ฮูหยินจงตกอยู่ในอาการหวาดผวาหลังจากผ่านฉากความเป็ความตายเมื่อสักครู่
ฉะนั้น หลินเมิ้งหยาที่อยากรู้เหตุการณ์จึงต้องปลอบโยนนางก่อนเป็อันดับแรก
มองใบหน้างดงามของชายาอวี้ อีกทั้งรอยยิ้มอ่อนโยนไร้ซึ่งเจตนาร้ายฮูหยินจงละล่ำละลักเล่าให้เหตุการณ์เมื่อครู่ให้ฟัง
“ตอนแรกหม่อมฉันกับท่านพี่นั่งคุยเื่เรื่อยเปื่อยกันอยู่ข้างในรถม้าอยู่ ๆ ท่านพี่ก็เบิกตากว้าง ต่อมาข้าได้เห็นเืสีแดงสดพวยพุ่งออกจากคอของเขาสุดท้ายเหตุการณ์ก็เป็ไปอย่างที่พวกท่านได้เห็น”
เหตุการณ์ในครั้งนี้ประหลาดนัก
มิเช่นนั้น ฮูหยินจงคงมิมีท่าทางตื่นกลัวจนตัวสั่นเช่นนี้
หลินเมิ้งหยาลูบบ่าของนางด้วยความอ่อนโยนก่อนจะรับผ้าห่มจากสาวใช้ของฮูหยินจงมาโอบรอบกายของนางไว้
“พวกเ้ายังมีรถม้าอีกหรือไม่? สั่งให้รถม้าอีกคันมารับฮูหยินจงไปนั่งที่นั่น”
ฮูหยินจงตกอยู่ในอาการหวาดผวา หลินเมิ้งหยาออกคำสั่งเสร็จรถม้าคันหนึ่งวิ่งเข้ามาหยุดลง
แม้จะไม่กว้างเท่ารถม้าคันนี้ แต่กระนั้นก็มิได้น่าเกลียดนัก
“คอยปรนนิบัติรับใช้ฮูหยินของพวกเ้าให้ดี ส่วนศพของใต้เท้ารอกลับถึงเมืองหลวงก่อนค่อยทำตามประเพณี”
สาวใช้ของสกุลจงรีบพยักหน้าลงเป็การตอบรับ การที่ชายาอวี้ปรากฏตัวเพื่อช่วยเหลือจัดการเช่นนี้ทำให้พวกนางวางใจมากขึ้น
“เอาล่ะ พวกเราไปกันเถอะ”
ป๋ายซูพยุงร่างหลินเมิ้งหยาลงจากรถม้าของสกุลจงเหลือบมองศพของใต้เท้าจงเล็กน้อย สุดท้ายนางแอบส่ายหน้าในความมืด
กลับมายังรถม้าของตนเอง สาวใช้อีกสามคนรีบวิ่งเข้ามาห้อมล้อม
“นายหญิง ตกลงเกิดเื่อันใดขึ้นกับใต้เท้าจงหรือเ้าคะ?”
ป๋ายจื่อหดคอเอ่ยถาม การถูกบั่นคอจนขาดสะบั้นเช่นนี้เป็เื่ที่น่ากลัวยิ่งนัก
“ป๋ายซู เ้ามาดูนี่หน่อยว่ามันคือสิ่งใด?”
หลินเมิ้งหยามิได้ตอบคำถามของป๋ายจื่อ กลับกันนางคลายกำปั้นที่มือขวาออก
ภายในมีเส้นไหมบางๆ จนแทบจะมองไม่เห็นวางอยู่
“นี่มัน...ไหมหิมะที่มีความเหนียวหนืดมากเป็พิเศษราคาสูงดั่งทองเ้าค่ะ”
ป๋ายซูจับเส้นไหมในมือของหลินเมิ้งหยาขึ้นมาไหมหิมะมีความอ่อนนุ่มจนแทบจะไม่รู้สึกเลยว่ากำลังััมันอยู่
“เหนียวหนืด? หากขึงให้แน่นมันจะสามารถบั่นคอคนได้หรือไม่?”
อยู่ๆ หลินเมิ้งหยานึกถึงข่าวที่เคยเห็นในโลกปัจจุบันขึ้นมาได้
มีคนขี่จักรยานโดยไม่ระวังแล้วไปชนเข้ากับเบ็ดตกปลาที่ถูกขึงตึงอยู่ศีรษะของคนคนนั้นขาดสะบั้น”
หรือใต้เท้าจงจะตายเพราะวิธีนี้?
“เป็ไปได้เ้าค่ะ แต่คนร้ายจะต้องมีความสามารถมากเป็พิเศษทว่าในรถม้ามีเพียงใต้เท้าจงและฮูหยินจงเท่านั้น หรือว่านายหญิงกำลังสงสัย...”
