“เ้าไปนอนก่อนเถอะ ข้าจะอยู่เป็เพื่อนท่านพ่อท่านแม่เอง” เสิ่นเยี่ยนหันมาบอกกู้เจิง
“ข้าก็จะอยู่เป็เพื่อนท่านแม่ด้วยเ้าค่ะ หลังจากท่านแม่ไข้ลดแล้วข้าค่อยไปนอน” แม่สามีปฏิบัติต่อนางราวกับเป็บุตรสาวแท้ๆ กู้เจิงคิดว่าการที่ว่าคนเราดีต่อกัน ควรจะอยู่ข้างกายกันก็ในยามที่้าคนดูแลแบบในตอนนี้แหละ
“พวกเ้าไปนอนเถอะ แค่เป็ไข้เอง ข้าดูแลได้” ความเป็ห่วงของลูกชายและลูกสะใภ้ทำเอานายท่านเสิ่นพอใจ แต่เป็ไข้ก็ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร ไม่จำเป็ต้องให้คนมาดูแลมากขนาดนี้ “พวกเ้าไม่ต้องเป็ห่วง ถ้ามีอะไรจริงๆ ข้าค่อยไปเรียกพวกเ้าแล้วกัน”
กู้เจิงกับเสิ่นเยี่ยนถูกนายท่านเสิ่นดันออกนอกห้อง ทำให้พวกเขามีแต่ต้องกลับห้องไปก่อน
อีกหนึ่งชั่วยามจะเป็เวลาไปทำงานของเสิ่นเยี่ยน ในเวลานี้ เขาต้องตื่นนอนแล้ว ดังนั้นเสิ่นเยี่ยนจึงอ่านหนังสือเสียเลย ส่วนกู้เจิงนางก็นอนไม่หลับแล้ว
“ข้าจะไปอ่านหนังสือที่ห้องหนังสือแล้วกัน ดับไฟแล้วเ้าก็หลับให้สบายเถอะ” เสิ่นเยี่ยนคิดว่าเป็เพราะแสงสว่างทำให้กู้เจิงนอนไม่หลับ
“ห้องหนังสือหนาวขนาดนั้น ท่านอ่านหนังสือที่นี่เถอะเ้าค่ะ” กู้เจิงลุกขึ้นมาสวมเสื้อนอกแล้วนั่งลงข้างๆ เขา “เมื่อท่านออกไปทำงาน ไข้ของท่านแม่ก็น่าจะลดลงแล้ว ข้าจะต้มโจ๊กให้ท่านแม่กินเ้าค่ะ”
“ลำบากเ้าแล้ว ไปนอนเถอะ ข้าจะต้มโจ๊กเอง แล้วค่อยมาเรียกเ้าทีหลัง” เสิ่นเยี่ยนเห็นภรรยาหน้าตาอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านพี่ช่างดีจริงๆ” กู้เจิงเอนหน้าพิงแขนของเขา
ในตอนที่เขาจะพลิกอ่านหนังสือหน้าถัดไป ก็พบว่าภรรยากำลังหลับโดยซบหน้ากับแขนของเขา เขาจึงวางหนังสือลง นั่งมองใบหน้าขาวเนียนของภรรยาที่แสงเทียนสาดส่อง เขาอุ้มนางขึ้นมาวางบนเตียงแล้วห่มผ้าห่มให้นาง
ขณะที่กู้เจิงเข้าสู่ห้วงแห่งการหลับใหลอยู่นั้น นางก็ได้ยินเสียงเสิ่นเยี่ยนเรียกนาง พอลืมตาขึ้นมาก็เพิ่งรู้ว่านางเผลอหลับไปั้แ่เมื่อไหร่ไม่รู้
“โจ๊กต้มเสร็จแล้ว ข้าต้องไปทำงานก่อน ท่านพ่อไม่ได้ออกจากห้องมาแจ้งข่าวอะไรเพิ่ม ท่านแม่คงจะไม่เป็ไรแล้วล่ะ” เสิ่นเยี่ยนเห็นภรรยาตื่นแล้ว จึงเริ่มแต่งตัว “อาหารเช้าขอส่งต่อให้เ้ากับชุนหงแล้วกัน”
กู้เจิงง่วงงุน ยากนักที่นางจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับตอนที่สามีไปทำงาน นางลุกขึ้นมาแต่งตัวหวีผมอย่างสุขใจ
