม่รักษาบ้างจนนางรับมือไม่ถูก
จนนางทำได้เพียงสั่นกลัวเท่านั้น…
หลินฟู่อินยังไม่รู้ตัวว่านางไม่มีทางหนีแล้ว
นางติดอยู่ในกับดักอย่างไร้ทางออก
ส่วนหวงฝู่จินนั้นรู้ตัวแล้วว่านางไม่มีทางหนี
และเขาก็มีความสุขมากที่จะได้ใช้เวลาใกล้ชิดกับนางมากขึ้น…
“อย่าเข้ามาใกล้ข้าขนาดนี้จะได้หรือไม่?” หลินฟู่อินกัดฟันกล่าว
“ข้ากลัวว่าเ้าจะหนาว ข้าจึงพยายามอยู่ใกล้ๆ เ้า” หวงฝู่จินมองดวงตากลมโตของนาง และเมื่อเห็นเงาสะท้อนในดวงตาสองดวงนั้นแล้ว เขาก็พอใจขึ้นมา
“ข้าไม่หนาว” หลินฟู่อินหมดแรง นางจึงเริ่มเบ้ปากแทน จากนั้นจึงกล่าวต่อ “ถอยออกไปแล้วคุยกันดีๆ”
หวงฝู่จินได้ยินเสียงของนางก็รู้ว่านางใกล้ะเิเต็มทีแล้ว และเขาก็ไม่ได้อยากให้นางโกรธมากนัก เขามองนางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะงุนงงไปกับความจริงจังในสายตาของนาง แล้วยอมถอยให้
“ยอมถอยให้ก็ได้ แล้วเ้าอยากกล่าวอะไรกับข้ากัน?” หวงฝู่จินดีใจนักที่นางจะเปิดอกคุยกับเขา เขาไม่สนเสียด้วยซ้ำว่ามันจะเป็เื่อะไร
หลินฟู่อินกำหมัด แล้วมองดวงตาได้รูปของเขาเงียบๆ
หากถามไปแล้วหวงฝู่จินยังคิดบ่ายเบี่ยงอีก นางก็จะไม่ถามแล้ว
แต่นางก็เลิกคาดหวังว่าเขาจะตอบไปแล้วเช่นกัน
คู่ค้าก็คู่ค้า!
หวงฝู่จินััได้ถึงการเตรียมใจของนาง เขาจึงตัดสินใจเงียบๆ ในใจ
ไม่ว่าเด็กสาวผู้นี้จะถามอะไร เขาจะไม่บ่ายเบี่ยงหรือโป้ปด
ตอนนี้เขาเพียงอยากเปิดเผยทุกสิ่งให้นางได้ฟัง
“ขอถามตรงๆ ท่านมีความสัมพันธ์อย่างไรกับแม่นางหลีอู่กันแน่?” เมื่อถามจบ หลินฟู่อินก็รู้สึกราวกับได้ยกูเาออกจากอกจนหัวใจปลอดโปร่งขึ้นมา
ไม่ว่าหวงฝู่จินจะยอมตอบนางตรงๆ หรือไม่ แต่นางก็ได้ทำเต็มที่แล้ว
ไม่เหลืออะไรให้เสียใจอีก
ทุกผลที่จะตามมา นางพร้อมดวงตาใสกระจ่างคู่นั้นมองเขา ผู้ที่กำลังมีสีหน้าโล่งอก
หวงฝู่จินโล่งอก โล่งอกมากเสียจนแทบจะรู้สึกผิด แล้วจึงกล่าวออกมาเรียบๆ “หลีอู่เป็พี่สาวของข้า”
คำว่าพี่สาวทำให้แก้วหูของหลินฟู่อินสั่นสะท้าน แม้เสียงของหวงฝู่จินจะไม่ได้ดังเลยก็ตาม
พี่สาวเนี่ยนะ?