ป๋ายซูเหลือกตาโตหรือคนที่น่าสงสัยที่สุดจะเป็ผู้หญิงรูปร่างอ่อนแอบอบบางคนนั้น
“ไม่ใช่นางหรอกคนผู้นั้นจะต้องใช้วิธีที่พวกเราคิดไม่ถึงอย่างแน่นอน เมื่อกลับไปยังจวนแล้วพวกเราจะต้องตรวจสอบเื่นี้ให้ละเอียด ข้าคิดว่าเื่นี้จะต้องเกี่ยวข้องกับเถาฮวาอู๋อย่างแน่นอน”
เหตุการณ์ทั้งหมดเสมือนถูกวางแผนเอาไว้แล้ว
สายตาทอดยาวไปทางเขาหลิงจู หัวใจของนางมิอาจคลายความกังวลไปได้
ชิงหูเคยบอกว่านักฆ่าแห่งเถาฮวาอู๋ทุกคนสามารถพรางตาได้
หากมีคนแปลกหน้าแฝงตัวเข้ามาท่ามกลางสถานการณ์วุ่นวายเช่นนี้ก็คงมิมีใครรู้ได้
“ป๋ายจี จงออกคำสั่งกับทหารองครักษ์ นับั้แ่ตอนนี้เป็ต้นไปห้ามมิให้คนที่ไม่รู้จักเข้าใกล้รถม้าของพวกเราหากมีเื่อันใดให้แจ้งผ่านองครักษ์ หากมีทหารองครักษ์ที่ไม่คุ้นหน้าโผล่มาจงถามตัวตนของเขาออกมาให้ชัดเจน อีกทั้งยังต้องมีคนของพวกเราเป็พยานด้วย”
เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์คับขันคงทำได้เพียงใช้กฎระเบียบที่เข้มงวดเท่านั้น
ขอเพียงพวกนางสามารถกลับไปยังเมืองหลวงอย่างปลอดภัยได้ก็พอ
ป๋ายจีออกไปส่งสาร ไม่นานก็กลับเข้ามาภายใน
ทว่า คิ้วของนางขมวดเข้าหากันแน่นแววตาเผยให้เห็นร่องรอยของความหวาดกลัว
“คนข้างนอกพูดกันว่านอกจากใต้เท้าจงแล้วยังมีใต้เท้าอีกหลายคนถูกฆ่าเ้าค่ะ”
“อะไรนะ?”
เหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้? หลินเมิ้งหยาตกตะลึง
แย่แล้ว นางเพิ่งรู้สึกตัว
อันที่จริง พวกองครักษ์ที่คุ้มกันรอบรถม้าล้วนเป็คนที่แฝงตัวมา
พวกเขาใช้แผนการล่อเสือออกจากถ้ำเพื่อดึงดูดทหารหลวงและองครักษ์ออกไปจากนั้นพวกเขาจึงเริ่มแผนสังหารเป้าหมายของตนเอง
“ตั้งสติให้ดี อย่าได้หลงกลอีกฝ่ายเป็อันขาด”
หลินเมิ้งหยาเข้าไปอยู่รวมกับสาวใช้ทั้งสี่ตอนนี้คนที่นางเชื่อใจได้มีเพียงสาวใช้เหล่านี้เท่านั้น
ทุกคนกลับไปยังเมืองหลวงด้วยความรู้สึกหวาดผวา
ระหว่างทางเสียงร้องไห้คร่ำครวญของผู้ที่สูญเสียผู้นำตระกูลไปดังระงม
หลินเมิ้งหยามองดูคนเ่าั้ด้วยความสงสาร
ตอนนี้ยังมิใช่เวลาที่จะเข้าไปแสดงความเสียอกเสียใจ
การตายของพวกเขาจะต้องมิใช่เกิดจากน้ำมือของคนคนเดียวอย่างแน่นอน
บางที นักฆ่าปริศนาเ่าั้อาจจะกำลังจับตามองดูหลินเมิ้งหยาอยู่หากนางออกจากรถม้าเมื่อไหร่ ชีวิตของนางคงจบสิ้น
“นายหญิง คนพวกนั้นตายแล้วจริงๆ หรือเ้าคะ?”
ป๋ายจื่ออยู่เคียงข้างหลินเมิ้งหยามานาน นางจึงได้เห็นการเกิด แก่เจ็บ ตายอยู่เป็นิจ
แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่จะได้เห็นคนถูกฆ่าอย่างโเี้อำมหิตเช่นนี้
หดร่างบอบบางของตนเองเข้าหาอ้อมกอดของหลินเมิ้งหยาเหตุใดโลกภายนอกจึงโหดร้ายถึงเพียงนี้?
