ใครเล่าจะคิดว่าิเป่าจูตรึกตรองอยู่ชั่วขณะ จะยืนกรานปฏิเสธดังตอกตรึงบนแผ่นเหล็ก
“เพราะเหตุใดเล่า” เถ้าแก่ก้าวขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว ไม่แปลกที่เขาจะใ เพราะยากที่จะเชื่อได้จริงๆ
เงื่อนไขดึงดูดเช่นนี้ หากเป็เขา การได้มาเป็หมอตรวจรักษาคนไข้ทั้งที่ยังอ่อนด้อยขาดประสบการณ์ เขาต้องไม่ปฏิเสธแน่นอน
ใครๆ ก็อยากมานั่งประจำโรงหมอกันทั้งนั้น
ทว่านางกลับปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้า
“เื่สาเหตุต้องขออภัยที่ไม่อาจบอกได้”
ิเป่าจูสะพายกระบุงบนหลังอย่างแ่า อันที่จริงคำกล่าวของเถ้าแก่กลับเป็การเตือนสตินาง การขายสมุนไพรไม่ใช่แผนการระยะยาว
นางข้ามภพมายุคสมัยนี้ ไม่มีคฤหาสน์หลังใหญ่ หรือมีครอบครัวที่ภูมิหลังโดดเด่นมีอำนาจสามารถเกื้อหนุนต่อการดำรงชีวิตได้
แต่ตนเองมีความสามารถด้านการแพทย์ติดตัว ความรู้มากมายในสมองคือผลที่มาจากการทำงานอย่างหนักของผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์เป็เวลาหลายพันปี
เกินกว่าความเข้าใจเื่พยาธิวิทยาของผู้คนในยุคนี้ไปไกลมาก
แล้วทำไมนางจะไม่ใช้ประโยชน์จากมัน มาเปิดโรงหมอของตนเองเล่า
อุดมคตินั้นสวยงาม แต่ความเป็จริงกลับเป็เนื้อหุ้มกระดูก และสิ่งเร่งด่วนที่สุดก็คือเงิน
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ิเป่าจูก็กลอกตา ก่อนเงยดวงหน้าอ่อนเยาว์ยิ้มให้เถ้าแก่
ชั่วขณะนั้นความหนาวเย็นก็ไหลผ่านแนวกระดูกสันหลังของเถ้าแก่
“ข้าเหน็ดเหนื่อยกับการรักษาคนป่วยมาตลอดเช้านี้ เถ้าแก่ควรจ่ายค่าวินิจฉัยโรคให้ข้ามิใช่หรือ”
อย่าคิดว่านางไม่เห็นคนเ่าั้จ่ายค่ารักษาจำนวนมากก่อนที่จะจากไป
“…”
เถ้าแก่อับจนถ้อยคำ
เขาตั้งใจฮุบเงินไว้จริงๆ บัดนี้ดูท่าจะไม่ได้แล้ว แต่ถ้าสามารถรั้งเด็กสาวคนนี้ไว้ได้ เงินค่าวินิจฉัยไม่ว่าเท่าไรเขาก็ยังหากลับมาได้
“เ้าต้องคิดอ่านให้รอบคอบ สิ่งที่เ้าพลาดไปก็คือโอกาสอันยิ่งใหญ่” เถ้าแก่ยังคงเกลี้ยกล่อมอย่างไม่ลดละ
เขาดูออก แม่หนูคนนี้แม้จะตัวเล็ก แต่วิชาแพทย์แตกฉาน หากนางอยู่ที่นี่ คนเจ็บป่วยจะต้องหลั่งไหลมาหอหุยชุนมิขาดแน่ ชื่อเสียงก็จะขจรขจายออกไปอีกครั้ง ยังต้องกังวลเื่เงินอีกหรือ
