พรรคเทพหมาป่า์
ลำแสงหนึ่งสาดส่อง เป็เฉินเทียนหยวนพาหวังเค่อกับถงอันอันกลับมาถึงหน้าประตูทางขึ้นเขา
“ท่านประมุข!” ศิษย์พรรคเทพหมาป่า์ต่างมารวมตัวกัน
“นี่คือผู้ดูแลสาขาของลัทธิมาร มันย่อมรู้ความลับของลัทธิมารอยู่ไม่น้อย พามันไปสอบปากคำที่ตำหนักหมาป่าประจิม!” เฉินเทียนหยวนยื่นส่งตัวถงอันอันให้
“ทราบ ศิษย์จะพาตัวมันไปเอง!” ศิษย์พรรคเทพหมาป่า์กลุ่มหนึ่งรีบนำตัวถงอันอันที่าเ็สาหัสจากไป
เฉินเทียนหยวนพาหวังเค่อกลับไปที่ตำหนักตนเองเพื่อรักษาตัว
“ปัง!”
ประตูห้องโถงตำหนักปิดลงทันที เหลือไว้เพียงหวังเค่อและเฉินเทียนหยวน
“ท่านอาจารย์ รบกวนท่านช่วยคุ้มกันข้าก่อน เร็ว ตัวข้ากำลังจะติดไฟแล้ว! ในกระจกสะกดแสงมีกุศลของข้าอยู่ มอบกุศลข้ามาก่อน!” หวังเค่อเอ่ยอย่างกังวล
พลังของสัจปราณขุ่นรุนแรงเกินต้าน ทะลวงผ่านผนึกเหมันต์จากลูกปัดคำนึงไม่หยุดหย่อน ระหว่างเดินทางกลับมาลูกปัดก็แตกแล้วแตกอีก จนตอนนี้เหลือเพียงเม็ดสุดท้ายที่ค้ำยันไว้ แถมดูคล้ายจะทนต่อไปอีกไม่ไหว
เฉินเทียนหยวนเองก็สับสนกับสภาพของหวังเค่อเวลานี้มาก แต่มันก็ยังทำตามที่หวังเค่อพูด
“วูบ!”
กระจกสะกดแสงลอยมาตามคำเรียกของเฉินเทียนหยวน ทันใดนั้น ลูกกุศลทองคำก็ลอยหวือออกมา เป็กุศลที่เนี่ยชิงชิงมอบให้หวังเค่อตอนนางปราบมารในวังหลวงต้าชิง
“กุศล? ประเสริฐนัก!” หวังเค่อเอ่ยอย่างตื่นเต้นยินดี
ภายในห้วงความคิดหวังเค่อปรากฏข้อความท่อนหนึ่งของเคล็ดเทพมหาสุริยันมิดับสูญ
“สัจปราณขุ่นมีอานุภาพกลืนกินพลังทุกชนิดพร้อมกับเปลี่ยนสี สีทองคืออ่อนสุด สีดำคือแกร่งสุด! เมื่อเป็สีดำสนิทแล้วก็จะลุกไหม้ขึ้นมาเอง! อาศัยกุศลจรรโลง เปลี่ยนดำเป็ทอง!"
หวังเค่อคว้าดวงแสงกุศลไว้ ทันใดนั้น ดวงกุศลก็แทรกซึมเข้าสู่ร่าง มุ่งสู่จุดตันเถียนของหวังเค่อ
“เป๊าะ!”
ลูกปัดคำนึงลูกสุดท้ายที่สะกดเปลวไฟในตัวหวังเค่อแตกละเอียด สร้อยลูกปัดทั้งเส้นพลันถูกสัจปราณขุ่นเผาทิ้งในพริบตา
ยามนี้เอง กุศลที่มุ่งเข้าสู่ร่างพลันตรงเข้าหาสัจปราณขุ่นในกาย
สัจปราณขุ่นที่กำลังจะลุกไหม้คล้ายถูกน้ำเย็นสาดใส่
“ฟู่ฟู่ฟู่ฟู่ฟู่~~~~!”