หลินฟู่อินโล่งอก ก่อนจะถามต่อ “พี่สาวแท้ๆ หรือ?”
หากเป็พี่แท้ๆ แล้ว สองพี่น้องคู่นี้กำลังประสบกับปัญหาเช่นใดอยู่กันนะ เพราะกลุ่มคนที่ได้พบเมื่อคราวก่อนนั้นต่างก็มีท่าทีอยากสังหารทั้งสองชัดเจน
หวงฝู่จินนึกถึงหลีอู่สีหน้าก็ตึงขึ้นมาเล็กน้อย เพราะหลีอู่ถูกกักบริเวณทันทีที่กลับไปถึงเมืองหลวง
กักบริเวณนานถึงสามเดือน
เพราะหลีอู่เมินเฉยต่อคำเตือนของเขา แล้วไปกล่าวกับเสด็จพ่อว่าพี่ใหญ่และพี่รองกำลังพยายามเข่นฆ่ากันเองอยู่
ทว่าเพราะไร้ซึ่งหลักฐาน เสด็จพ่อจึงไม่เชื่อ
และต่อให้เชื่อก็คงไม่ทำอะไรทั้งสิ้น
พี่สาวของเขาจึงโมโหมาก ก่อนจะถูกกักบริเวณถึงสามเดือน
“หลีอู่เป็พี่น้องต่างมารดาของข้า มารดาของข้ามักช่วยคุ้มกันนางอยู่บ่อยๆ ในตอนที่มารดาของนางยังมีชีวิตอยู่ แต่ในตอนที่มารดาของข้าและมารดาของนางจากไป พวกเราพี่น้องก็เติบโตขึ้นมาโดยคอยช่วยเหลือกันและกัน” หวงฝู่จินไม่คิดปิดบังอีกต่อไป
แม้กระทั่งตัวตนที่แท้จริงของเขาเองก็ตาม ที่เขากำลังค่อยๆ บอกใบ้ให้หลินฟู่อินได้ฟังไม่ว่าจะ้าหรือไม่
“ครั้งนั้นที่เราได้พบกับนักฆ่าในเมืองชิงหยาง เมื่อเห็นว่าข้าได้รับาเ็ นางจึงโกรธมาก และตรงดิ่งกลับไปยังเมืองหลวงเพื่อเค้นถามบิดาข้า เป็ผลให้นางถูกกักบริเวณห้ามออกจากวังสามเดือน”
กักบริเวณสามเดือน เมืองหลวง…
ข้อมูลนี้แทบทำให้ิญญานางหลุดออกจากร่าง
สตรีผู้นั้นยังไม่ได้สมรส และนางมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงเพื่อเค้นหาคำอธิบาย จนโดนกักบริเวณสามเดือนไม่ให้ออกจากวัง เพียงเท่านี้ก็แทบไม่ต้องเดาแล้ว
สตรีที่สามารถเข้าออกวังได้ นอกจากองค์หญิงของแคว้นแล้วก็ไม่มีใครอื่นอีก ดังนั้นหวงฝู่จินก็ต้องเป็องค์ชายหรือไม่ก็คือฮ่องเต้แห่งเป่ยหรง…
หลินฟู่อินคิด ‘ไม่แปลกใจเลยที่เขาดูมีสง่าและดูสูงส่งเช่นนี้ ทั้งยังมีแซ่หวงฝู่อีก…'
ตัวตนที่แท้จริงของเขาสูงส่งถึงเพียงนี้นี่เอง
เขาไม่ใช่พ่อค้าผู้ร่ำรวยจากเป่ยหรง เขาเพียงหลอกล่อให้เข้าใจผิดเพื่อปิดบังตัวตนที่แท้จริงเท่านั้น
“อินเอ๋อร์?” เมื่อหวงฝู่จินเห็นหลินฟู่อินส่ายหน้าไม่หยุด เขาก็เป็กังวลขึ้นมา…
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้