“เถ้าแก่้าให้ข้าอยู่ที่นี่ ก็เลยใช้เงินค่าวินิจฉัยโรคมาข่มขู่อย่างนั้นหรือ” ิเป่าจูหรี่ตา นางจะไม่รู้ความคิดของคนผู้นี้ได้อย่างไร แต่ไม่มีวันเป็ไปได้อย่างเด็ดขาด
เมื่อได้ยินิเป่าจูกล่าวเช่นนี้ เถ้าแก่ก็เพียงยิ้มให้นาง เขาก็คิดเช่นนี้จริงๆ นางจะทำอะไรเขาได้
“เมื่อเป็เช่นนี้ เกรงว่าการค้าของท่านก็คงจะทำไม่ได้อีกต่อไป เ้าหน้าที่ทางการจะเป็คนจัดการแทนข้าเอง” พูดจบ ก็ยกเท้าคิดจะจากไป แต่กลับถูกคนใช้มือรั้งไว้
“โธ่ แม่นางน้อยอย่างเ้าไฉนล้อเล่นนิดเดียวก็งอนเสียแล้ว เอาไป เอาไป เอาไป”
เถ้าแก่ดีดลูกคิดคำนวณมาอย่างดี แต่ไม่อาจต้านทานความมุ่งมั่นและปณิธานอันยิ่งใหญ่ของิเป่าจูได้
นางรับเงินค่ารักษามา ก่อนเปิดห่อผ้าดู มีเงินอยู่สองตำลึง เพียงพอที่พวกเขาสองสามคนจะใช้ประทังชีวิตไปได้สักระยะ
นางยัดห่อผ้าเข้าไปในอกเสื้อด้วยความดีใจ แล้วเดินออกมาจากหุยชุนถังโดยไม่เหลียวกลับไปมองอีกเลย
เพียงแค่ยกมือขึ้นโบกไปด้านหลังส่งๆ
“ขอบคุณนะ”
เถ้าแก่เห็นแล้วก็โมโหโทโส ลุกขึ้นมาเต้นผางอยู่ด้านหลัง
หลังออกมาจากหุยชุนถัง ิเป่าจูก็ไปสืบถามร้านขายยาอื่นๆ เดินไปสองสามร้าน ในที่สุดก็สามารถขายสมุนไพรไม่กี่ต้นในมือได้ในราคาที่สมเหตุสมผล
ร้านนั้นพบว่าสมุนไพรเหล่านี้มีคุณภาพสูง จึงตกลงไว้ว่าคราวหน้าไม่ว่าจะเก็บสมุนไพรอะไรมาได้ ต้องส่งมาให้พวกเขาดูก่อน ิเป่าจูย่อมพึงพอใจ ตอบตกลงในทันที
รายได้จากการขายสมุนไพรกับค่าวินิจฉัยโรครวมเป็สิบสองตำลึง นี่นับว่าเป็เงินก้อนโตทีเดียว
ิเป่าจูแบ่งเงินออกเป็ห่อเล็กๆ หลายห่อ แล้วซุกซ่อนไว้ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
ด้วยวิธีการนี้ แม้ว่าจะสูญหาย หรือถูกคนขโมยไปก็ยังไม่ถึงกับหมดเนื้อหมดตัว
หลังจากยุ่งมาสักพักก็เกือบถึง่บ่ายแล้ว คำนวณจากเวลา ถ้ารีบกลับไปก็น่าจะทันเวลากินมื้อเย็นพอดี
นางคลำตำแหน่งถุงเงินที่ซุกไว้ที่เอว พลางตัดสินใจว่าจะซื้อของอร่อยกลับไปให้น้องชายบำรุงร่างกาย
พวกนางสองพี่น้องผอมแห้งเกินไปจริงๆ ทั้งยังโดนิเถี่ยจู้กับหวังซื่อกระทำทารุณมาโดยตลอด กินไม่อิ่ม เสื้อผ้าไม่เพียงพอที่จะให้ความอบอุ่น พัฒนาการของร่างกายจึงไม่เป็ไปตามวัยเหมือนเด็กปกติทั่วไป
ตอนนี้พอจะมีเงินบ้าง ย่อมต้องนึกถึงการบำรุงสุขภาพ อย่างไรเสียสุขภาพก็คือทุนสำหรับการปฏิวัติ
นางจะต้องมีการงานที่ยิ่งใหญ่ในภายภาคหน้า!