ตัวหวังเค่อส่งเสียงคล้ายน้ำสาดลงบนเหล็กร้อน เฉินเทียนหยวนได้แต่มองดูอย่างประหลาดใจ ลูกศิษย์ข้าฝึกเคล็ดเทพอัคคีอีท่าไหนถึงได้พิสดารปานนี้?
ขณะเฉินเทียนหยวนช่วยคุ้มกัน มันก็เห็นหวังเค่อเหงื่อท่วมโซมกาย ก่อนจะกลายเป็หมอกไอน้ำพวยพุ่งอัดแน่นเต็มห้องโถง
นี่ก็คือเคล็ดเทพอัคคี? ทำไมถึงดูเหมือนอบซาวน่าเหลือเกิน?
“สบายเหลือเกิน สบายยิ่งนัก!” หวังเค่อพลันผ่อนคลายไปทั่วร่าง
ร่างกายที่พ่นไอน้ำออกมาของมันกลายเป็สดชื่นกระชุ่มกระชวย
พอเห็นท่าทีเคลิบเคลิ้มของลูกศิษย์ตน เฉินเทียนหยวนก็ทนมองตรงๆ ไม่ได้อีก
หวังเค่อเพ่งจิตเข้าสู่ภายในกาย ก่อนพบว่าสัจปราณขุ่นสีดำสนิทในตัวเริ่มเปลี่ยนสีทีละน้อย จากดำเป็เทา เทาเป็เหลืองเข้ม เหลืองเข้มสู่เหลืองอ่อน ก่อนจะกลับคืนสู่สีทอง
“ดี ดี ในที่สุดก็กลับมาแล้ว!” หวังเค่อกล่าวขณะหวาดกลัวไม่หาย
“บรึ้ม!”
ร่างของหวังเค่อพลันเปล่งสายลมออกมาหอบหนึ่ง
สัจปราณขุ่นสีทองควบแน่นรวมตัว จากสภาพแก๊สคล้ายรวมตัวกลั่นเป็สัจปราณเหลวหยดหนึ่ง
“พลังปฐมธาตุ? สัจปราณข้าควบแน่นกลั่นตัวเป็หยดพลังปฐม? พลังฝีมือข้าทะลวงด่านอีกแล้ว? เซียนเทียนขั้นหก?” หวังเค่อเอ่ยอย่างตะลึง
เวลานี้แก๊สสัจปราณขุ่นภายในจุดตันเถียนของหวังเค่อเริ่มกลั่นตัว อยู่ในสภาวะก้ำกึ่งระหว่างแก๊สและของเหลว ดูไปคล้ายหมอกควัน หวังเค่อเข้าใจว่านี่คือกระบวนการเปลี่ยนแปลงของสัจปราณขุ่นจากเน้นจำนวนเป็เน้นคุณภาพ
“ไฉนข้าทะลวงด่านอีกแล้ว? ทำไมข้าถึงทะลวงด่านฝีมือไวปานนี้?” หวังเค่อถามอย่างหดหู่
ข้ายังไม่ทันได้ศึกษาวิชาฝีมือเลย เปลี่ยนแปลงอีกแล้ว? สัจปราณขุ่นเริ่มกลายสภาพเป็หมอก? ข้าจะทำผิดพลาดอีกไม่ได้
หวังเค่อยืนขึ้นด้วยสีหน้าหดหู่
ตอนนี้เอง ประตูห้องโถงก็เปิดออกอีกครั้ง เป็เฉินเทียนหยวนเดินเข้ามา
“อาการาเ็เ้าดีขึ้นแล้ว?” เฉินเทียนหยวนถามอย่างใคร่รู้
“ขอรับ หายดีแล้ว เพียงแต่พลังฝีมือข้าทะลวงด่านขึ้นอีกขั้น ตอนนี้ศิษย์เป็เซียนเทียนขั้นหกแล้ว!” หวังเค่อตอบด้วยสีหน้าหม่นหมอง
“เื่ปกติ! เมื่อครู่เ้ารับกุศลเข้าไปตั้งมาก หากเ้าไม่ทะลวงด่านฝีมือสิถึงจะแปลก!” เฉินเทียนหยวนว่า
“หือ?” หวังเค่อส่งเสียงอย่างสงสัย