“หนาวจัง” เมื่อเปิดประตูออกมา ไอหนาวก็ลอยมาปะทะหน้า ท้องฟ้าสีเทามืดครึ้มเพิ่งจะเริ่มมีแสงสว่างจางๆ แม้แต่ไก่ยังก็ไม่เริ่มส่งเสียงร้อง ทว่าเสิ่นเยี่ยนกลับตื่นในเวลานี้ไปทำงานทุกวัน
ในห้องของสองสามีภรรยาเสิ่นมีแสงเทียนอ่อนๆ แต่เงียบมาก
กู้เจิงกำลังส่งสามีไปทำงาน
“ท่านพี่”
เสิ่นเยี่ยนหันไปมองนาง คิดว่าภรรยามีอะไรจะบอก ไม่คิดว่าจู่ๆ ภรรยาจะเข้ามากอดเขาไว้ และเงยหน้ายิ้มหวานให้ก่อนจะปล่อยเขา “เลิกงานแล้วรีบกลับมาเร็วๆ นะเ้าคะ”
“ได้สิ” เสิ่นเยี่ยนรู้สึกตัวเองอารมณ์ดีขึ้นมา
เดิมทีกู้เจิงคิดจะจูบแก้มเขาสักหน่อย แต่นางคิดว่าหากถูกใครมาพบเห็นเข้าคงน่าอายมาก นางยืนส่งเสิ่นเยี่ยนจนเขาเดินหายลับไปในความมืด นางจึงปิดประตูบ้านแล้วเดินเข้าไปในห้องครัว
ภายในครัวอบอวลด้วยกลิ่นหอมของโจ๊ก พอเปิดหม้อดูจึงได้เห็นว่าโจ๊กนั้นถูกต้มจนข้นเหนียวกำลังน่ากิน
“คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะต้มโจ๊กได้ดีขนาดนี้” กู้เจิงปิดฝาลง นางเทน้ำลงในหม้อเหล็กแล้วเริ่มต้มน้ำ
นางจุดไฟและเอาฟืนยัดใส่เตา หลังจากไฟลุกโชน กู้เจิงถึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางยื่นสองมือออกไปอังเพื่อรับไออุ่น
ไม่นานก็มีเสียงดังแว่วมาจากในห้องของสองสามีภรรยาเสิ่น เมื่อประตูเปิดออกก็เห็นนายท่านเสิ่นสวมเสื้อนอกออกมา พอเขาเห็นลูกสะใภ้จึงเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า “อาเจิงทำไมถึงตื่นแต่เช้าขนาดนี้”
“ข้าตื่นมาทำอาหารเช้าให้ทุกคนเ้าค่ะ ท่านพ่อ ท่านแม่ดีขึ้นบ้างไหมเ้าคะ?” กู้เจิงถามอย่างเป็ห่วง
“เมื่อคืนหลังจากดื่มยาเข้าไปไข้ก็ลดลง เ้าวางใจเถอะไม่เป็อะไรหรอก” นายท่านเสิ่นตอบ
“ท่านแม่ตื่นหรือยังเ้าคะ? ก่อนท่านพี่จะไปทำงานได้ต้มโจ๊กไว้ให้ท่านแม่ด้วย ข้าจะยกมาให้เ้าค่ะ”
“ข้าทำเองก็ได้ ป่วยเล็กๆ น้อยๆ ไหนเลยจะต้องลำบากพวกเ้าด้วย” นายท่านเสิ่นเดินไปตักโจ๊กเอง
กู้เจิงเดินตามพ่อสามีไปที่ห้องนอน แต่นางไม่ได้เข้าไป นางยืนอยู่หน้าประตูมองแม่สามีที่ยันครึ่งตัวลุกขึ้นมาด้วยสีหน้าซีดเผือด
“ข้าไม่เป็ไรแล้ว ไม่ต้องเป็ห่วง” นายหญิงเสิ่นยิ้มให้กู้เจิง “ไปนอนต่อเถอะ ฟ้ายังไม่สางเลย”
“ข้าไม่ง่วงแล้วเ้าค่ะ ท่านแม่กินโจ๊กเสร็จก็พักผ่อนให้เต็มที่นะเ้าคะ มีอะไรก็เรียกข้าได้” เมื่อเห็นว่าแม่สามีไม่ได้เป็อะไรจริงๆ กู้เจิงจึงออกมา
ตอนชุนหงตื่นขึ้นมาเห็นคุณหนูไม่เพียงแต่ต้มน้ำไว้เรียบร้อย แม้แต่แป้งก็ยังนวดเสร็จแล้ว นางถามอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “คุณหนู ท่านทำสิ่งเหล่านี้เองหรือเ้าคะ?”