แต่ใช่ว่ามีเงินแล้วจะใช้จ่ายตามอำเภอใจ ไม่ว่าอะไรนางก็เปรียบเทียบราคาและสินค้าของแต่ละร้านก่อนเสมอ เริ่มจากซื้อยาบำรุงกับพวกเส้นบะหมี่ หลังจากนั้นก็จ่ายเงินซื้อเนื้อหมูที่ปรุงสำเร็จแล้วมาในราคาย่อมเยา ก่อนหิ้วกลับบ้านด้วยความยินดีปรีดา
ในใจคิดแต่ว่าคนสองคนในบ้านจะต้องหิวจนไส้กิ่ว และกำลังรอคอยความช่วยเหลือจากนางผู้เป็ดั่งเทพจุติลงมาเป็แน่
แต่ใครเล่าจะคิด เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูกลับได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากข้างใน
“พี่ไหวฺอวี้ หอมมากเลยขอรับ”
เสียงที่ได้ยินคือเสียงของน้องชาย อู้อี้ไม่ชัดเจนนัก ดูเหมือนว่ากำลังพยายามเคี้ยวอะไรบางอย่างอยู่ในปาก
“อร่อยก็กินมากหน่อย ยังมีอยู่อีก”
หืม... นี่คือเสียงของเ้าหนุ่มหน้าขาวคนนั้น หลังจากปรับตัวกันมาระยะหนึ่ง ก็ไม่รู้สึกว่ายียวนกวนบาทาสักเท่าไรแล้ว
สองมือหิ้วของเต็มไปหมด ิเป่าจูจึงใช้เท้าเตะประตูให้เปิดออกอย่างเหิมเกริม อยากจะดูสถานการณ์ด้านในให้ชัดเจน
มีกระต่ายป่าที่ย่างสุกแล้วใส่อยู่ในจานบิ่นกลางโต๊ะ ทั้งสองคนกำลังนั่งกินอย่างมีความสุข
เสียงปังดังสนั่นทำให้ิเป่าอวี้ใจนตัวสั่น นึกว่าิเถี่ยจู้มาอีกแล้ว
จิตใต้สำนึกสั่งให้เขายกจานไปซ่อนไว้ด้านหลัง จะให้ท่านลุงผู้ชั่วร้ายเห็นว่าพวกเขามีเนื้อกินไม่ได้เป็อันขาด มิเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะใช้กลอุบายต่ำช้าอะไรมาลงโทษพวกเขาอีก
ิเป่าอวี้ตระหนักได้แล้วว่าิเถี่ยจู้ไม่อยากเห็นพวกเขาสองคนพี่น้องมีชีวิตที่ดี
ิเป่าจูก็ไม่คิดว่าเท้าของตนเองจะแรงมากขนาดนั้น เมื่อเห็นน้องชายของตนอกสั่นขวัญแขวน ก็รู้สึกผิดในใจ แต่ไม่วายนึกขบขัน
เขาคิดว่าซ่อนไว้เช่นนี้ ผู้อื่นจะไม่รู้ว่าเขาแอบกินเนื้อหรือไร ปากมันแผล็บขนาดนั้นเช็ดก็ยังเช็ดไม่ทันด้วยซ้ำ
ตรงข้ามกับหลี่ไหวฺอวี้ที่นั่งสงบนิ่งดุจภูผา เขาได้ยินเสียงฝีเท้าั้แ่ิเป่าจูมาถึงหน้าประตูแล้ว
ฝีเท้าเบามาพร้อมกับการฮัมเพลงเบาๆ ไม่เหมือนชายหญิงในหมู่บ้านที่หยาบกระด้างเ่าั้ จึงคิดว่าน่าจะเป็ิเป่าจูที่ประสบความสำเร็จในการขายสมุนไพรกลับมา
ท่าทีสงบนิ่งของหลี่ไหวฺอวี้ทำให้ิเป่าจูเลิกคิ้ว แต่เขากลับวางเฉยไม่อินังขังขอบ
“ใช้ได้นี่ กินอยู่คนเดียวไม่นึกถึงข้าบ้างเลย เสียแรงที่ข้าคิดแต่จะซื้อของอร่อยมาให้พวกเ้ากิน”
นางวางสุราอาหารไว้บนโต๊ะ แสร้งทำปั้นปึ่งแล้วหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้เตี้ยด้านข้าง
“ผู้น้อยจะกล้าลืมผู้มีพระคุณได้อย่างไรเล่า”
หลี่ไหวฺอวี้คลี่ยิ้ม พลางขยิบตาส่งสัญญาณให้ิเป่าอวี้
“พี่หญิง...”