“กุศล? สำหรับผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมะแล้ว ไม่เพียงช่วยส่งเสริมปัญญาความรู้ แต่ยังมักใช้เพื่อช่วยทะลวงด่านคอขวดได้! การบำเพ็ญตนคือการฝ่าฝืนบัญญัติ์ ไหนเลยจะเป็เื่ง่าย ยิ่งบำเพ็ญตน หนทางยิ่งยากเข็ญ มีหลายคนใช้เวลาทั้งชีวิตก็ไม่อาจทะลวงด่านคอขวดไปได้ แต่หากเ้ามีกุศลมากพอ กุศลจะช่วยเ้าทะลวงด่านคอขวด ประดุจ์ช่วยชี้นำทางให้! ยิ่งกุศลมาก พลังฝีมือยิ่งเพิ่มพูนว่องไว! กุศลจะช่วยชะล้างบาปกรรมทั้งหมดในเส้นทางแห่งการบำเพ็ญตนให้เ้า! นี่ก็คือรางวัลจาก์! นี่ยังเป็อีกหนึ่งแรงจูงใจให้ฝ่ายธรรมะออกไล่ล่าปราบมารสั่งสมกุศลด้วย!” เฉินเทียนหยวนอธิบาย
“กุศลสามารถช่วยส่งเสริมพลังฝีมือได้?” หวังเค่อเอ่ยอย่างใ
“ถูกต้อง เมื่อครู่เ้าใช้กุศลไปมหาศาล นับว่าเสียของเกินไป โดยทั่วไปแล้ว เ้าสมควรใช้ตอนบรรลุถึงขีดสุดชั้นเซียนเทียนถึงจะได้ผลดีกว่า กุศลนั้นสามารถช่วยส่งเ้าขึ้นชั้นดวงธาตุทองคำได้ในอึดใจ แต่ว่า…!” เฉินเทียนหยวนเอ่ยอย่างเสียดาย
“ท่านอาจารย์ ไม่เป็ไรหรอก เดี๋ยวข้าค่อยหากุศลใหม่ก็ได้!” หวังเค่อตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก
หากข้าไม่ใช้กุศลเมื่อครู่ ข้าคงไฟลุกท่วมเดี้ยงไปแล้ว!
“เอาเถอะ อย่างไรก็เป็กุศลของเ้า เ้าจะใช้อย่างไรก็ได้ แต่หลายวันมานี้เกิดเื่อะไรขึ้น? ข้าได้ยินมาว่าเ้าตำหนักเนี่ยที่กลายเป็มารวางอุบายหลอกล่อพวกมารเพื่อตกตายตามกัน จากนั้นก็ถูกเ้าสังหาร?” เฉินเทียนหยวนสงสัย
“ท่านอาจารย์ หลายวันมานี้เกิดเื่ขึ้นมากมายนัก ศิษย์…!” หวังเค่อบอกเล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
แน่นอนว่าในเื่เล่าฉบับหวังเค่อ ตัวหวังเค่อคือบุคคลต้นแบบของฝ่ายธรรมะ เที่ยงตรง ยุติธรรม เพื่อช่วยเหลือองค์หญิงโยวเยว่ มันต่อกรปราบอสูรร้ายมากมาย ถึงขนาดบุกเข้าสู่รังลับลัทธิมารเพื่อช่วยเหลือบรรดาศิษย์ฝ่ายธรรมะ ก่อนค่อยหลบหนีออกมาพบกับเฉินเทียนหยวนเข้า
ระหว่างทาง จางเสินซวี จูเยี่ยน จูหงอี ถงอันอัน มารอริยะ เซิ่งจื่อและคนที่เหลือล้วนแต่เป็จอมวายร้าย หวังเค่อระทึกใจทุกย่างก้าว แทบเอาชีวิตไม่รอด ทั้งหมดก็เพื่อกำราบอธรรม เป็ต้นแบบแก่ฝ่ายธรรมะ!
