ความรู้สึกเขินอายนี้มาเร็วแต่ก็ไปเร็วเช่นเดียวกัน หลังจากที่ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกดีขึ้นมาก เขาดึงชายเสื้อกล้ามลงมาสองที ไม่สามารถที่จะนับได้เลยว่าครั้งนี้เป็ครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่เขาใส่เสื้อผ้าของเซี่ยเจิง
“วันนี้นายยังจะกลับอยู่ไหม? ” เซี่ยเจิงที่จ้องมองชวีเสี่ยวปอมาตลอดเวลา ในตอนนี้เขาถึงได้พูดขึ้นมา
“ไม่กลับแล้วละ เหนื่อยสุดๆ ” ชวีเสี่ยวปอพูดออกไปอย่างแน่ใจ ทั้งเขายังดูเหมือนว่าจะฟังน้ำเสียงของอีกฝ่ายออกว่าอยากให้เขาอยู่ต่อ แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า
“อืม เพราะถึงยังไงซือจวิ้นก็กลับไม่ได้แล้วละ” เซี่ยเจิงยิ้ม จากนั้นจึงผลักประตูห้องน้ำออกไป
ซือจวิ้นที่กำลังนอนอยู่ในห้องรับแขกกรนออกมาเสียงดัง ถึงขนาดที่เมื่อชวีเสี่ยวปอได้ยินเข้าก็ถึงกับอึ้งไปชั่วขณะก่อนที่จะรู้สึกตัวกลับมา
“ให้ตายสิ นี่เสียงกรนหรือเสียงไซเรนป้องกันภัยทางอากาศกันแน่เนี่ย? ในปากของซือจวิ้นนี่ต้องมีนกหวีดซ่อนเอาไว้อยู่แน่ๆ ” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกอยากขำออกมาเป็อย่างมาก แต่เซี่ยเจิงสะกิดเข้าที่ข้างเอวของเขาเสียก่อน พร้อมทั้งเตือนออกไปว่า : “อย่าทำเสียงดังเดี๋ยวเขาตื่น”
“ฉันว่านะถ้าจะทำให้เขาตื่นขึ้นมาตอนนี้ได้ก็คงจะต้องเอาปี่แนจีนมาเป่าที่ข้างหูของเขาเท่านั้นละ เพลงไป๋เหนี่ยวฉาวเฟิ่งน่ะรู้จักไหม? ” ถึงแม้ว่าจะพูดออกไปเช่นนั้น แต่ชวีเสี่ยวปอกลับเบาเสียงลงมาแล้ว ทั้งยังเดินย่องออกไปเสียงเบา
ในห้องรับแขกแห่งนี้ เซี่ยเจิงเพียงแต่เช็ดพื้นให้สะอาดก่อน ส่วนของบนโต๊ะยังคงวางเอาไว้อยู่เหมือนเดิมโดยยังไม่ทันที่จะได้เก็บ ในขณะนั้นชวีเสี่ยวปอเดินเข้าไปใกล้กับโต๊ะในสภาพที่รู้สึกตัวขึ้นมาบ้างแล้ว แต่เมื่อกำลังจะยื่นมือออกไป เซี่ยเจิงกลับดึงเขาเอาไว้ก่อน “ไม่ต้อง นายกลับไปนอนเถอะ”
“ครูสอนฉันเอาไว้ว่า เื่ของตัวเองก็ต้องลงมือทำเอง” ชวีเสี่ยวปอมองเขาอย่างจริงจัง
เซี่ยเจิงจ้องมองเข้าไปในดวงตาที่แดงก่ำของชวีเสี่ยวปอ “ครูยังบอกให้นายอย่าโดดเรียน ตอนเรียนก็ตั้งใจฟัง เลิกเรียนก็ห้ามไปต่อยตีมีเื่กับใครด้วย กลับไปนอนไป”
“ครูคนไหนพูด” ชวีเสี่ยวปอโน้นตัวไปข้างหน้า “คุณครูเซี่ยหรือเปล่า? ”
เซี่ยเจิงไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ซือจวิ้นที่นอนอยู่บนโซฟากลับขยับพลิกตัวขึ้นมา จึงทำให้โซฟาส่งเสียงดีงเอี๊ยดอ๊าดออกมาสองที เสียงกรนก็หยุดลงไปชั่วขณะเช่นกัน เขาทำปากขมุบขมิบขึ้นมาอย่างไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่
“ใช่ ครูเซี่ยให้นายกลับไปนอน” เซี่ยเจิงตบลงบนไหล่ของชวีเสี่ยวปออย่างเบามือ “นายเป็แบบนี้ฉันกลัวว่าจะเหมาชามทิ้งหมดน่ะสิ”
