ห้องเก็บสินค้าของร้านหอเจ็ดเทพนั้นมีมาตรการการป้องกันรักษาที่เข้มงวดมาก
ห่างออกไปมีผู้แข็งแกร่งห้าคนซึ่งมีการบำเพ็ญขั้นผู้พิทักษ์ระดับพิภพนั่งอยู่ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังนั่งพักผ่อนจิบชากันอยู่ ทว่ากลับแอบเหล่มองมาทางนี้ตลอดซึ่งเห็นได้ชัดว่าชายชราที่ถือตำราโบราณไว้ในมือคนนั้นต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างโชกโชนแน่นอนจึงทำให้ข้าไม่สามารถมองทะลุผ่านไปได้และเป็ไปได้ว่าเขาอาจจะบำเพ็ญไปถึงผู้พิทักษ์ระดับ์ได้แล้ว
ทันทีที่เดินเข้าไปในห้องลับผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบทั้งห้าคนก็เดินออกมาโค้งคำนับต้อนรับจากนั้นก็ยืนเรียงแถวกันอยู่ข้างๆ อย่างรวดเร็วหยางเซี้ยนกอดอกขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มมาทางข้า “เอาล่ะ เอาของล้ำค่าของเ้าออกมาสิ!”
ข้าหยิบขนนกสีเพลิงห้าอันออกจากแหวนกระดูกจักรภพแล้ววางลงบนโต๊ะ
เมื่อผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบสองสามคนเข้ามาสำรวจอย่างละเอียดแววตาของพวกเขาก็ลุกวาวขึ้นมาทันที หนึ่งในนั้นคือคนที่หนวดยาวที่สุดพูดขึ้น“คุณหนู นี่คือขนของาาวิหคสีเพลิงที่มีสายเืจักรพรรดิ มันยอดเยี่ยมมากทั้งยังใช้หลอมเป็อาวุธได้ด้วย ดูๆ แล้วแต่ละอันอย่างน้อยคงมีราคาสูงถึงร้อยกว่าล้านเป็แน่!”
หยางเซี้ยนได้แต่ตกตะลึง“เ้ามีอีกไหม? ปู้อี้เชวียน...”
“มีแค่นี้แหละ ข้าให้ต่ำสุดห้าสิบล้าน”
“ไม่มีปัญหา แล้วอันอื่นล่ะ?”
“ใจเย็นๆ สิ ขอข้าหาดูก่อน”ข้าเอามือควานหาในแหวนกระดูกจักรภพอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงหยิบอัญมณีที่เต็มเป็ไปด้วยพลังิญญาอันชั่วร้ายออกมาชิ้นหนึ่งซึ่งได้มาจากร่างของาาวิหคสีเพลิงนั่นเอง
ผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบสองสามคนเดินออกมาดูอยู่ชั่วขณะหนึ่งจากนั้นจู่ๆ แต่ละคนก็ตาลุกวาวขึ้น ส่วนฝ่ามือที่ประคองอัญมณีอยู่ก็สั่นระริกผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบหนึ่งในนั้นซึ่งมีอายุหน่อยก็พูดขึ้นอย่างตื่นเต้น“คุณหนู อัญมณีไสยเวทชิ้นนี้เต็มไปด้วยพลังอันชั่วร้ายเหมือนกับขนนกเมื่อครู่เลยมันคงจะออกมาจากาาวิหคสีเพลิงเป็แน่ไม่น่าเชื่อเลยว่านี่คืออัญมณีไสยเวทของสัตว์ิญญาสายเืจักรพรรดิ!ถ้านำไปให้อาจารย์อาวุธที่มีฝีมือดีๆ หลอมให้ละก็อย่างน้อยคงหลอมออกมาเป็อาวุธิญญาระดับทองได้แน่อีกทั้งนี่อาจจะเป็อาวุธิญญาระดับทองที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้และถ้าโชคดีหน่อยก็อาจจะหลอมเป็อาวุธิญญาระดับดาวออกมาได้ไปจนถึงระดับตำนานพูดตามตรงราคาของอัญมณีไสยเวทชิ้นนี้คงสูงถึงสามร้อยล้านกว่าเลยทีเดียว!”
“ฮะ?!”
