บทที่ 150 ลู่จิ่งซานทำตัวอันธพาล
ห้าวันต่อมา ทางสถานีตำรวจมีข่าวออกมาแล้ว สองคนที่ลักพาตัวสวี่จือจือถูกตัดสินจำคุกสิบห้าปี
ส่วนหวงซานเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ จึงไม่มีความเกี่ยวข้อง
สวี่จือจือได้ยินผลตัดสินแล้วโมโหจนข้าวก็กินไม่ลง เธอหยิบหนังสือที่หมอกู่ให้มาแล้วท่องจำอย่างบ้าคลั่ง
เธอมีนิสัยอยู่อย่างหนึ่ง คือเมื่อไหร่ที่อารมณ์ไม่ดีหรือรู้สึกกดดันมากๆ เธอจะชอบท่องหนังสือ
ท่องหนังสือที่ยากๆ หรืออ่านแล้วต้องใช้สมองเยอะๆ
ในชาติที่แล้ว เธอเคยท่องพจนานุกรมคังซีมาแล้ว และยังเคยท่องพจนานุกรมออกซ์ฟอร์ดด้วย…
ยิ่งยากยิ่งพิลึกพิลั่นเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งชอบท่อง
และเพราะนิสัยประหลาดนี้แหละที่ช่วยให้การเรียนของเธอดีขึ้น สมองยิ่งใช้ยิ่งเฉียบแหลม ภายหลังเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้อย่างราบรื่น สวี่จือจือรู้สึกว่ามันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เธอท่องมา
ตอนนี้เธอยังรู้สึกขอบคุณหมอกู่อยู่บ้าง ถ้าไม่มีเขา เธอจะไปหาพจนานุกรมที่ไหนมาท่องล่ะ?
ลู่จิ่งซานไม่ได้โน้มน้าวอะไรเธอเพิ่ม เขาแค่เดินเงียบๆ เข้าไปในครัวเพื่อทำกับข้าว
จนกระทั่งสวี่จือจือเห็นว่าฟ้ามืดแล้วจึงออกจากห้องมา ลู่จิ่งซานก็ต้มบะหมี่เสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ทำไมคุณไม่เรียกฉันล่ะ?” สวี่จือจือกล่าว “เวลาฉันท่องอะไร มักจะลืมเวลาเสมอ”
บางครั้งถึงขั้นลืมกินลืมนอนเลยทีเดียว
“ผมต้มบะหมี่แบบง่ายๆ คุณชิมดูหน่อยสิ” ลู่จิ่งซานบอก
“มือคุณเป็อะไร?” สวี่จือจือรับชามมาแล้วสังเกตเห็นจุดแดงๆ บนมือของเขา
“ไม่เป็ไร” ลู่จิ่งซานรีบดึงมือกลับ
แต่ดึงไปได้ครึ่งทางก็ถูกสวี่จือจือคว้าไว้ “โดนลวกเหรอ?”
“อืม นิดหน่อย” เขายิ้มแล้วกล่าว “ตอนแรกผมอยากจะทอดไข่ให้”
แต่การนั่งรถเข็นทำให้เคลื่อนไหวยากไปหน่อย เขาเผลอไปโดนน้ำแล้วหยดลงในน้ำมัน โชคดีที่เขาตอบสนองไว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่พ้นอยู่ดี
“ผมทาน้ำมันไปแล้ว” ลู่จิ่งซานกล่าว “ยังเอาน้ำเย็นล้างด้วย ไม่เป็ไรแล้วครับ”
แต่น้ำตาของสวี่จือจือกลับไหลลงมา เธอเบือนหน้าหนีไปด้านข้าง พูดเสียงสั่นเครือว่า “งั้นฉันจะไปหาดูว่ามียาอะไรบ้าง?”
ลู่จิ่งซานอยากจะห้ามเธอ แต่คิดไปคิดมาก็ปล่อยให้เธอไปค้นกล่องยา หายามาทาให้เขา
“ลู่จิ่งซาน” สวี่จือจือทายาไปพลางกล่าวไปพลาง “พอพวกเรากลับไป พวกเราไปจดทะเบียนสมรสกันเถอะ”
่ที่ถูกลักพาตัวไปนั้น มีวันหนึ่งเป็วันเกิดของเธอพอดี
ดังนั้นตอนนี้เธออายุครบสิบแปดปีเต็มแล้ว
ลู่จิ่งซานชะงักไป มองเธอด้วยความแปลกใจ
“ทำไม?” สวี่จือจือจ้องเขา “คุณไม่เต็มใจเหรอ?”