ชวีเสี่ยวปอทำเสียงเป็เชิงเข้าใจลากยาวออกมาครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงเข้าห้องนอนไป
เซี่ยเจิงเก็บกวาดงานเล็กๆ น้อยๆ นี้ทั้งหมดอย่างคล่องแคล่วจนเสร็จเรียบร้อย แล้วค่อยเดินเข้าห้องน้ำไปอีกครั้ง ในขณะที่ถอดเสื้อที่เปียกโชกออกมา เขาก็จามออกมาอย่างแรง
เมื่อครู่นี้ตอนที่อาบน้ำให้ชวีเสี่ยวปอ อีกฝ่ายอยู่ไม่นิ่งสักเท่าไหร่ แม้ว่าจะอยู่ต่อหน้าฝักบัวอาบน้ำ แต่ชวีเสี่ยวปอก็พยายามตะเกียกตะกายราวกับลูกเป็ดที่กำลังจมน้ำตัวหนึ่ง
แน่นอนว่าเขาก็คิดอยู่เหมือนกันว่าจะถอดเสื้อผ้าออกแล้วอาบด้วยกันไปเลยดีไหม แต่ความคิดเช่นนี้ปรากฏออกมาได้ไม่ถึงสามวินาทีก็ถูกปัดตกไปอย่างรวดเร็ว
รู้สึกว่ามันจะดูลามกเกินไปหน่อย
อย่างที่เขากล่าวกันเอาไว้ว่าชีวิตมักจะมีเื่ท้าทายใหม่ๆ รอคุณอยู่เสมอ
ก่อนที่จะบอกกับชวีเสี่ยวปอ เซี่ยเจิงรู้สึกว่าจะต้องใช้ความกล้าเป็อย่างมากในการพูดเื่นี้ออกมา แต่ถ้าเขารวบรวมความกล้าแล้วพูดออกไปเลย ก็จะทำให้มีความสุขขึ้นมาได้จากการลำบากใจเพียงครั้งเดียว แต่ในความเป็จริงแล้ว สภาพในตอนนี้จะต่างอะไรกับการตบเข้าที่กกหูของอีกฝ่ายจนเกิดเสียงก้องดัง ให้บอกเขาน่ะเหรอ ไม่มีทางเอาเสียหรอก
เขารออย่างระมัดระวังและกระวนกระวายใจเพื่อให้ชวีเสี่ยวปอคิดเื่นี้จนกระจ่างแจ้ง แล้วค่อยมาให้คำตอบกับเขา
เขาต้องเก็บซ่อนความหงุดหงิดและความอดรนทนไม่ได้ของเขาเอาไว้เมื่ออยู่ต่อหน้าชวีเสี่ยวปอ แล้วบอกกับตัวเองว่า ให้เวลาตัวเอง และให้เวลาชวีเสี่ยวปอด้วย
เพราะเวลาจะเป็เครื่องพิสูจน์ทุกอย่าง
เซี่ยเจิงถอดหายใจออกมา หลังจากอาบน้ำเสร็จเขายังคงยืนใจลอยในห้องน้ำอยู่พักใหญ่ถึงเพิ่งจะเดินออกมา
ทันทีที่เดินมาถึงหน้าประตูเขาก็ได้ยินเสียงชวีเสี่ยวปอกำลังคุยโทรศัพท์อยู่
“ครับครับ ใช่ วางใจได้เลย ไม่เป็ไรๆ พวกเราอยู่ด้วยกัน ใช่ครับดื่มไปนิดหน่อยตอนนี้หลับไปแล้วครับ ได้ครับ สวัสดีครับคุณป้า”
“แม่ของซือจวิ้นเหรอ? ” จากคำพูดที่เชื่อมต่อกันนี้ทำให้คาดเดาได้ไม่ยากว่าใครเป็คนโทรศัพท์มา เซี่ยเจิงนั่งขัดสมาธิลงบนเตียง ทิ้งไว้เพียงด้านหลังให้ชวีเสี่ยวปอ
“ใช่” ชวีเสี่ยวปอเอี้ยวตัวไปด้านหน้าเพื่อที่จะวางโทรศัพท์มือถือลงไปบนตู้ที่อยู่ข้างหัวเตียง แต่แขนของเขากลับยาวไม่พอ เซี่ยเจิงหยิบมาแล้ววางลงไปให้เขา
“นี่ ถ้าฉันอยู่กับนายนานกว่านี้อีกหน่อยนะ ฉันรู้สึกว่าแขนขาของฉันมันต้องเสื่อมแน่ๆ เลย” ชวีเสี่ยวปอยืดตัวลงไปบนหมอนอย่างผ่อนคลาย
“หมายความว่าไง” เซี่ยเจิงหันกลับไปมองเขา
“ไม่มีใครที่ดูแลใส่ใจได้ดีเท่านายแล้ว” ชวีเสี่ยวปอทำท่ากดลงไปที่ลำคอพร้อมทั้งเปลี่ยนเป็น้ำเสียงที่ฟังดูแล้วเลี่ยนสุดๆ หลังจากพูดจบเขาก็รู้สึกสะอิดสะเอียนกับตัวเองขึ้นมาทันที “อุ๊บแหวะ ฉันพูดออกมาได้ยังไงเนี่ย !”