หยางเซี้ยนมองค้อนอีกนิดเดียวก็แทบจะกระทืบเท้าใส่ด้วยความโกรธแล้วนางคงจะเกลียดความซื่อสัตย์ของผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบพวกนี้ที่ไม่เหลือหนทางหาเงินให้นางเพราะพวกเขาดันบอกราคาจริงของสินค้าออกมาทั้งหมดเลย
เมื่อเป็อย่างนี้ข้าจึงหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้“เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะขายถูกๆ ให้เ้า สองร้อยห้าสิบล้านก็พอ กำไรห้าสิบล้านเป็ไง ตกลงไหม? แต่ว่าถ้าเ้าเอาโสมโลหิตพันปีให้ข้าอีกสักสองอันละก็...”
หยางเซี้ยนมุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อยจากนั้นก็มองมาที่ข้าแล้วพูดขึ้นอย่างแค้นใจ “เสียดายจังที่เ้าไม่ได้ทำธุรกิจ”
ข้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่พูดออกไป“ตอนนี้ของที่ข้าเอามาให้ก็คงพอจะแลกกับโสมโลหิตเมื่อครู่ได้แล้วนี่เ้ายังจะมาเอาเงินจากข้าอีกเหรอ”
“ไม่ได้นะ”
หยางเซี้ยนจับมือของข้าไว้พร้อมกับมองด้วยสายตาอันอ้อนวอน “ปีนี้ผลการทำงานของร้านพันธมิตรนักปราชญ์ขาวอยู่เหนือกว่าร้านนี้มาโดยตลอดข้าอยากจะเอาชนะความหยิ่งยโสของพวกเขาสักหน่อย ปู้อี้เชวียนเ้ายังมีของดีอะไรอีกไหม เอาออกมาขายข้าให้หมดเถอะถือเสียว่าเป็การช่วยผลกำไรของข้านะ!”
ข้าคิดไปคิดมาแล้วจึงหยิบวัตถุดิบจากแหวนกระดูกจักรภพของหยู่เหวินชิงออกมากองหนึ่งซึ่งมีกระดูกพลังิญญาหลายแบบ ขนนก และยาสมุนไพรต่างๆ แค่นี้คงพอแล้วล่ะข้าว่าเอาของพวกนี้ออกมาขายั้แ่เนิ่นๆ น่าจะดีกว่าส่วนของที่มีตราของหยู่เหวินชิงอยู่คงไม่ขายแล้วล่ะเดี๋ยวนักเรียนจากสำนักยาตรา์มาเห็นเข้าแล้วเอาไปบอกชือเทียนสิงละก็ไม่แน่เขาอาจจะพุ่งปรี่เข้ามาหาข้าเลยก็เป็ได้
เมื่อคำนวณดูอีกครั้งหยางเซี้ยนก็ให้ราคาของทั้งหมดเป็หนึ่งร้อยยี่สิบล้าน
ข้าไม่ได้คิดอะไรมากจึงขายออกไปทันทีในที่สุดยอดเงินคงเหลือในบัตรของข้าก็กลับมาเป็หนึ่งร้อยกว่าล้านเหมือนเดิมแล้ว
...
่เวลากลางคืนณ โรงเกลากระบี่ สายลมเย็นๆ พัดโชยเข้ามา ทำให้ใบไม้ร่วงหล่นเต็มพื้น
ซ้งเชวียนกับจ้าวห้าวต่างคนต่างแยกกันไปฝึกพลังที่ห้องของตัวเองแล้วดังนั้นค่ำคืนนี้ที่โรงเกลากระบี่จึงเหลือแต่ข้าเพียงผู้เดียวแต่ก็เงียบสงบดีเหมือนกัน ข้าจึงเตรียมโสมโลหิตกับเนื้อัไว้จากนั้นก็เริ่มฝึกวิชาลมหายใจัขึ้นอีกครั้งทันที
วิชาลมหายใจันั้นเป็วิชาพื้นฐานของการฝึกพลังภายในและระดับการฝึกฝนของวิชาลมหายใจักับระดับการบำเพ็ญของข้านั้นก็เชื่อมโยงกันซึ่งหมายความว่าการฝึกเคล็ดวิชาต่อสู้กับเพลงกระบี่ดินแดนหิมะนั้นจะช่วยได้แค่ยกระดับการเคลื่อนไหวและความแข็งแกร่งของข้าส่วนวิชาลมหายใจัจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของพลังพื้นฐานที่มีอยู่ เช่นสมมุติว่าตอนนี้ข้าฝึกวิชาลมหายใจัได้ถึงขั้นที่ยี่สิบ “พลังเปลี่ยนลมเมฆา”แล้ว อย่างน้อยการบำเพ็ญของข้าก็ต้องถูกยกระดับไปมากกว่าผู้พิทักษ์ระดับ์!
