หากเด็กสามขวบคนหนึ่งมาพูดว่า "ข้าจะนอนกับเฉียวเฉียว"
เฉียวเยว่ก็จะลูบศีรษะเขาแล้วบอกว่า "เด็กดี พี่สาวจะพาเ้าไปเองนะ"
แต่ตัวอย่างกับลาเช่นนี้ หน้าของเขาคงจะขยายได้เท่ากับช่องแคบมะละกาเลยกระมัง
อีกอย่างผู้ใดจะไปรู้ว่าเ้าเป็ใคร เราสองคนสนิทสนมคุ้นเคยกันนักหรือ?
เฉียวเยว่เท้าสะเอว ดวงหน้าน้อยเต็มไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์ "พี่ชายิ่ คนที่รู้จักท่านรู้ว่าท่านสิบขวบแล้ว แต่คนที่ไม่รู้จักอาจนึกว่าท่านแค่สามขวบ"
คำเยาะหยันแบบนุ่มนวลของเฉียวเยว่ ไม่ได้ทำให้ิ่จื้อรุ่ยบันดาลโทสะ เขาหันไปมองซูซานหลาง "อาจารย์ ข้านอนกับเฉียวเยว่ได้หรือไม่ ข้าจะนอนห้องข้างนอก ข้าเป็วรยุทธ์ ปกป้องนางได้"
ซูซานหลางไม่แปลกใจสักนิดกับสาเหตุที่ิ่จื้อรุ่ย้ารั้งอยู่ที่นี่ เขาอมยิ้มกล่าวว่า "อาจารย์รู้จื้อรุ่ยเป็คนมีเหตุผล เพียงแต่เ้าโตแล้ว ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดกัน หากเ้ากับเฉียวเยว่อยู่ด้วยกันอาจเกิดปัญหาขึ้นได้ นอกจากนี้..." เขาเว้นจังหวะครู่หนึ่งก่อนเอ่ยอย่างจริงจัง "อาจารย์จะไม่ให้น้องเฉียวเยว่ของเ้าเกิดเื่อีกแน่นอน"
ิ่จื้อรุ่ยกัดริมฝีปาก ท่าทางจริงจัง "แต่น้องเฉียวเยว่เป็เด็กซื่อบื้อ ข้าไม่วางใจ"
เฉียวเยว่ม้วนแขนเสื้อเผยให้เห็นแขนอวบขาวราวกับรากบัว นางพ่นลมหายใจทางจมูก ขบกรามกรอดๆ "เ้าว่าใครซื่อบื้อ?"
ท่าทางพร้อมทะเลาะวิวาทเต็มที่
แม้ท่วงทีจะเข้มมาก แต่พอเห็นความอ้วนขาวน่ารักของนาง ิ่จื้อรุ่ยก็ยิ้มจนดวงตาโค้ง ต้องบอกว่าเวลาเขายิ้มนั้นน่ามองมากทีเดียว แม้จะสู้คนที่น่าทึ่งอย่างรัชทายาทไม่ได้ แต่เขาก็มีความองอาจเป็ดูเป็ชายชาตรีั้แ่เยาว์วัย ทั่วร่างดูแข็งแกร่งทะนงองอาจ กล่าวตามความจริง ความสง่างามเช่นนี้เป็แบบที่ได้รับความนิยมชมชอบ ไม่ว่าจะเป็ยุคสมัยก่อนที่จะข้ามภพมาหรือหลังข้ามภพมาก็ตาม
จะบรรยายอย่างไรดีล่ะ?
ิ่จื้อรุ่ยให้ความรู้สึกคล้ายกับซูเปอร์ตาน [1]
ส่วนรัชทายาทก็มีสง่าราศีแบบหนุ่มหล่อสูงศักดิ์ทีมนักฟันดาบ
โดยคร่าวๆ ก็ให้ความรู้สึกเช่นนี้
แต่ผู้ชายที่ดูกร้าวแกร่งเมื่อยิ้มออกมาก็ดูดีมีเสน่ห์เร้าใจมากเหมือนกัน
"เฉียวเฉียว เฉียวเฉียว?"