ิเป่าอวี้วางจานในมือลงแล้ววิ่งออกไป
ไม่นานนักก็วิ่งกลับมาพร้อมกับยกชามบิ่นอีกใบที่เหมือนกันเข้ามา
ในนั้นมีเนื้อกระต่ายย่างร้อนๆ ควันฉุย น่าจะอุ่นไว้ตลอดเวลา เก็บไว้ให้นางโดยเฉพาะ
ิเป่าอวี้ไม่กล้าใช้มือที่เต็มไปด้วยคราบน้ำมันดึงเสื้อของพี่สาว แม้เสื้อผ้าของทั้งสองจะเก่าจนกระทั่งมองสีเดิมไม่ออกแล้ว แต่ก็เป็เพียงชุดเดียวที่พวกเขามีอยู่
“อย่างนี้ค่อยยังชั่วหน่อย”
เดิมทีก็แสร้งทำเป็โมโห เมื่อเห็นทั้งสองยังนึกถึงตนเอง ไหนเลยจะวางท่าต่อไปได้ หัวเราะพรืดออกมา
กระดาษเคลือบน้ำมันหนาๆ สองสามห่อถูกกางออก ทันใดนั้นกลิ่นเนื้อหอมฟุ้งก็กระจายไปทั่วห้องเล็กๆ
“เพิ่มอาหารให้กับพวกเ้า”
ิเป่าอวี้มองดูอาหารเต็มโต๊ะ มีแต่เนื้อทั้งนั้น นี่คือภาพที่เขาไม่กล้าคิดมาก่อน
ั้แ่บิดามารดาจากโลกนี้ไป เขาก็ไม่เคยได้กินเนื้อหมูอีกเลย และจำกลิ่นรสของมันไม่ได้แล้ว
คิดว่ากระต่ายป่าที่พี่ไหวฺอวี้ล่ามาวันนี้คืออาหารเลิศรสในใต้หล้าแล้ว ไม่นึกว่าพี่สาวจะสามารถซื้อของอร่อยขนาดนี้กลับมาได้
ิเป่าจูยังมีสุรากลับมาด้วย เมื่อเห็นพี่สาวรินสุรา เขาก็ถามด้วยน้ำเสียงขลาดกลัว “พี่หญิง ข้าดื่มได้หรือไม่”
เมื่อก่อนเพราะความตะกละ มีครั้งหนึ่งเขาอดใจไม่ไหว นึกอยากรู้ว่าเหตุใดท่านลุงถึงเบิกบานใจนักเมื่อได้ดื่มของสิ่งนี้ จึงใช้ตะเกียบจุ่มลงไปแล้วแอบชิมดู ยังไม่ทันรู้รส ก็ถูกหวังซื่อพบเข้า ถูกทุบตีไปเสียยกใหญ่
ตอนนั้นพี่สาวปาดน้ำตาบอกเขาว่า เด็กเล็กดื่มสุราไม่ได้ ั้แ่นั้นเป็ต้นมา เขาก็ไม่มีความคิดเกี่ยวกับเื่นี้อีกต่อไป
พอโตขึ้นมาอีกหน่อย ถึงรู้ว่าพี่สาวกลัวว่าเขาจะถูกเฆี่ยนตี ดังนั้นไม่ว่าจะโดนตีด้วยไม้อะไรก็ตามเขาก็อดทน และไม่เคยบอกพี่สาว เพราะกลัวว่านางจะวิตกกังวล
เมื่อเห็นท่าทางขลาดกลัวของน้องชาย ิเป่าจูก็แสบปลายจมูก นางรู้ว่าิเป่าอวี้นึกถึงเื่ราวในอดีต
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้