ข้าสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเจาะเข้าไปในหัวใจัจากนั้นก็ดำดิ่งเข้าสู่ท่ามกลางการฝึกวิชาลมหายใจัทันที
ในจดหมายของท่านพี่ปู้เสวียนยินได้บันทึกไว้ว่าชื่อเรียกของวิชาลมหายใจัขั้นที่สิบเอ็ดคือ “ัทะเลทรายเหนือ” อานุภาพของมันทรงพลังมากและเมื่อฝึกสำเร็จมันจะสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งของพลังิญญาไปได้ถึงสามเท่าซึ่งถ้าพลังิญญาของข้าแกร่งขึ้นอีกสามเท่าละก็การเข้าสู่การบำเพ็ญผู้พิทักษ์ระดับมนุษย์ก็คงสบายมาก
ท่ามกลางจุดประภพิญญาที่ยุ่งเหยิงข้าฝึกจนถึงดึกดื่นก็ยังไม่ไม่สามารถบรรลุอะไรได้เลย
ทว่าโสมโลหิตหนึ่งพันสองร้อยปีกลับถูกใช้ไปครึ่งหนึ่งแล้ว
ข้าไม่ยอมแพ้หรอกเพราะก่อนหน้านี้ข้ามีประสบการณ์การฝึกวิชาลมหายใจัมาตั้งเยอะข้ารู้หรอกว่ายิ่งเมื่อไรที่เข้าใกล้ความสำเร็จเมื่อนั้นเราจะยิ่งรู้สึกได้น้อยลงเพราะการบรรลุเกิดขึ้นเพียงแวบเดียวเท่านั้น
ข้าคิดแบบนี้จากนั้นก็ฝึกต่อไปทั้งวัน
เมื่อข้าลืมตาขึ้นพลังภายในร่างก็พลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และขณะที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดินนั้นจู่ๆ โดยรอบของโรงเกลากระบี่ก็มีพลังิญญาพรั่งพรูออกมาจากผืนดินจนสามารถมองเห็นได้เลยว่าท่ามกลางอากาศนั้นกำลังบิดเบี้ยวทับซ้อนกันเนื่องจากพลังิญญาที่พรั่งพรูออกมาราวกับปาฏิหาริย์หลังจากนั้นวิชาลมหายใจัภายในร่างก็ะเิปะทุออกมาทันที!
การบำเพ็ญของพลังิญญาเกาะกลุ่มกันกลายเป็ทะเลทรายได้อย่างน่าอัศจรรย์ส่วนในอากาศก็มีลายัปรากฏขึ้นคล้ายกับพายุทอร์นาโดที่พัดโหมกระหน่ำอยู่อย่างไรอย่างนั้นข้ารับรู้ได้ถึงพลังอันมหาศาลของลายสักัแต่ละอันที่กำลังเคลื่อนไหวไปมาอย่างบ้าคลั่งท่ามกลางจุดประภพิญญาและสิ่งที่ข้าต้องทำต่อไปก็คือการหลอมแก่นแท้ของพลังข้าจะต้องนำพลังของลายสักัหนึ่งร้อยอันนี้มาหลอมแก่นแท้ของพลังและบีบอัดให้เล็กลงจนกลายเป็อันเดียวให้ได้ถึงจะถือได้ว่าข้าได้ฝึกขั้นที่สิบเอ็ดัทะเลทรายเหนือไปถึงจุดสูงสุดแล้วทว่าตอนนี้ก็ไม่ได้แย่นักเพราะอย่างน้อยข้าก็เข้าสู่วิชาลมหายใจัขั้นที่สิบเอ็ดได้แล้ว!