ซูซานหลางเห็นบุตรสาวมองิ่จื้อรุ่ยตาค้างก็งุนงง แต่เขามองออกว่าเฉียวเยว่หลงบุปผา [2] อีกแล้ว สีหน้าจึงไม่สู้ดีนัก "เมื่อง่วงแล้วก็รีบกลับไปพักผ่อน"
เฉียวเยว่ยกมืออวบขยี้ตา แต่บ่นอู้อี้อย่างไม่ยินยอม "ข้าไม่เอา"
"เ้ายืดลิ้นให้ตรงก่อนแล้วค่อยพูด" ซูซานหลางเอ่ย
เฉียวเยว่ถูมือน้อยๆ เอ่ยอย่างจริงจัง "ข้าอยากรู้สภาพร่างกายของท่านแม่" นางเคยชินกับการทำท่าทางแบบผู้ใหญ่ "พี่ชายิ่ไปพักผ่อนก่อน ข้าจะคุยเื่ในครอบครัวกับท่านพ่อ"
"เื่ในครอบครัว? เด็กน้อยอย่างเ้าแสร้งทำตัวเป็ผู้ใหญ่อะไรกัน กลับไปนอน"
เด็กน้อยอ้วนกลมราวกับลูกเจี๊ยบถูกซูซานหลางอุ้มขึ้นมา
ิ่จื้อรุ่ยน้ำเสียงผ่อนคลาย "อาจารย์ เฉียวเฉียวต้องหนักมาแน่ๆ ข้ารู้สึกว่าท่านอุ้มนางไม่ดูสบายๆ เหมือนเมื่อก่อน"
ชิ!
ดูสิ ใครบางคนทำตัวน่าชังอีกแล้ว
ปัญหาเื่ความอ้วนเป็เื่ที่สาวสวยอย่างเฉียวเยว่ไม่อยากเอ่ยถึงสักนิด แม้ว่าเสื้อผ้าของนางดูเหมือนจะคับอยู่หลายส่วนจริงๆ
แต่นี่เพราะเสื้อมันหด ไม่ใช่เพราะนางอ้วนขึ้นสักหน่อย
นี่เป็ไปไม่ได้
"ข้าไม่อ้วน ข้าไม่อ้วนเลยสักนิด" ริมฝีปากน้อยๆ ยื่นออกมา พลางตวาดเสียงดัง
ิ่จื้อรุ่ยเดินตามอยู่ด้านหลังของซูซานหลางกับเฉียวเยว่ เสียงหัวเราะของเขาฉายแววเยาะหยัน
เฉียวเยว่คับข้องใจอย่างมาก
"อาจารย์ น้องสาวเขลาเช่นนี้จะสอบเข้าสถานศึกษาสตรีได้หรือ?" ิ่จื่อรุ่ยเป็คนที่น่ารำคาญมากจริงๆ
ปรกติแล้วสตรีในยุคสมัยนี้จะเข้าเรียนที่สำนักศึกษาสตรีเมื่ออายุสิบขวบ แน่นอนว่ามีการสอบเข้า ไม่ใช่ใครนึกอยากจะเรียนก็สามารถเข้าเรียนได้
ต้องเป็คนที่มีผลการเรียนดีเลิศ ถึงสามารถเข้าเรียนที่สำนักศึกษาสตรีของกั๋วจื่อเจียน [3] ได้
ส่วนคนที่ผลการเรียนไม่โดดเด่นก็ต้องไปเรียนสำนักศึกษาสตรีอื่นๆ อาจารย์ในสำนักศึกษาแห่งนี้มีคุณวุฒิและความสามารถที่แตกต่างจากที่อื่นโดยสิ้นเชิง
ในความคิดของเฉียวเยว่ ก็เหมือนความแตกต่างระหว่างมหาวิทยาลัยปักกิ่ง มหาวิทยาลัยชิงหวากับมหาวิทยาลัยขั้นสามโนเนมทั่วไป
นางแค่นเสียหึ ยืดอก อ้อ... ไม่มีอกให้ยืด
ไม่ว่าอย่างไร นางก็เฉลียวฉลาดแล้วกัน ไม่มีเหตุผลที่จะสู้เด็กน้อยเ่าั้ไม่ได้
แต่นางไม่โต้เถียงกับิ่จื้อรุ่ย กลับหันไปฟ้องซูซานหลางอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ "ท่านพ่อ เขาพูดให้ร้ายข้า"
ซูซานหลางกลับไม่ปกป้อง "ถึงเ้าจะฉลาดมีไหวพริบ แต่นั่นก็ไม่เพียงพอให้เ้าสอบติดสำนักศึกษาหญิงของกั๋วจื่อเจียนได้หรอกนะ"
เฉียวเยว่อกแทบะเิเสียอย่างคับข้องใจ นี่บิดา้าถ่วงขาหลังนางใช่หรือไม่?