“ไม่ใช่นะ” ลู่จิ่งซานกล่าว “แค่…”
เขาเอ่ยเบาๆ อย่างระวังว่า “คุณเคยบอกว่าผมยังอยู่ใน่ทดสอบ ผมจีบคุณสำเร็จแล้วเหรอ?”
“สวี่จือจือ” เสียงทุ้มนุ่มมีพลังของเขากล่าวอย่างจริงจังว่า “คุณใจอ่อนเกินไปแล้ว”
แค่ทำกับข้าวให้กินก็ซาบซึ้งขนาดนี้แล้วเหรอ?
ลู่จิ่งซานรู้สึกว่าตัวเองยังทำได้ไม่ดีพอ
“ผมยังทำได้ไม่ดีพอ” เขากล่าว “ทำไมคุณถึงโง่ขนาดนี้นะ?”
“ถ้าคุณไม่เต็มใจก็ช่างเถอะ” สวี่จือจือเบ้ปาก “ถือว่าฉันไม่ได้พูดแล้วกัน”
คราวนี้ถึงตาลู่จิ่งซานตะลึงบ้าง
เขาคว้าตัวสวี่จือจือที่กำลังจะเดินหนีไว้ “ไม่ได้นะ สวี่จือจือ”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?” สวี่จือจือเอียงคอมองเขา “ปล่อยฉันสิ”
“คุณรับปากผมแล้ว จะมาเปลี่ยนคำพูดไม่ได้นะ” ลู่จิ่งซานทำสีหน้าจริงจัง
“คุณจะขู่ฉันเหรอ?” สวี่จือจือมองค้อนเขาแล้วเบ้ปาก “ฉันเป็สาวน้อย ไม่ใช่ผู้ชาย ไม่นับแล้วจะทำไมล่ะ”
วินาทีต่อมา เธอก็ถูกเขาดึงเข้าไปในอ้อมกอดทั้งตัว
“ไม่ได้เด็ดขาด” ลู่จิ่งซานพูดอย่างเผด็จการ
“นี่” สวี่จือจือร้องเบาๆ “คุณนี่มัน ทำไมถึงอันธพาลได้ล่ะ”
“อันธพาล?” ลู่จิ่งซานครุ่นคิด แล้วมองริมฝีปากแดงๆ ของสวี่จือจือ “นี่ยังไม่เรียกว่าอันธพาลหรอก”
จากนั้นริมฝีปากของสวี่จือจือก็ร้อนร้อนผ่าว
ถูกเขาจูบทีหนึ่ง
เสียงแหบพร่าของลู่จิ่งซานดังขึ้นข้างหูเธอ “แบบนี้ก็เหมือนจะยังไม่เรียกว่าอันธพาล”
“ทำไมถึงจะไม่เรียกล่ะ”
สวี่จือจือถลึงตาใส่เขา เธอผลักมือเขาออก ใบหน้าก็แดงก่ำ “ตอนนี้พวกเรายังแค่คบกันอยู่ คุณ…คุณจะมาทำแบบนี้ได้ยังไง…”
ลู่จิ่งซานจับมือเธอไว้ “ความจริง…ผมอยากทำแบบนี้มาตั้งนานแล้ว”
ั้แ่บังเอิญเจอเธอครั้งแรก
ั้แ่ที่เขาช่วยเธอออกมาจากในรถ เขาอยากทำแบบนี้มานานแล้ว
พูดจบ เขาก็กอดเธอแน่น “สวี่จือจือ จะจดทะเบียนหรือไม่จดก็ได้ ยังไงชาตินี้คุณก็หนีผมไม่พ้นหรอก”
และเขาจะไม่มีวันปล่อยเธอไปด้วย
“รอขาผมหายก่อน” เขาเกยคางลงบนไหล่ของเธอ “ผมจะขอคุณอย่างจริงจัง พอผ่านการทดสอบของคุณแล้ว พวกเราค่อยไปจดทะเบียนสมรสกัน”
เธอเป็ผู้หญิงที่ดีที่สุดในโลกนี้ ควรได้รับการตามจีบแบบถูกประคบประหงม ไม่ใช่แต่งงานกับเขาแบบสับสนในใจแบบนี้
“ยังจะมาบอกฉันโง่อีก” สวี่จือจือพูดด้วยความซาบซึ้ง “ฉันว่าคุณน่ะโง่ยิ่งกว่า”
“คุณไม่กลัวเหรอ” เธอพูดเบาๆ “ฉันจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย พอสอบติดแล้วเจอผู้ชายที่เก่งกว่า ดีกว่าแล้วทิ้งคุณไป?”