เมื่อรับฟังเื่ราวสุดโลดโผนนี้ ใบหน้าเฉินเทียนหยวนยิ่งมายิ่งพิกล เ้าศิษย์คนนี้เป่ามนต์คาถาอะไรถึงทำให้มารอริยะยอมรับ? ได้รับแต่งตั้งเป็นายท้ายเทพั มารอริยะมันตาบอดหรือยังไง? มันมองไม่ออกว่าเ้าเป็คนฝ่ายธรรมะ? แถมยังไปนั่งเล่นไพ่นกกระจอกกับศิษย์ลัทธิมารด้วย? เ้าคิดว่าข้าเชื่อลงเรอะ?
“หวังเค่อ ข้ารู้ว่าองค์หญิงโยวเยว่ถูกบิดานางพาตัวไป เื่นี้ะเืใจเ้ามาก ตัวเ้าเวลานี้อารมณ์ไม่มั่นคง พูดจาเหลวไหลเลอะเทอะ แต่เ้าทำอะไรไม่ได้หรอก ต่อให้ไม่ใช่องค์หญิงโยวเยว่ ในโลกนี้ก็ยังมีสตรีที่ดีอีกมาก อย่าได้คิดมากอีกเลย เ้ากลับไปพักผ่อนที่ยอดเขาหยั่งรู้กระบี่ก่อนเถอะ!” เฉินเทียนหยวนปลอบใจ
“ท่านอาจารย์ ท่านคิดว่าข้าอกหักจนเสียสติไปแล้ว?” หวังเค่อถามอย่างเศร้าหมอง
“เ้าพักผ่อนก่อนเถอะ ไม่เป็ไร! เดี๋ยวมันก็ผ่านไป! อย่าไปคิดเื่องค์หญิงโยวเยว่อีก!” เฉินเทียนหยวนตบบ่าหวังเค่อ
หวังเค่อ “...!”
ข้าพูดเวิ่นเว้อเปลืองน้ำลายมาตั้งนาน สรุปไม่เข้าหูท่านเลยเรอะ?
ท่านอาจารย์ไม่ยอมเชื่อ หวังเค่อก็ไม่ดื้อดึงยืนกราน มันเพียงกลับสู่ยอดเขาหยั่งรู้กระบี่ตามลำพัง
ถึงอย่างไร ครั้งนี้หวังเค่อก็เกือบได้เป็คนไฟลุกของแท้ ยังมีเื่ที่ตนไม่รู้เกี่ยวกับเคล็ดเทพมหาสุริยันมิดับสูญอีกมาก จำต้องกลับไปศึกษาเรียนรู้อย่างละเอียด
สิบวันต่อมา!
“ศิษย์พี่ใหญ่กลับมาแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่กลับมาแล้ว!” มีเสียงะโใดังแว่วมาจากนอกประตูขึ้นเขา
สิบห้าวันต่อมา!
“ศิษย์พี่รองกลับมาแล้ว ศิษย์พี่ทั้งหลายที่หายตัวไปเองก็กลับมาด้วย!”
“ศิษย์พี่รอง ดีจริงๆ ที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ พวกเราคิดว่าท่านตายไปแล้วเสียอีก ฮืออออ!”
“ศิษย์พี่รอง หลายปีมานี้ท่านเ้าตำหนักออกตามหาตัวท่านมาตลอด กลับไม่เคยตามหาพบ ตอนนี้ท่านกลับแล้วมา ประเสริฐยิ่งนัก!”