ฮือๆๆ
เด็กหญิงตัวน้อยรู้สึกว่าวันนี้อับจนหนทางจริงๆ หัวใจอึดอัดไปหมด
"ข้าจะไปหาท่านย่า ข้าจะไปหาท่านแม่ ข้าจะไปหา... สรุปว่าข้าจะไปฟ้องว่าท่านพ่อลำเอียงที่สุด"
ก้นน้อยๆ ของคนดื้อถูกตีอย่างแรง นางเอ่ยด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ "โอ๊ย ท่านพ่อเป็คนเลว"
เด็กหญิงตัวน้อยถูกซูซานหลางโยนเข้าไปในห้อง ิ่จื้อรุ่ยเดินตามอยู่ด้านหลัง กล่าวอย่างจริงจัง "อาจารย์ ต่อไปข้าจะปกป้องเฉียวเฉียวเองขอรับ"
ซูซานหลานยิ้มน้อยๆ "จื้อรุ่ยตั้งใจศึกษาเล่าเรียนก็พอ เ้ายังเป็เด็ก เื่นี้ไม่ต้องสนใจมากนัก"
ิ่จื้อรุ่ยเม้มกัดริมฝีปาก ฟังรู้ว่าอาจารย์ปฏิเสธ
แม้ว่าเขาอายุยังน้อย แต่ก็รู้ ไม่ว่าอาจารย์หรือเฉียวเฉียวล้วนแต่ชอบรัชทายาท เสด็จพี่รัชทายาทอ่อนน้อมถ่อมต้น มีมารยาท ฉลาดปราดเปรื่องสุภาพอ่อนโยน ทุกคนล้วนชมชอบ
แต่ไม่มีใครชอบเขาเลย
เขาบีบถุงเหอเปาที่เอว
ไม่มีสักคน
"จื้อรุ่ยปีนี้อายุสิบขวบแล้ว สิบขวบก็สามารถสมัครเข้าศึกษาที่กั๋วจื่อเจียนได้ หลังฤดูสารท เ้าจะเข้าสอบหรือไม่?" ซูซานหลางถาม เพียงชั่วพริบตาพวกเขาก็มาเรียนที่นี่ได้ห้าปีแล้ว ระดับของรัชทายาทกับจื้อรุ่ยเขาล้วนมองเห็น นับได้ว่าเป็คนที่มีทั้งพร์ความสามารถและมีความมุมานะพยายาม
ิ่จื้อรุ่ยรู้ หากตนเองไปเรียนหนังสือที่กั๋วจื่อเจียน สอบติดระดับพื้นฐานไม่ใช่ปัญหา
แต่หากไปกั๋วจื่อเจียนจริงๆ ก็หมายความว่าไม่อาจมาเรียนที่นี่ได้อีกแล้ว เวลาของเขาก็มีจำกัด
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ชอบตนเอง แต่ทว่า... ิ่จื้อรุ่ยเงยหน้า ดวงตาใสกระจ่าง "ข้าไม่อยากไปเรียนที่กั๋วจื่อเจียนขอรับ"
ซูซานหลางหยุดชะงัก เอ่ยถามอย่างไม่กระโตกกระตาก "เพราะเหตุใดรึ? เ้าควรรู้ว่าการได้ศึกษาในกั๋วจื่อเจียนสามารถช่วยให้เ้าก้าวหน้าเร็วขึ้น และยิ่งดีต่ออนาคตของเ้า"
"ข้ามักรู้สึกว่าความรู้ของตนเองยังไม่ดีพอ จึงอยากจะไปช้าสักสองปีขอรับ" ิ่จื้อรุ่ยตอบ
เขาอยากรอน้องเฉียวเฉียวไปเรียนด้วยกัน
เขารำพึงอยู่ในใจเงียบๆ แม้ว่าน้องเฉียวเฉียวจะไม่ชอบเขา เขาเองก็ไม่ได้ชอบน้องเฉียวเฉียว แต่นางเป็เด็กน้อยซื่อบื้อ ้าคนดูแล เขาจะปกป้องคุ้มครองนาง
ซูซานหลางยิ้มน้อยๆ "ในความเห็นของข้า จื้อรุ่ยปราดเปรื่องมีไหวพริบยิ่ง"
