เด็กคนอื่นต่างวิ่งหนีหายกันไปหมด นายท่านเสิ่นจึงพาเด็กที่จับได้ไปชำระความที่บ้านเต๋อซิง
นายหญิงเสิ่นส่ายหน้า “เด็กคนนี้ยิ่งโตก็ยิ่งไม่เอาไหน”
“เกิดเื่ได้อย่างไรเ้าคะ?” กู้เจิงถามแม่สามี
นายหญิงเสิ่นจึงเล่าให้ฟัง “เมื่อครู่ป้าใหญ่ของเ้าคุยอยู่กับข้าที่บ้านของเสิ่นเฟิง แล้วจู่ๆ ก็มีคนวิ่งมาบอกว่าไก่ที่นางเลี้ยงไว้ในเล้าใจนตายทั้งเล้า เพราะหลานชายของบ้านเต๋อซิงโยนประทัดเข้าไป นางจึงรีบกลับบ้านไปอย่างโมโห แต่ไม่ใช่แค่ไก่ที่ตายเป็ดก็ใตายถึงสามตัว”
กู้เจิงอ้าปากค้าง “...” ป้าใหญ่เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ เพื่อค้าขาย แต่สัตว์ของนางต้องมาตายลงแบบนี้ นางคงต้องโกรธมากแน่ๆ
“บ้านเต๋อซิงก็ไม่รู้จักสนใจเขาเลย ปล่อยให้เขาเล่นซนเกเรไปวันๆ” นายหญิงเสิ่นว่าพลางเดินเข้าไปหยิบของในห้องครัว ตอนออกมา ในมือก็ถือถุงกากสุราใบใหญ่มาด้วย
“ท่านแม่จะเอากากสุราไปหมักไก่กับเป็ดที่ตายพวกนั้นหรือเ้าคะ?” กู้เจิงถาม
“ใช่แล้ว ข้าช่วยป้าใหญ่ผ่าไก่กับเป็ดจนหมดแล้ว ไก่เป็ดมากมายขนาดนี้ กินไม่หมดในทันทีหรอก เลยจะเอาเป็ดกับไก่มาหมักให้หมด” นายหญิงเสิ่นเดินมาถึงหน้าประตูพร้อมเอ่ยขึ้นว่า “อีกเดี๋ยวไม่ต้องไปกินข้าวที่บ้านของเสิ่นเฟิงแล้ว หลังอาเยี่ยนกลับมา ค่อยไปกินน้ำแกงไก่ที่บ้านป้าใหญ่ด้วยกัน”
“เ้าค่ะ ข้าทราบแล้ว”
ก่อนที่นายหญิงเสิ่นจะออกจากบ้านก็หันกลับมาถามลูกสะใภ้ว่า “เด็กพวกนั้นเข้ามาอยู่ในบ้านได้ยังไง?”
ชุนหงจึงเล่าเื่ราวทั้งหมดให้นายหญิงเสิ่นฟัง
เมื่อฟังจนจบ นางหญิงเสิ่นก็อดจะโมโหไม่ได้ “เด็กพวกนี้เล่นซนกันจนไม่รู้ขอบเขต”
หลังจากนายหญิงเสิ่นออกจากบ้านไป ชุนหงก็หันมาพูดกับกู้เจิง “คุณหนู คิดไม่ถึงว่าเด็กคนนั้นจะนิสัยแย่ถึงเพียงนี้”
“นั่นน่ะสิ นี่ไม่ใช่การเล่นพิเรนทร์แบบธรรมดาแล้ว หากไม่สั่งสอนให้ดี ต่อไปจะแก้นิสัยได้ยากแน่” กู้เจิงรู้สึกว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่แค่ซุกซนธรรมดา แต่ถึงขั้นเลวร้ายเลยทีเดียว
วันนี้มีหิมะตกทั้งวัน บนหลังคาของบ้านตระกูลเสิ่นจึงมีหิมะจับตัวหนาเป็ชั้นๆ