“ถ้าเป็แบบนั้นก็แปลว่าผมยังดีไม่พอ และเก่งไม่พอ” ลู่จิ่งซานยิ้มแล้วกล่าว “ถ้ามีผู้ชายคนไหนเก่งกว่าผม และดีต่อคุณกว่าผมจริงๆ ถ้าคุณเลือกเขา ผมก็ยอม”
แต่ลู่จิ่งซานบอกตัวเองในใจเงียบๆ ว่าเขาจะไม่ยอมให้เื่แบบนั้นเกิดขึ้นแน่นอน
สวี่จือจือแค่นเสียงอย่างเย่อหยิ่ง
“จะทำไงดีล่ะ?” ลู่จิ่งซานหัวเราะเบาๆ ด้วยน้ำเสียงทุ้ม “สวี่จือจือ”
“ทำไมเหรอ?” สวี่จือจือขานรับ
“คุณเป็แบบนี้…” เขามองเธอ “ผมยังอยากทำตัวอันธพาลกับคุณอีก ทำยังไงดี?”
สวี่จือจือ “…”
ดวงตาผลซิ่งเบิกกว้างมองลู่จิ่งซาน
นี่ยังเป็ลู่จิ่งซานที่เธอรู้จักอยู่หรือเปล่า?
“ลู่จิ่งซาน คุณพูดอะไรอันธพาลแบบนี้ออกมาได้ยังไง?” สวี่จือจือใมาก
แล้วคำพูดแบบนี้จะให้เธอตอบยังไงล่ะ?
บอกว่า ดี คุณมาเล่นเลย หรือว่าตบเขาไปที คุณมันอันธพาลหน้าเหม็น!
“อืม” ลู่จิ่งซานพยักหน้าอย่างจริงจัง “ผมก็ว่าอย่างนั้น”
แล้วยังไง?
ลู่จิ่งซานบีบจมูกเธอ “ตอนนี้ยังจะท่องของพวกนั้นอยู่อีกไหม?”
สวี่จือจือถึงได้นึกขึ้นมา ถูกเขาขัดจังหวะแบบนี้ อารมณ์เธอดีขึ้นเยอะเลย
“ท่องสิ” เธอกล่าว “มีวิชาเยอะก็ไม่เสียหาย”
ลู่จิ่งซานรู้สึกอบอุ่นในใจ
ถ้าไม่ใช่เพื่อเขา เธอจะไปท่องคำศัพท์แพทย์ที่เข้าใจยากพวกนั้นทำไม?
นี่มันช่างเป็…ความเข้าใจผิดที่สวยงามจริงๆ
สวี่จือจืออยากจะอธิบาย แต่ลู่จิ่งซานไม่เปิดโอกาสให้เธอ เขาดึงเธอเข้าไปในอ้อมกอด
“ลู่จิ่งซาน…”
“ผมจะทำตัวอันธพาลแล้วนะ” ลู่จิ่งซานกล่าว
จากนั้น ใบหน้าหล่อเหลาของเขาก็ขยับเข้ามาใกล้
“แค่กๆ…”
แต่คราวนี้สวี่จือจือกลับผลักเขาออก เด็กสาววิ่งหน้าแดงเข้าไปในบ้าน
เซียวหังที่ยืนอยู่หน้าประตู “ฉัน…ไม่ได้ตั้งใจนะ”
ลู่จิ่งซาน “…”
.............................