ิ่จื้อรุ่ยส่ายหน้า "ยังไม่ดีพอขอรับ ข้าจะต้องทำให้ดีกว่านี้ ต้องดีมากกว่านี้"
ซูซานหลางลูบศีรษะิ่จื้อรุ่ย แล้วเอ่ยว่า "ได้ กลับไปพักผ่อน ไม่ต้องคิดมาก อาจารย์รู้ว่าเ้าดีมาก อาจเป็เพราะรู้สึกว่าข้าชอบรัชทายาท จึงใส่ใจเขามากกว่า"
เขาเว้นจังหวะครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ "แท้จริงแล้วในใจข้าพวกเ้าล้วนไม่ต่างกัน ที่ข้าดูแลรัชทายาทมากหน่อยหาใช่เพราะมีใจเอนเอียง แต่เพราะเขาคือประมุขของแผ่นดินในกาลภายหน้า มีสิ่งที่จะต้องแบกรับมากมาย บางเื่เขาต้องรู้เร็วกว่าผู้อื่น แต่เ้าไม่เหมือนกัน เ้ายังมีเวลาสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุข สนุกสนานได้อีกหลายปี แต่รัชทายาทกลับไม่สามารถทำได้ สำหรับข้าแล้วไม่ว่าเ้าหรือเ้าตัวเล็กสองคนนั้น ข้าล้วนปรารถนาให้พวกเ้าเป็เด็กที่มีความสุข ไม่ใช่พอย้อนคิดถึงอดีตทีไรก็มีแต่เื่เรียนหนังสือ"
คำกล่าวเหล่านี้ทำให้ิ่จื้อรุ่ยหยุดเท้า มองซูซานหลางอย่างจริงจัง
"ดังนั้น... ดังนั้นน้องเฉียวเฉียวถึงเรียนหนังสือแบบแมวหนึ่งวันสุนัขหนึ่งวัน [4] ส่วนฉีอันก็มักจะโดดเรียนเป็ประจำเช่นนั้นหรือ?"
ซูซานหลางหัวเราะเบาๆ "พวกเ้าไม่ต้องแบกภาระอันใดมากมาย ดังนั้นข้าอยากให้พวกเ้ามีความสุข ตอนนี้เ้าอาจยังไม่เข้าใจ แต่ภายหน้าเ้าก็จะเข้าใจเอง"
"อาจารย์ ท่านจูงข้าเดินได้หรือไม่? เหมือนที่จูงเฉียวเฉียวกับฉีอันน่ะขอรับ" จู่ๆ ิ่จื้อรุ่ยก็เอ่ยปาก
ซูซานหลางพยักหน้า "ได้สิ"
เขาย่อตัวลงอุ้มิ่จื้อรุ่ยขึ้นมา เด็กชายถึงกับตะลึงพรึงเพริด ตัวแข็งทื่อ "อาจารย์..."
ซูซานหลางทอยิ้ม "บิดาเ้าเป็พี่ใหญ่ของข้า เขามีบุญคุณมากล้นที่ไม่อาจกล่าวให้ชัดเจนได้ เ้าก็เป็หลานชายของข้า จะว่าไปข้าก็ไม่เคยอุ้มเ้ามาก่อน แต่แขนแก่ๆ ขาแก่ๆ ของข้าเนี่ยสิ... เ้าเพิ่งจะสิบขวบ แต่ข้าคงจะอุ้มเดินไม่ไหว"
ิ่จื้อรุ่ย "..."
"เ้าตัวหนักกว่าเฉียวเฉียวมาก วันหน้าห้ามว่าบุตรสาวข้าอ้วนอีก" ซูซานหลางดูเหมือนจะไม่พอใจกับคำเรียกนี้
มุมปากของิ่จื้อรุ่ยโค้งขึ้น เขายิ้มตาหยี "แต่น้องเฉียวเฉียวเด็กกว่าข้าห้าปี เด็กห้าขวบก็เ้าเนื้อกันทั้งนั้น ไม่เรียกว่าอ้วนแล้วจะเรียกอันใด"
ซูซานหลางเห็นเขาเริ่มมีความเป็เด็กและสดใสร่าเริงขึ้น ก็ยิ้ม "เ้าเชื่อหรือไม่ว่าอาจารย์ฉวยโอกาสลงโทษเ้าคัดอักษรได้?"