ข้าฝึกยาวไปจนถึงกลางดึกลายสักัแต่ละอันถูกบีบอัดลงไปด้วยความพยายามของข้าถึงเก้าสิบอันแล้วซึ่งข้าตั้งอกตั้งใจและจดจ่อกับการฝึกพลังครั้งนี้มากจนไม่กล้าว่อกแว่กออกไปเลยแม้แต่นิดเดียว
แต่เห็นได้ชัดเลยว่าขั้นตอนนี้ช้ามากดังนั้นข้าเลยไม่รีบร้อน ข้าจึงนอนหลับให้เต็มอิ่มก่อนแล้วค่อยตื่นนอนไปเรียนเพราะนานมากแล้วที่ข้าไม่ได้ไปห้องเรียนที่สำนักจวี๋ฉีห้องสอง
ข้ามองขึ้นไปดูตารางเรียนก็เห็นว่าคาบเช้านี้มีเรียนจึงรีบหอบตำราแล้ววิ่งออกไป ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดละก็ข้าเดาว่าคาบนี้จะต้องหลับทั้งคาบอีกแน่
...
ณสำนักจวี๋ฉีห้องสอง ขณะที่เดินไปถึงห้องก็พบว่าอาจารย์ได้เข้าไปสอนแล้วข้าเลยต้องแอบไปเข้าทางประตูด้านหลังแทนและพอนั่งลงก็รู้สึกได้เลยว่ามีดวงตาคู่สวยสองคู่กำลังจ้องมองมาที่ข้าซึ่งนั่นก็คือซูเหยียนกับตั้นไถเหยานั่นเอง
“ในที่สุดก็กลับมาได้แล้วสินะ?” ซูเหยียนแสยะยิ้มพูดขึ้น
“อืม ก็ต้องกลับมาสิ เพราะที่นี่คือบ้านไง” ข้าพูดออกไป
“ฮึ ศิษย์ที่ชอบโดดเรียนอย่างเ้ายังมีหน้ามาพูดแบบนี้อยู่อีกเหรอ!”นางเคร่งขรึมลงทันที
ตั้นไถเหยากะพริบตาถี่มองข้าแล้วยิ้มถามขึ้น“อาจารย์ปู้ ครั้งนี้เ้าออกไปหลายวันคงไปฝึกเพลงกระบี่ดินแดนหิมะมาสินะ? เป็ยังไงบ้าง สำเร็จไหม?”
“แน่นอน!”
ข้าหมุนดินสอในมือเล่นไปมาครู่หนึ่งและจึงปล่อยพลังกระบี่เข้าไปที่ปลายดินสอเล็กน้อย ทันใดนั้นจู่ๆก็มีพลังไอเย็นพุ่งออกมาเป็สายเล็กๆ แล้วค่อยๆละลายหายไปกลายเป็เกล็ดน้ำแข็งทันทีราวกับว่าคือพลังลมของกระบี่ขนาดพกพาอย่างไรอย่างนั้นทว่าพลังอันแรงกล้าของพลังกระบี่นั้นกลับทำให้นักเรียนที่นั่งอยู่แถวหน้าทยอยหันมาดูอย่างประหลาดใจหรือแม้แต่อาจารย์เองก็ยังประหลาดใจ ทว่าจากนั้นก็ส่ายหัวแล้วกลับไปสอนต่อ
ดูเหมือนว่าข้าซูเหยียน และตั้นไถเหยาซึ่งเป็นักเรียนหัวรั้นจะถูกอาจารย์ทอดทิ้งแล้วล่ะเพราะเขาคงเบื่อที่จะสอนพวกเราแล้ว
“นี่คือพลังกระบี่ของเพลงกระบี่ดินแดนหิมะอย่างนั้นเหรอ?” ดวงตาทั้งสองข้างของซูเหยียนเปล่งประกายเต็มไปด้วยความตื่นเต้น“เ้าคนกินจุ เมื่อกี้เ้าใช้พลังของพลังกระบี่ขั้นไหนน่ะ?”
“ยังไม่ถึงไหนเลย ข้าฝึกยังไม่ได้เศษหนึ่งส่วนร้อยด้วยซ้ำ!” ข้าพูดออกไป
“ฮะ?” นางอ้าปากหวอ ั์ตาเต็มไปด้วยความตกตะลึงคงจะคิดไปถึงตอนที่ข้าใช้พลังทั้งหมดได้แล้วว่ามันจะน่ากลัวแค่ไหนอยู่แน่ๆนางจึงเม้มปากไปมา จากนั้นก็พูดขึ้น “อย่างนั้นนี่ก็น่ากลัวเกินไปแล้วนะเนี่ย...”