………
……
………
……
…
ด้านนอกประตูขึ้นเขาเต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวกโวยวาย
่ที่ผ่านมานี้พรรคเทพหมาป่า์คึกครื้นเป็อย่างยิ่ง ทุกคนที่กักตนต่างพากันออกมาจนหมด
เ้าตำหนักหมาป่าบูรพาเป็ตายไม่ทราบแน่ชัด ศิษย์พี่ใหญ่ถูกจู่โจมขณะออกเดินทาง ศิษย์พี่รองและศิษย์พี่บางส่วนที่ตัวผอมแห้งเป็ไม้จิ้มฟันเดินทางกลับสู่พรรค แต่ละเื่ล้วนใหญ่โตจนพรรคเทพหมาป่า์พากันนั่งไม่ติด
จางเจิ้งเต้าที่ปะปนอยู่ในฝูงชนนั่งฟังข่าวอย่างแปลกใจ
“พรรคเทพหมาป่า์นี่คึกครื้นดีแท้! ไม่สิ ข้าจะไปดูก่อนว่าหวังเค่อมันเป็ไงบ้าง? เมื่อกี้ตอนไปถามเฉินเทียนหยวนเื่องค์หญิงโยวเยว่ มันก็ตอบว่าบิดาองค์หญิงโยวเยว่ได้พบกับหวังเค่อ แล้ว…!” จางเจิ้งเต้ารีบห้อตะบึงขึ้นยอดเขาหยั่งรู้กระบี่ไป
การที่บิดาขององค์หญิงโยวเยว่ปฏิเสธหวังเค่อสมควรทำให้มันเศร้าใจมากเป็แน่ ผ่านมาตั้งหลายวันแล้ว มันยังไม่ลงมาจากยอดเขาหยั่งรู้กระบี่เลยสักครั้ง
เมื่อมาถึงลานกว้างบนยอดเขาหยั่งรู้กระบี่ คำพูดปลอบใจที่จางเจิ้งเต้าคิดเอ่ยปากให้หวังเค่อก็พลันจุกอยู่ในลำคอ
ภาพที่มันเห็นในลานจตุรัสยอดเขาหยั่งรู้กระบี่ก็คือเก้าอี้เอนตัวหนึ่ง
หวังเค่อสวมเสื้อและกางเกงชายหาดขาสั้นที่จางเจิ้งเต้าไม่เคยเห็นมาก่อนนั่งเอื่อยเฉื่อยอยู่บนเก้าอี้เอน
ประเด็นคือด้านข้างหวังเค่อยังมีร่มชายหาดกางไว้ด้วย นั่นมันร่มผายลมอันใด?
ศิษย์ตระกูลหวังทางด้านข้างยื่นน้ำผลไม้เย็นเจี๊ยบให้หวังเค่อจิบ จากนั้นถอยกลับไป
หวังเค่อสวมแว่นกันแดดคู่เล็กที่มันไม่เคยพบเห็นมาก่อน มือโบกพัดใบลานนอนอาบแดดอยู่ใต้ร่มชายหาด ปากจิบน้ำผลไม้ไปพลางถอนหายใจไปพลาง
ทว่าภายในเคล็ดเทพมหาสุริยันมิดับสูญกลับไม่มีเคล็ดลับใหม่อันใดระบุไว้ มีเพียงคำพูดไร้สาระมากมายที่สรุปใจความได้ว่า ‘หลับหูหลับตาฝึกไปก่อน เื่หนหลังไว้ค่อยว่ากันอีกที’ หวังเค่อพอเห็นประโยคนี้ไปถึงกับพูดไม่ออก
“ข้าไม่อาจไขว่คว้าความรัก ได้แต่ปล่อยให้หลุดมือทุกครั้งไป ใต้หล้านี้คู่รักหวานชื่นทุกแห่งหน แล้วทำไมข้าถึงมีบ้างไม่ได้…!”