กู้เจิงกลัวว่าหิมะจะทับถมจนหนาเกินไปแล้วจะทำให้เกิดเื่แบบคราวที่แล้ว นางจึงคิดจะปีนขึ้นไปกวาดหิมะบนหลังคา กู้เจิงและชุนหงจึงช่วยกันยกบันไดไม้ไผ่ออกมา เพื่อที่จะใช้ปีนขึ้นไปกวาดหิมะบนหลังคา
“ให้บ่าวทำเถอะ อย่างคุณหนูทำไม่เป็หรอกเ้าค่ะ” ชุนหงเหยียบขึ้นบันไดไม้ไผ่
“นี่ก็เป็ครั้งแรกของเ้าไม่ใช่หรือ?” กู้เจิงดึงชุนหงลงมา “ข้าไปเอง”
“บนกระเบื้องนั่นคงไม่อาจรับน้ำหนักคนได้มากนัก บ่าวผอมกว่าคุณหนู ให้บ่าวเป็คนขึ้นไปเถอะเ้าค่ะ” ชุนหงพูดพลางหยิบไม้กวาดมาจากมือของกู้เจิง แล้วนางก็ปีนขึ้นบันไดไม้ไผ่ขึ้นไป
กู้เจิงหน้างอ นางเองก็ไม่ได้อ้วนอะไรนักกระมัง เมื่อชุนหงแย่งงานไปทำ นางจึงทำได้แค่คอยจับบันไดไว้ให้มั่น นางะโบอกชุนหง “ระวังด้วยล่ะ”
ชุนหงปีนขึ้นไปบนหลังคา นางเริ่มลงมือกวาดหิมะ กู้เจิงยืนมองหิมะที่ร่วงลงสู่พื้นด้วยความรู้สึกชอบอย่างแปลกประหลาด ในขณะที่กำลังคิดว่าจะปั้นตุ๊กตาหิมะเล่น ก็ได้ยินเสียง ‘ตุบ’ ดังขึ้น วินาทีต่อมาก็เป็เสียงร้องของชุนหง
ร่างของชุนหงตกลงมาจากหลังคา กู้เจิงผละเข้าไปหาโดยไม่ทันได้คิดอะไร นางวิ่งไปยื่นมือหมายจะรับตัวชุนหงไว้ ฉับพลันนั้นเงาร่างสายหนึ่งเร็วยิ่งกว่านาง
ชั่วขณะที่กู้เจิงรู้สึกใเสียจนเผลอกลั้นหายใจไปชั่วขณะหนึ่ง นางก็เห็นเงาร่างของเสิ่นเยี่ยนพุ่งเข้ามารับตัวชุนหงไว้แล้ว
ชุนหงใจนสติไม่อยู่กับตัว จนกระทั่งท่านบุตรเขยวางนางลงที่พื้นนางถึงได้สติขึ้นมา
“ชุนหง เ้าไม่เป็ไรนะ? ข้าใแทบตาย” กู้เจิงเดินเข้าไปกอดนางไว้
“คุณหนู บ่าวไม่เป็ไรเ้าค่ะ บ่าวก็ใแทบตายเหมือนกัน” ชุนหงตบหน้าอกตัวเองด้วยใบหน้าซีดเผือด ก่อนจะรีบคุกเข่าลงโขกศีรษะให้เสิ่นเยี่ยน “บ่าวขอบคุณท่านบุตรเขยที่ช่วยชีวิตไว้เ้าค่ะ”
เสิ่นเยี่ยนที่เพิ่งกลับถึงบ้าน เขาทันเห็นตอนที่ชุนหงลื่นไถลจากหลังคาพอดี “รีบลุกขึ้นเถอะ ต่อไปเื่อันตรายเช่นนี้รอให้ข้ากลับมาทำเองเถอะนะ”
ชุนหงกับกู้เจิงต่างพยักหน้ารับพร้อมกัน
เมื่อสถานการณ์คลี่คลายแล้ว ทั้งสามคนจึงพากันออกจากบ้าน เพื่อไปกินข้าวที่บ้านป้าใหญ่
ตลอดทางมีคนรู้จักเข้ามาทักทายอยู่ตลอด
“ฟู่ผิงเซียงเข้าวังมาพบองค์หญิงสิบเอ็ดจริงๆ แล้วหรือเ้าคะ?” กู้เจิงถามขึ้น ดูจากท่าทีที่ฟู่ผิงเซียงเกลียดชังนาง ไม่ขอความช่วยเหลือจากองค์หญิงสิแปลก “แล้วองค์หญิงทรงว่าเช่นไรเ้าคะ?”