“ไม่ใช่ข้าทำ แล้วใครจะทำเล่า?” กู้เจิงตอบอย่างลำพอง
ชุนหงหัวเราะคิกคัก ก่อนจะไปเอาผักที่สวนมาล้างแล้วมาทำอาหารเช้าด้วยกันต่อ
นายหญิงเสิ่นกินโจ๊กแล้วก็หลับไป จนกระทั่งเที่ยงวันจึงออกจากห้องมานั่งรับแดดในลานบ้าน
“นอกจากตอนที่เ้าไข้ขึ้นสูงในครั้งที่คลอดอาเยี่ยนแล้ว นี่เป็ครั้งที่สองที่เ้าไข้ขึ้น ทำเอาข้าตกอกใแทบตายเหมือนกัน” นายท่านเสิ่นมองภรรยาอย่างปวดใจ เขาเทน้ำร้อนให้นางแก้วหนึ่ง
“ท่านพี่ก็ใมากเช่นกันเ้าค่ะ” กู้เจิงเอ่ย
“บ่าวก็ใมากตอนที่ถูกคุณหนูเรียกขึ้นมาต้มยากลางดึกเ้าค่ะ” ชุนหงกล่าวขึ้นบ้าง
“ข้าทำให้ทุกคนต้องเป็ห่วงแล้วสินะ” นายหญิงเสิ่นรู้สึกผิดเล็กน้อย “ตอนนี้ข้าไม่เป็ไรแล้ว”
“เ้าน่ะ ถ้ามีเื่ต้องกังวลก็บอกข้าสิ ข้าจะจัดการเอง” นายท่านเสิ่นนึกถึงคำพูดของหมอ จึงพูดกับภรรยาว่า “มีอะไรก็พูดออกมา อย่าเก็บเอาไว้ในใจเด็ดขาด”
“เ้าค่ะ” นายหญิงเสิ่นพยักหน้ารับ นางไม่อยากให้สามีเป็ห่วง มีอะไรก็ตอบรับไว้ก่อน ที่จริงแล้วล้วนเป็เื่เก่าๆ ทั้งสิ้น นางเองก็คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ จะเป็ไข้ขึ้นมา นางสะลึมสะลือคิดว่าได้ย้อนเวลากลับไปใช้ชีวิตอันน่าหวาดกลัวในอดีตและเด็กหนุ่มคนนั้นที่ทำให้นางหลีกหนีไปไม่พ้นราวกับจะกลืนกินนางทั้งเป็
“น้องสี่” เสียงของป้าใหญ่ดังมาจากด้านนอก เ้าตัวเดินเข้ามาแล้วพร้อมกับม้วนแขนเสื้อขึ้น
“พี่สะใภ้ใหญ่?”