"ข้าไม่กลัว เฉียวเฉียวเป็แค่เด็กน้อยยังไม่กลัว ข้ายิ่งไม่กลัว"
ซูซานหลางหัวเราะออกมา
เขาอุ้มิ่จื้อรุ่ยไปถึงห้อง กำชับกับเขาชัดแจ้งแล้วก็จากไป
แท้จริงแล้วท่านหมอจางที่ตรวจอาการให้ไท่ไท่สามก่อนหน้านี้ยังไม่กลับ กำลังรออยู่ที่ห้องโถง
ซูซานหลางเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียด น้ำเสียงค่อนข้างจะเย็นและห้วน "ร่างกายของภรรยาข้าเป็อย่างไร?"
เขาเปลี่ยนไปเป็อีกคน ไม่มีความอบอุ่นใจดีเหมือนเมื่อครู่
"ไท่ไท่สามต้องพิษ แต่เวลาเพียงสั้นๆ ไม่เป็อันตรายถึงชีวิต เพียงแต่หาก้าจะรักษา มีบางอย่างที่อาจไม่เหมาะสมนัก" หมอจางตอบ
หมอจางกับซูซานหลางรู้จักกันมาั้แ่เด็ก ความสัมพันธ์นับว่าไม่เลว บางเื่เขาสามารถพูดตรงไปตรงมาได้
"ระหว่างพวกเราไม่จำเป็ต้องอ้อมค้อม แต่บางคำหากพูดออกมา อาจทำให้เ้าเสียใจ"
"พูดมาเถอะ ไม่มีปัญหา"
"พิษในร่างกายของไท่ไท่สามไม่นับว่าเป็พิษร้าย แต่หากคิดจะถอนพิษจำเป็ต้องใช้สมุนไพรที่มีความรุนแรง และผลข้างเคียงของยาก็คือไม่อาจจะตั้งครรภ์ได้อีก" หมอจางตอบ
ซูซานหลางสีหน้าเรียบเฉย ไม่ว่าภายในใจจะสับสนว้าวุ่น แต่กลับไม่อาจพูดออกมาจากปากได้
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถามอีกว่า "หากไม่ใช้ยาตัวนี้จะเป็เช่นไร?"
หมอจางกล่าวอย่างจริงจัง "จะมีอาการปวดหัวรุนแรงต่อเนื่องหลายปีรักษาไม่หาย ทั้งยังสามารถทำให้เกิดโรคอื่นๆ ตามมา สิ่งเหล่านี้มิอาจคาดคะเนล่วงหน้าได้ ตราบใดที่ร่างกายมีพิษ คนจะดีได้อย่างไร? ในความเห็นของคนเป็หมอ ข้าอยากให้เ้าใช้ยา นี่ยังดีที่ตรวจพบเร็ว หากช้าไปกว่านี้ไม่เกินหนึ่งปี เกรงว่าไท่ไท่สามก็คง..."
"นางชอบเด็กมาก" ซูซานหลางรำพึง แต่ถึงจะเป็เช่นนี้เขาก็มีคำตอบในใจแล้ว
พวกเขามีลูกด้วยกันแล้วสามคน
ต่อให้ไม่มีอีก ก็ไม่เป็ไร หามีสิ่งใดสำคัญไปกว่าชีวิตของนาง
ซูซานหลางนิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนเอ่ยว่า "ใช้ยา เื่นี้มีเพียงเ้ากับข้าที่รู้"
...
[1] ซูเปอร์ตาน เป็ฉายาของหลินตาน นักแบดมินตันชายมืออาชีพที่ได้รับความนิยมสูงมากในประเทศจีน
[2] หลงบุปผา หมายถึง ผู้หญิงที่บ้าคนหล่อ เมื่อเห็นก็จะมองอย่างเคลิบเคลิ้มหลงใหล
[3] กั๋วจื่อเจียนเป็สถานศึกษาระดับสูง ก่อตั้งขึ้นสมัยราชวงศ์หยวน
[4] แมวหนึ่งวัน สุนัขหนึ่งวัน มักใช้เป็ความเปรียบกับเด็กเล็ก ที่ใช้ชีวิตแบบตามอำเภอใจ บางวันก็เชื่อฟังน่ารัก บางวันก็งอแงเอาแต่ใจ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้