“ทรงปฏิเสธไปแล้ว” เสิ่นเยี่ยนพูดเสียงเรียบ
“ไม่ช่วยฟู่ผิงเซียงหรือเ้าคะ?” กู้เจิงไม่อยากจะเชื่อ เมื่อนึกถึงท่าทีขององค์หญิงสิบเอ็ดที่มีต่อนางในวันแต่งงานของกู้อิ๋ง
“เ้าเป็ถึงคุณหนูใหญ่แห่งจวนกู้ ส่วนน้องสามของเ้าก็เป็ถึงพระชายาของตวนอ๋อง องค์หญิงสิบเอ็ดไม่ได้โง่ นางมีชีวิตอยู่ในวังมาขนาดนี้ ย่อมต้องไม่หาเื่ใส่ตัวแน่นอน”
“ข้าเข้าใจแล้วเ้าค่ะ องค์หญิงสิบเอ็ดคงไม่ถึงกับกล้าลงมือจัดการข้าเพื่อฟู่ผิงเซียง” กู้เจิงคลายใจลง
เสิ่นเยี่ยนพยักหน้า “องค์หญิงสิบเอ็ดได้รับความโปรดปรานจากฝ่าามาก ตวนอ๋องก็รักน้องสาวคนนี้อย่างยิ่ง องค์หญิงสิบเอ็ดเป็คนฉลาด นางคงไม่แลกทุกอย่างเพื่อฟู่ผิงเซียงหรอก”
“หากองค์หญิงสิบเอ็ดไม่จัดการกับข้าในตอนนี้ ต่อไปข้าก็จะไม่ปล่อยให้นางได้มีโอกาสมาจัดการข้าเด็ดขาดเ้าค่ะ” กู้เจิงยืดอกตรง นางมองสามีด้วยสีหน้ามั่นใจ
“หมายความว่ายังไง?”
“ข้าจะทำหอสมุดให้ยิ่งใหญ่ ใหญ่จนไม่ว่าใครก็ตามที่เห็นข้า จะต้องเกรงใจข้าเ้าค่ะ”
เสิ่นเยี่ยนหยุดฝีเท้าลงเพื่อมองนาง ดวงตาเ็าของเขาปรากฏรอยยิ้ม “เ้ามีความทะเยอทะยานที่ใหญ่ยิ่ง”
“ต่อให้ข้าทำไม่ไหว แต่ข้าก็ยังมีสามีเช่นท่านอยู่นี่เ้าคะ” กู้เจิงมั่นใจในตัวเสิ่นเยี่ยนอย่างเต็มเปี่ยม ที่นางมั่นใจไม่ใช่เพราะคำพูดของตวนอ๋อง แต่เป็เพราะเขามีความสามารถจริงๆ
“เช่นนั้นข้าจะไม่ทำให้เ้าผิดหวัง” มือเรียวยาวของเขาคว้ากอบกุมมือเล็กของนางเอาไว้ แล้วจูงเดินมุ่งหน้าไปที่บ้านป้าใหญ่
ตอนนี้ที่บ้านของลุงใหญ่และป้าใหญ่มีคนมารวมตัวกันวุ่นวายไปหมด ครอบครัวของลุงรองมาถึงแล้ว บ้านลุงสามก็มาแล้ว รวมถึงเสิ่นเยี่ยนกับกู้เจิงก็มาถึงแล้วด้วย
พอกู้เจิงกับเสิ่นเยี่ยนเข้ามาในเรือนก็เห็นไอร้อนในห้องครัวลอยโขมงจนฟุ้งไปทั่ว พวกนางเห็นป้ารองกำลังเก็บขนไก่และขนเป็ดในลานบ้าน ส่วนป้าสามกำลังเก็บชามใส่เืไก่เืเป็ดที่แข็งตัวอยู่
ตอนนั้นเอง ป้าใหญ่ก็เอาไก่และเป็ดที่ต้มเสร็จมาใส่ในถังแล้วหิ้วออกมาด้วยสีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่ง เพราะยังคงโกรธอยู่ พอเห็นเสิ่นเยี่ยนกับกู้เจิงถึงได้ฝืนยิ้ม
นายหญิงเสิ่นถือเขียงกับมีดออกมา เห็นลูกชายกับลูกสะใภ้มาแล้วจึงสั่งงานกับเสิ่นเยี่ยน “เ้ามาหั่นไก่กับเป็ดเป็ชิ้นๆ จะได้หมักเข้าเนื้อได้ง่าย”
เสิ่นเยี่ยนพร้อมทำงาน
“เอาเถอะ ในเมื่อเป็เช่นนี้แล้ว ก็อย่าเสียใจไปเลย” ป้ารองคุยกับป้าใหญ่พลางหยิบกากสุราออกมาจากโอ่ง กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมาทันที “พี่ใหญ่กับน้องสี่ไปเจรจาแล้ว ต้องทำให้บ้านเต๋อซิงชดใช้ค่าเสียหายได้แน่”