กู้เจิงกับชุนหงทักทายแล้วยกเก้าอี้มาให้นาง
“เมื่อเช้าคนเฒ่าคนแก่ในตรอกมาซื้อไก่แล้วบอกข้าว่าเมื่อคืนเ้าเป็ไข้?” ป้าใหญ่ถามอย่างเป็ห่วง “ไม่เป็ไรมากใช่ไหม?”
“ไม่เป็ไรแล้ว ขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่ที่เป็ห่วงเ้าค่ะ” นายหญิงเสิ่นให้กู้เจิงรินชาให้ป้าใหญ่
“ไม่ต้องรินชาหรอก ข้าแค่แวะมาดู ไม่เป็ไรก็ดีแล้ว ในร้านยังยุ่งๆ อยู่” ป้าใหญ่ตั้งใจมาเยี่ยมเยียน พอเห็นน้องสะใภ้สี่ไม่เป็อะไรจึงรีบขอตัวกลับ
กู้เจิงออกมาส่งท่านป้าใหญ่กลับ ตอนที่เดินมาถึงหน้าประตู ป้าใหญ่ได้พูดกับนางว่า “อาเจิง แม่สามีของเ้าไม่มีครอบครัว พอเวลาไม่สบายก็จะไม่มีใครมาเยี่ยมนาง เวลาเช่นนี้เ้าจะเหนื่อยหน่อย ดูแลแม่สามีของเ้าให้ดี มีอะไรก็มาหาข้ากับลุงใหญ่ได้”
“ท่านแม่ไม่มีครอบครัวหรือเ้าคะ?” กู้เจิงคิดๆ ดูแล้ว ก็ไม่เคยเห็นครอบครัวของแม่สามีมาก่อนจริงๆ ตอนตรุษจีนก็ไม่เห็นใครมาเยี่ยมสักคน นางเอาแต่เล่นสนุกจนมองข้ามเื่นี้ไป
“น้องสี่บอกให้พวกเราไม่ต้องพูดถึงเื่นี้ ดังนั้นพวกเราเลยไม่ได้พูดถึงอีก ครอบครัวของนางอยู่ที่ชายแดนไกลจากที่นี่มาก มาดูแลนางไม่ทันหรอก” ป้าใหญ่บอก
“ท่านแม่ไม่ใช่คนที่นี่หรือเ้าคะ?” ฟังสำเนียงของแม่สามี กู้เจิงยังนึกว่าเป็คนในเมืองหลวง
“ข้าได้ยินมาว่านางอยู่กับครอบครัวได้สิบกว่าปีก็ไปใช้ชีวิตอยู่ที่ชายแดน”
กู้เจิงพยักหน้ารับรู้ แม่สามีอาศัยอยู่ที่ชายแดน แม่ทัพเซี่ยก็อาศัยอยู่ที่ชายแดน หรือว่าจะ... ถุยๆๆ คิดเหลวไหลอะไรกัน
ตอนบ่าย เสิ่นเยี่ยนกลับมาเร็วมาก นายหญิงเสิ่นพักผ่อนมาทั้งวัน ร่างกายจึงดีขึ้นมาก ถึงอย่างไรอายุปูนนี้แล้ว พอป่วยขึ้นมาก็ต้องพักผ่อนอีกสักสองวันถึงจะกลับมาเป็ดังเดิม ดังนั้นการทำอาหารจึงตกอยู่กับกู้เจิงและชุนหง
กู้เจิงไม่ได้ทำอาหารมากมายอะไร อาหารที่นางทำล้วนแต่เป็อาหารที่แม่สามีเคยทำให้กิน และนางคิดว่าอร่อยที่สุด
“อาเจิงฝีมือการทำอาหารของเ้าไม่เลวเลย” นายท่านเสิ่นชมไม่หยุด “ท่านแม่ของเ้ากินข้าวได้ถึงสองชามนับว่าหาได้ยาก”
“ใช่ อร่อยมากจริงๆ” นายหญิงเสิ่นก็ชมเช่นกัน ถึงอย่างไรก็เป็ครั้งแรกที่ลูกสะใภ้ลงมือทำอาหารด้วยตัวเองจริงๆ