“นี่นาย...” เซี่ยเจิงรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “สร่างเมาแล้วใช่ไหม”
“ที่จริงก็ไม่ได้เมาอะไรขนาดนั้น” ชวีเสี่ยวปอดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดใบหน้าของตัวเองเอาไว้ครึ่งหนึ่ง เหลือไว้เพียงแค่ดวงตาที่กะพริบขึ้นลงอยู่ด้านนอก
“นี่ยังไม่ได้เรียกเมาขนาดนั้นอีกเหรอ? ” เซี่ยเจิงทำเสียงจิ๊ปากออกมาอยู่หลายครั้ง ทั้งยังยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้น “พูดไปพูดมาอ้วกเสร็จก็จะไม่ยอมรับงั้นเหรอ ฉันเปลืองแรงเก็บกวาดให้นายจริงๆ เลย”
“ให้ตายสิ” ชวีเสี่ยวปอทุบกำปั้นลงไปบนเตียงทีหนึ่ง ไม่พอใจกับความปากร้ายของเซี่ยเจิงเป็อย่างมาก “ขอบคุณนายได้ไหมล่ะ? ”
“ได้” เซี่ยเจิงรู้สึกได้ถึงความสั่นะเืบนเตียง อยากจะพูดต่อและกลับพูดไม่ออก จากนั้นเขาก็จามออกมาติดต่อกันหลายครั้ง
ในขณะนั้นชวีเสี่ยวปอจึงคว้าผ้าห่มดึงมาห่มไว้บนขาของเซี่ยเจิง “นายเป็หวัดแล้วหรือเปล่า? วันนี้ใส่เสื้อเปียกๆ อวดเก่งอยู่ได้ตั้งนาน”
“ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น” เซี่ยเจิงขยับตัวเข้าไปใต้ผ้าห่ม พร้อมทั้งสูดจมูก รู้สึกเหมือนว่าจะคัดจมูกขึ้นมาแล้วจริงๆ
“ถ้านายเป็หวัด งั้นฉันก็มีความผิดมหันต์เลยน่ะสิ” ชวีเสี่ยวปอพูด
“อืม” เซี่ยเจิงที่กำลังนอนอยู่บนเตียงถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยความอ่อนนุ่ม เขาหลับตาลง แต่กลับยังไม่อยากนอน อันที่จริงเมื่อเย็นเขาดื่มหนักที่สุด ทว่าคิดไม่ถึงว่าคนที่รู้สึกตัวดีที่สุดก็กลับเป็เขาเช่นกัน “ถ้างั้นนายก็ต้องคอยปรนนิบัติเก็บฉี่เก็บอึให้ฉันด้วย”
“ไม่มีทาง นายฝันไปเถอะ แค่เป็หวัดนายจะนอนติดเตียงไม่ลุกขึ้นมาเลยหรือไง” ชวีเสี่ยวปอหยิกแขนของเซี่ยเจิงผ่านผ้าห่มไปทีหนึ่ง แต่ก็เหมือนกับว่าหยิกไม่โดนสักเท่าไหร่
“ฉันเข้าใจ” เซี่ยเจิงยกริมฝีปากขึ้น “ถึงยังไงติดเตียงก็ไร้ซึ่งลูกกตัญญูคอยดูแล [1] ”
สำหรับเื่ตลกขบขันเกี่ยวกับจริยธรรมเช่นนี้ชวีเสี่ยวปอยังพอฟังเข้าใจอยู่ ดังนั้นเขาจึงพลิกตัวลุกขึ้นมาแล้วทับลงไปบนตัวของเซี่ยเจิง พร้อมทั้งยืนมือจิ้มลงไปบนจุดจั๊กจี้ที่อยู่ตรงบริเวณเนื้อกระดูกซี่โครง “บ้านนายสิ ฉันเป็พ่อนาย !”