“ไก่และเป็ดพวกนี้ข้าจะเก็บไว้ให้ตอนอากุ้ยแต่งงาน ข้าเลือกเก็บตัวที่ดีที่สุดไว้ ทั้งยังป้อนอาหารดีๆ ให้ทุกวัน” ตอนนั้นป้าใหญ่โมโหเสียจนอยากจะตีเด็กนั่นให้ตายจริงๆ
“พี่สะใภ้ใหญ่อย่าโกรธไปเลย โกรธจนเสียสุขภาพจะไม่ดีเอานะ” ป้าสามปลอบใจอยู่ข้างๆ
ไม่ได้เจอกันหลายวัน กู้เจิงพบว่าสีหน้าของป้าสามดีขึ้นเรื่อยๆ นี่ต้องเป็ความดีความชอบของลุงสามเป็แน่แท้
“พี่รองกับท่านพี่ซื้อกากเหล้ากลับมาแล้ว” ป้าสามเห็นคนที่กลับมาถึงประตูก็พูดอย่างดีใจ
กู้เจิงมองไป ก็เห็นลุงรองกับลุงสามต่างถือถุงกากสุราเดินเข้ามา
“พี่ใหญ่กับน้องสี่ยังไม่กลับมาอีกหรือ?” ลุงสามถาม
ลุงรองยื่นกากสุราให้ภรรยา “ข้าบอกแล้วไงว่ายังไม่กลับมา บ้านเต๋อซิงคงไม่ยอมรับแน่”
ตอนนี้เสิ่นเยี่ยนได้หั่นเนื้อไก่และเป็ดที่ต้มสุกเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“คนเห็นกันมากมาย ถ้ายังไม่ยอมรับอีกก็คงต้องไปฟ้องกับทางการแล้ว” ป้าใหญ่กล่าวอย่างโมโห “ก็แค่มีญาติเป็เ้าหน้าที่บัญชีในจวนกงเจวี๋ยเท่านั้นเอง มีอะไรให้น่าหวั่นเกรงกัน? หลานชายของข้าเป็ถึงขุนนางในราชสำนัก และหลานสะใภ้ของข้ายังเป็คุณหนูใหญ่แห่งจวนป๋อเจวี่ยเชียวนะ”
“ใช่ๆ” ป้ารองพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมเอ่ยว่า “เทียบกันแล้ว พวกเราสิน่าหวั่นเกรงกว่ามาก”
กู้เจิงกับเสิ่นเยี่ยนแอบมองหน้ากันแวบหนึ่ง ต่างเห็นรอยยิ้มในสายตาของกันและกัน
สักพัก ลุงใหญ่กับนายท่านเสิ่นก็กลับมา
เป็เช่นที่ลุงรองพูด บ้านเต๋อซิงไม่ยอมรับว่าลูกชายของตนเล่นประทัดจนทำให้ไก่กับเป็ดของลุงใหญ่ใจนตาย ลุงใหญ่กับพ่อเฒ่าเสิ่นจึงบอกว่าจะไปฟ้องร้องกับทางการ บ้านเต๋อซิงนั่นก็บอกทันทีว่ามีญาติพี่น้องเป็ข้าราชการในจวนกงเจวี๋ย
“แล้วท่านได้บอกฐานะของอาเยี่ยนกับอาเจิงออกไปหรือเปล่า?” ป้าใหญ่ถามลุงใหญ่อย่างร้อนรน
ลุงใหญ่กับนายท่านเฉินต่างส่ายหน้า พวกเขาไม่ทันฉุกคิดถึงเื่นี้
“ทำไมพวกเ้าถึงได้โง่นักล่ะ” ป้าใหญ่โมโหมาก
อาหารเย็นในวันนี้เป็น้ำแกงไก่ มีก้อนแป้ง เส้นหมี่ ผักกวางตุ้ง เต้าหู้ และเครื่องในไก่กับเป็ด
เสิ่นกุ้ยกลับมาทันอาหารเย็นพอดี ส่วนญาติพี่น้องที่เหลืออยู่บ้าน เพราะถนนหนทางไกล จึงไม่ได้เรียกพวกเขามาด้วยกัน
ทุกคนในครอบครัวต่างเบียดเสียดกินอาหารกันบนโต๊ะกลมอย่างสนิทสนมกลมเกลียว