กู้เจิงมองไปทางสามี เห็นเขาพยักหน้าเห็นด้วยก็ปลื้มใจ
“นี่เป็ครั้งแรกที่คุณหนูลงมือทำอาหาร บ่าวต้องกินสักสามชามใหญ่เ้าค่ะ” ชุนหงพูดพลางไปตักข้าวอีกชาม
ขณะที่ทั้งครอบครัวกำลังพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ก็มีคนจากในตระกูลเสิ่นเข้ามา
นายท่านเสิ่นเอ่ยชวนเขามาร่วมทานอาหารด้วยรอยยิ้ม
“ข้าเพิ่งจะกินมา ข้าจะมาแจ้งข่าวกับพวกท่าน มารดาของสวี่เจาแขวนคอตายแล้ว หลายวันก่อนที่นางคลอดบุตรก็เป็พวกท่านช่วยไว้ สวี่เจาเลี้ยงวัวให้พวกท่านมาหลายปี พวกท่านอยากไปเคารพศพด้วยกันหรือไม่?” เขารีบแจ้งจุดประสงค์ที่มา
ภายในห้องเงียบสงัดไปชั่วขณะ ทุกคนได้ทราบข่าวอันน่าใโดยไม่คาดคิด
“อยู่ดีๆ ทำไมถึงได้แขวนคอตายล่ะ?” นายท่านเสิ่นถามขึ้น กว่าพวกเขาจะรักษาชีวิตมารดาของสวี่เจาไว้ได้ก็ช่างยากเย็นแสนเข็ญ
คนที่มาแจ้งข่าวถอนหายใจ “ได้ยินมาว่านางถูกยายเฒ่าสวี่บีบคั้นให้ตาย น่าสงสารสวี่เจา อายุยังน้อยก็ไม่มีแม่เสียแล้ว”
“คุณหนู?” ชุนหงมองคุณหนูใหญ่ด้วยดวงตาแดงก่ำ
กู้เจิงเองก็รู้สึกทุกข์ใจ นางนึกถึงน้องชายที่คลอดออกมาก็ตายของสวี่เจา นึกถึงยายเฒ่าสวี่ที่ร้ายกาจคนนั้น มารดาของสวี่เจาน่าสงสารมาก และสามีผู้ไร้ประโยชน์อันใดคนนั้นของนางอีก
ร่างกายของนายหญิงเสิ่นยังไม่หายดี นางจึงไม่ได้ไปที่บ้านตระกูลสวี่กับคนอื่นๆ กู้เจิงก็ไม่อยากไป คนประเภทนั้นเมื่อเห็นก็ทำคนหายใจไม่โล่งแล้ว บ้านตระกูลเสิ่นของพวกนางจึงมีแต่นายท่านเสิ่นกับเสิ่นเยี่ยยนที่ไปร่วมงาน
หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ กู้เจิงก็พยุงแม่สามีเข้าไปในห้องเพื่อพักผ่อน ตอนออกมาถึงเห็นว่าชุนหงกำลังเช็ดน้ำตาอยู่
“หยุดร้องไห้ได้แล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะจัดการได้” ตอนนั้นใช้เงินเชิญหมอมาทำคลอดให้มารดาของสวี่เจา และซื้อยาบำรุงไปมากมาย “ตอนนั้นพวกเราได้ช่วยอย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว แต่พวกเราช่วยพวกเขาไปทั้งชีวิตไม่ได้หรอกนะ”
“บ่าวทราบเ้าค่ะ” ชุนหงพยักหน้าเข้าใจ “บ่าวแค่เสียใจแทนสวี่เจา” เมื่อก่อนในทุกวันที่สวี่เจามาเอาวัวไปเลี้ยง เขาจะเรียกนางว่าพี่สาว ทั้งสองคนสนิทกันมาก