“หยุด หยุด หยุด——”
มันกลับไม่ใช่การที่รู้สึกจั๊กจี้ เพราะถึงอย่างไรชวีเสี่ยวปอก็เป็คนที่หนักหกสิบเจ็ดสิบกว่าโล แล้วการที่จู่ๆ ก็กระโจนขึ้นมาบนตัวเขาอย่างกะทันหันเช่นนี้ เซี่ยเจิงจึงรู้สึกรับน้ำหนักเขาไม่ค่อยจะไหวสักเท่าไหร่ ซึ่งในตอนนี้ชวีเสี่ยวปอก็กำลังนั่งคร่อมอยู่บนตัวของเซี่ยเจิง จนทำให้เซี่ยเจิงรู้สึกปวดต้นขาขึ้นมาแล้ว
“นายพูดมาก่อน ใครเป็พ่อใครกันแน่” ชวีเสี่ยวปอท่าทีจริงจัง เขาแหย่นิ้วจิ้มเข้าไปที่เอวของเซี่ยเจิงอย่างนึกสนุกสองครั้ง “พูดมา”
“เหมือนกันนั่นแหละ” เซี่ยเจิงหรี่ตาลง
“พ่อหนุ่ม ปากแข็งนักนะ” ชวีเสี่ยวปอเตรียมที่จะลงมืออีกครั้ง
“ปากฉันแข็งหรือไม่แข็งนายไม่รู้หรือไง? ” เซี่ยเจิงยิ้มขึ้นมาอย่างร้ายกาจ
“ให้ตายเถอะ นาย...” ชวีเสี่ยวปออึ้งไป จากนั้นจึงยืนมือไปตีเข้าที่ต้นขาของเซี่ยเจิงหนึ่งที “นายนี่มันหน้าไม่อายเลยจริงๆ”
เซี่ยเจิงขมวดคิ้ว “ฉันแนะนำให้นายลงมาก่อน”
“แล้วถ้าฉันบอกว่าไม่ล่ะ” ชวีเสี่ยวปอเอียงศีรษะ “หรือไม่งั้นนายก็ขอร้องฉันมาสิ แล้วฉันจะคิดดู...”
เดี๋ยวก่อนนะ
ชวีเสี่ยวปอมองต่ำลงไปด้านล่างแล้วสูดหายใจลึก จากนั้นจึงรีบเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองดวงตาของเซี่ยเจิงทันที
ต้นขาด้านในของเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ากำลังมีอะไรบางอย่างดุนออกมาอยู่ตรงนั้น
เพียงแค่ไม่ได้โง่เขลา เพียงแค่เป็ผู้ชายธรรมดาทั่วไป ล้วนต้องรู้ว่ามันเป็เพราะอะไร
“นายจะยังคิดดูอยู่อีกหน่อยไหม?” เซี่ยเจิงถามออกมาโดยเน้นทุกคำพูด
.............................
เชิงอรรถ
[1] นอนป่วยติดเตียงก็ไร้ซึ่งลูกกตัญญูคอยดูแล เป็นิทานจริยธรรมเกี่ยวกับความกตัญญูที่มีความตลกขบขันแฝงเอาไว้ด้วย เนื้อเื่โดยย่อคือมีพ่อ/แม่ป่วยหนักจนต้องนอนติดเตียงเป็เวลานาน ต่อให้ลูกจะกตัญญูจะดีมากแค่ไหนก็ไม่สามารถมาดูแลปรนนิบัติได้ตลอดเวลา เมื่อเวลาผ่านไปนานเนื่องจากต้องไปทำงานหาเงิน จึงทำให้แม้แต่เงาก็ไม่เห็นมาดูดำดูดีอีกเลย