ตั้นไถเหยาจึงยิ้มพลางถาม“อาจารย์ปู้ พวกเราไปกินข้าวกลางวันด้วยกันไหม? นานมากแล้วนะที่พวกเราไม่ได้กินข้าวด้วยกันถ้าอย่างนั้นครั้งนี้เพื่อฉลองที่เ้าชนะได้อันดับหนึ่งในการประลองที่สนามเซินยวนเ้าเลี้ยงแล้วกัน”
“เอาสิ”
ข้ายิ้มพูดขึ้น“เพราะข้าไม่ได้เอาบัตรไปใช้ที่โรงอาหารนานแล้ว ฉะนั้นอยากกินอะไรเลือกเลยข้าเลี้ยงเอง!”
“ตกลง ข้าอยากกินโครงกระดูกอบน้ำตาล!”
“ไม่มีปัญหา!”
ไม่ไกลนักนักเรียนชายที่นั่งอยู่แถวเดียวกันก็กลืนน้ำลายดังเอื๊อกทันที พร้อมกับส่งสายตาแค้นใจนิดๆดูเหมือนว่าพวกเขาก็คงจะหิวเหมือนกัน
...
พอถึง่กลางวันเสียงออดเลิกเรียนก็ดังขึ้น พวกนักเรียนจึงทยอยกันออกจากห้องเรียนทำให้ตอนนี้ทั่วทั้งสำนักจึงเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยกันเจี๊ยวจ๊าวทันที
ข้าเก็บตำราโยนเข้าไปใต้โต๊ะอย่างไม่แยแสจากนั้นก็เดินไปกินข้าวกับทั้งสี่สาวงามซูเหยียน ตั้นไถเหยา ถังเชวียหรานและหลิวถงเอ๋อร์
แต่ขณะที่พวกข้าเดินไปถึงที่ตึกหนึ่งนั้นกลับเห็นว่ามีรถคันสีดำจอดอยู่ไม่ไกลจากร้าน ส่วนข้างๆมีผู้ชายสวมชุดสีดำบวกกับแววตาที่ดุดันยืนเรียงกันเป็แถวอยู่และเมื่อประตูรถเปิดออก ก็มีผู้ชายคนหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนเดินลงจากรถดูแล้วทั้งสองน่าจะไม่ใช่คนธรรมดาแน่ๆเพราะพลังิญญาภายในร่างที่พลุ่งพล่านและเปล่งประกายออกมานั้นอย่างน้อยคงจะบำเพ็ญไปถึงผู้พิทักษ์ระดับพิภพแล้วเป็แน่
ผู้ชายคนนี้รูปร่างหน้าตาหล่อเหลาพอสมควรเขามาพร้อมกับชุดเครื่องแบบของสำนักหมื่นิญญา แต่บนหน้าอกกลับมีป้ายติดไว้ว่า“หยุนฉี” และทันทีที่เขามองเห็นซูเหยียนแววตาของเขาก็พรั่งพรูความตื่นเต้นดีใจออกมาทว่าเมื่อเหลือบมาเห็นข้าที่ยืนอยู่ข้างซูเหยียนสีหน้าและแววตาของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วเป็ปมขึ้นทันที ส่วนผู้หญิงคนนั้นปล่อยผมยาวสลวยสวยมากจนไม่รู้จะบรรยายอย่างไรเลยทีเดียว
“ซูเหยียน!”
ผู้ชายคนนั้นเดินตรงเข้ามาด้วยความมั่นใจที่เต็มเปี่ยมมันดึงดูดและเรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากผู้หญิงรอบๆ ได้ไม่น้อย
“ว้าว นั่นคือ...ลั่วเหยียนจากสำนักหยุนฉีจริงเหรอเนี่ย? ลั่วเหยียนที่เป็หนึ่งในสิบของอัจฉริยะแห่งแผ่นดินใหญ่หลงหลิง!”
“หล่อจัง คุณชายน้อยแห่งตระกูลลั่วหล่อมากเลยจริงๆ!”