พอได้ยินหวังเค่อพึมพำตัดพ้อ จางเจิ้งเต้าก็เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าว่างเปล่า
“หวัง หวังเค่อ? เ้าเศร้าอยู่เหรอ?” จางเจิ้งเต้าเดินมาอย่างเหม่อลอย
หวังเค่อไม่แม้แต่จะเหลือบมองจางเจิ้งเต้าที่เดินมาหา ไม่แยแสสนใจ เพียงโบกพัดในมือต่อไป
“หวังเค่อ ชีวิตเ้าก็อยู่สุขสบาย ข้าได้ยินว่าบิดาขององค์หญิงโยวเยว่ให้เงินค่าตัดสัมพันธ์เ้าตั้งหนึ่งล้านชั่งนี่?” จางเจิ้งเต้าตาแดงก่ำ
“พี่ใหญ่ ตอนนี้ข้ากำลังอกหักอยู่ ท่านไม่เห็นรึ? ยังมาพูดเื่เงินกับข้าอีก?” หวังเค่อยังเมินอีกฝ่ายอยู่
“อกหัก? อกหักผายลมอะไร! หวังเค่อ ไม่ใช่ชีวิตนี้เ้ายอมรับแค่เงิน? ข้าไม่เคยเห็นเ้าแสดงท่าทีสนใจหญิงใดมาก่อน? เ้าคงกำลังคิดว่าเงินค่าตัดสัมพันธ์ก้อนนี้น้อยเกินไปใช่หรือไม่?” จางเจิ้งเต้าถลึงตา
“ข้าแค่ไม่เคยพบเจอหญิงใดที่ต้องใจข้ามาก่อนเท่านั้น พบเจอว่ายากเข็ญ สุดท้ายชะตายังพรากเราจากกัน! เ้ามีความเห็นอกเห็นใจบ้างหรือไม่ ยังมีหน้ามาโรยเกลือใส่แผลข้าอีก?” หวังเค่อถ่มถุยใส่จางเจิ้งเต้า
“ไม่มีทางอื่น บิดาขององค์หญิงโยวเยว่พูดคำไหนคำนั้น เ้าตัดใจเสียเถอะ!” จางเจิ้งเต้าส่ายหน้า
“ท่านอาจารย์ข้าก็พูดแบบนั้น เ้ายังจะพูดเหมือนกันอีก? เ้าไม่มีความเห็นอกเห็นใจเอาเสียเลย นี่รักแรกของข้าเลยนะ!” หวังเค่อด่าทอ
“รักแรก? เ้าบำเพ็ญตนมาตั้งนานนม นางกลับเป็สตรีคนแรกที่ต้องตาเ้า? ไม่ถูกต้อง ใต้หล้ามีสาวงามตั้งมากมาย แถมเ้าเองก็ร่ำรวยอีกด้วย?” จางเจิ้งเต้าไม่ยอมเชื่อ
“ความรักเป็สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงค่า ไหนเลยจะให้แปดเปื้อนด้วยเงินตรา? โสโครก!” หวังเค่อยังด่าไม่หยุด
“นะ นี่เป็รักแรกของเ้าจริงๆ?” จางเจิ้งเต้าถามอย่างแปลกใจ
“ใช่แล้ว สำหรับคนแบบข้า หากตกหลุมรักใครแล้วก็จะรักไปชั่วชีวิต นับแต่นี้ไป ข้าเกรงว่าคงไม่อาจตกหลุมรักหญิงใดได้อีก!” หวังเค่อส่ายหน้า
“ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเ้าพูดจาเหลวไหลอีกแล้ว?” จางเจิ้งเต้าเอ่ยด้วยสีหน้าพิกล
หวังเค่อจิบน้ำผลไม้เย็นฉ่ำพลางจ้องอีกฝ่ายเขม็ง
“องค์หญิงโยวเยว่เป็รักแรกของเ้าจริงๆ? เช่นนั้นเ้าก็น่าเวทนายิ่งแล้ว!” จางเจิ้งเต้าเอ่ยด้วยสีหน้าประหลาด
“ในโลกใบนี้ นางคือรักแรกของข้า!” หวังเค่อเน้นย้ำ
รักแรกของมันที่อยู่บนดาวโลกไม่นับ นั่นมันดาวคนละดวง!