“ได้ยินมาว่าท่านพ่อของเขามีกองทัพอยู่ในมือตั้งเจ็ดแสนนายถือว่าเป็อันดับหนึ่งในเมืองลั่วเฉินเหอทางใต้เลยละ น่าอิจฉาจริงๆ”
...
ที่แท้เขาก็คือลั่วเหยียนอัจฉริยะอันดับหนึ่งของสำนักหมื่นิญญาในตำนานและก็เป็คู่หมั้นที่ซูเหยียนเคยพบแค่ไม่กี่ครั้งคนนั้นนั่นเอง
“ฉากเด็ดๆ มาแล้ว...”
ตั้นไถเหยาเงยหน้ามองข้าพร้อมกับพูดจาหยอกล้อขึ้น“ดูเ้าสิ!”
“ดูข้าทำไมล่ะ ไปกินข้าวกัน ข้าหิวแล้ว!”
“เหอะ!”
ทันใดนั้นลั่วเหยียนก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของซูเหยียนแล้วฉีกยิ้มกว้าง “เสี่ยวเหยียนไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ข้าได้ยินมาว่าเ้าเข้าเรียนที่สำนักหมื่นิญญาได้แล้วตอนนั้นข้าดีใจมากเลยล่ะ แต่เนื่องจากข้าต้องไปทำธุระข้างนอกซึ่งได้รับมอบหมายจากอาจารย์อยู่ตลอดเวลาจึงกลับมาไม่ได้ทว่าในที่สุดครั้งนี้ข้าก็กลับมาดูแลเ้าได้แล้ว ที่ผ่านมาเป็ยังไงบ้าง สบายดีไหม?”
ซูเหยียนได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นใบหน้าที่สวยงามราวกับถูกแกะสลักไว้ค่อยๆ แสดงอาการเบื่อหน่ายและจนปัญญาออกมาอย่างเห็นได้ชัดนางก้มหน้าลงครู่หนึ่งจากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองลั่วเหยียนแล้วพูดขึ้นด้วยท่าทีนิ่งสงบ “นี่ตลอดมาข้ายังไม่ชัดเจนอีกเหรอเื่การแต่งงานที่ท่านพ่อข้าเตรียมการไว้ข้าคงไม่ทำตามหรอกนะอีกอย่างตอนพิธีหมั้นข้าก็ไม่ได้ไปร่วมงาน ทั้งหมดนี้มันยังชัดเจนไม่พออีกเหรอ? ขอโทษด้วยนะลั่วเหยียน เ้าเป็คนดีนะ แต่เ้าไม่ใช่คนที่ข้าชอบ”
ลั่วเหยียนยืนอึ้งไปเลยทีเดียว
ลั่วหว่านพี่สาวของเขาที่ยืนอยู่ข้างๆขมวดคิ้วพลางพูด “ซูเหยียน เื่งานหมั้นนั้น...ที่จริงก็ไม่ควรจะต้องบังคับหรอกข้ารู้ว่าเ้าคงไม่เห็นด้วยกับพิธีหมั้นนี้แน่ๆเพราะเื่นี้ควรจะต้องผ่านการพิจารณาและตัดสินใจให้รอบคอบก่อนถ้าอย่างนั้นเอาอย่างนี้เ้าลองคบหากับลั่วเหยียนไปสัก่หนึ่งก่อนแล้วถ้ารู้สึกว่าไปกันไม่ได้ เราค่อยเรียกทั้งสองครอบครัวมาคุยกันเื่ยกเลิกงานหมั้นดีไหม?”
ซูเหยียนเม้มปากลงพลางมองออกไปอย่างแน่วแน่“ท่านพี่ลั่วหว่าน ขอบคุณความหวังดีของท่านที่มีต่อข้ามาก แต่ข้าไม่อยากคบกับเขาข้าเคยพูดไปแล้วนี่ ข้ามีคนที่ชอบอยู่แล้ว”
“ใครกัน?”
“เขานั่นไง...”
ซูเหยียนยื่นมือมาคว้าเนกไทของข้าขณะกำลังวิ่งหนีมือของนางเข้าอย่างจังไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมามองด้วยซ้ำ
ช่วยข้าด้วย!
ทำไมเป็ข้าอีกแล้วเนี่ย!
คราวนี้คงไม่ใช่ช่วยชีวิตแล้วล่ะแต่เป็อันตรายถึงชีวิตแน่ๆ!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้