“นี่คือสัจธรรมของโลกใบนี้อย่างไรล่ะ ทั้งโหดร้ายและทารุณ”
หลินเมิ้งหยาเอื้อนเอ่ย นอกจากป๋ายซูแล้วสาวใช้อีกสามคนล้วนตื่นตระหนกกับความเป็ตายที่ได้เห็น
ไม่ว่าพวกนางจะมีความสามารถมากสักเพียงไหนแต่สุดท้ายแล้วพวกนางก็มิต่างจากนกที่อยู่ภายใต้ปีกของหลินเมิ้งหยา
พวกนางถูกเลี้ยงดูแต่ภายในสวนหลิวซินแห่งจวนอวี้แต่เพียงเท่านั้น
หลินเมิ้งหยาคิดว่าหากพวกนางยังคิดจะติดตามตนเองต่อไปแล้วล่ะก็พวกนางจำเป็ต้องกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความน่าหวาดกลัวเช่นนี้
“ข้าไม่กลัวตาย สิ่งที่ข้ากลัวคือหากข้าตายไปแล้วจะไม่มีคนดูแลคุณหนูแต่เพียงเท่านั้น”
ป๋ายจื่อที่เปลี่ยนสรรพนามแทนหลินเมิ้งหยาว่านายหญิงเสมอมา
กลับเปลี่ยนคำเรียกขานเป็คุณหนูดั่งเดิมเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของพวกตนเอง
ดวงตาใสซื่อไร้เดียงสาเผยให้เห็นความมุ่งมั่นป๋ายจื่อจ้องหน้าหลินเมิ้งหยานิ่งเพื่อส่งผ่านความจริงใจผ่านทางสายตา
นี่นางมองข้ามความกล้าหาญของป๋ายจื่อไปอย่างนั้นหรือ
หลินเมิ้งหยาลูบไล้ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่ไม่รู้ว่าตนเองควรพูดอะไรออกมา
“ข้าเองก็ไม่กลัว ในเมื่อเข้ามาอยู่ในจวนแล้วตอนนี้ข้าถือเป็คนของนายหญิงเช่นกัน”
ป๋ายจีส่งยิ้มอ่อนโยน ใบหน้าเรียวเล็กเผยให้เห็นความอบอุ่น อยู่ๆหลินเมิ้งหยารู้สึกว่าใบหน้าที่เคยสงบนิ่งเคร่งขรึมของป๋ายจีกลับเผยให้เห็นความรู้สึกต่างๆมากมาย
ป๋ายซ่าวที่เคยมีความกล้าเสมอมา ตอนนี้เริ่มปรับตัวกับความหวาดกลัวได้แล้วในที่สุดนางจึงเผยความในใจออกมา
“กลัวอะไรกัน ก็แค่หัวหลุดจากบ่า มิต่างอะไรกับชามแตกหนึ่งใบหรอกการได้อยู่ข้างกายนายหญิงทำให้ข้ารู้สึกว่าชีวิตของข้ามิได้เปล่าประโยชน์แล้ว”
สาวใช้ทั้งสามสะกดความรู้สึกหวาดกลัวเอาไว้ในหัวใจหลินเมิ้งหยาคิดไม่ถึงเลยว่าพวกนางจะกล้าหาญถึงเพียงนี้
ส่งยิ้มให้สาวใช้ทั้งสาม ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด อยู่ๆหลินเมิ้งหยาก็รู้สึกมีพลังที่จะต่อสู้กับคนเ่าั้แล้ว
“ดี ในเมื่อพวกเ้าไม่กลัวเช่นนั้นพวกเรามาวางแผนจับกุมตัวฆาตกรเ่าั้กันเถิด”
การหดหัวอยู่ในกระดองหาใช่อุปนิสัยของหลินเมิ้งหยาไม่
ความตายของคนเ่าั้ ทั้งอันตรายและน่าหวาดกลัว
บางทีความตายของพวกเขาอาจเป็การบีบคั้นให้ใครบางคนยอมจำนนอยู่ก็เป็ได้
แต่หลินเมิ้งหยามิใช่คนที่จะยอมเชื่อฟังคำสั่งใครง่ายๆ
“นายหญิงจะทำอะไรหรือเ้าคะ?”
ป๋ายจื่อรู้สึกตื่นเต้นแม้แต่ดวงตาของคนเคร่งขรึมอย่างป๋ายซูยังเปล่งประกาย
นางอยู่เคียงข้างหลินเมิ้งหยามาสักระยะหนึ่งแล้วนางมักจะได้เจอเื่ที่ไม่คาดคิดเสมอ
ตอนนี้แม้แต่สาวใช้ที่ไร้ซึ่งวิทยายุทธ์ต่างก็กำลังเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ
นางคิดมาเสมอว่าการได้ติดตามคนเหล่านี้จะทำให้ตนเองได้พบเจอกับความตื่นเต้นมากมาย
“ป๋ายซ่าวและป๋ายจีจงพาองครักษ์ของจวนออกไปแสดงความเสียใจและเอ่ยถามคนเ่าั้ว่าคนที่พบเห็นเป็คนสุดท้ายคือผู้ใดข้ากำลังสงสัยว่าฆาตกรอาจจะกำลังแฝงตัวอยู่ในกลุ่มขององครักษ์เ่าั้พวกเราจะต้องสอบถามเงียบๆ อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น”
ป๋ายซ่าวกับป๋ายจีสบตากัน ก่อนจะส่ายหน้าออกมาอย่างลำบากใจ
“องครักษ์ของเรามีไม่มาก หากพวกข้านำพวกเขาออกไปส่วนหนึ่งเช่นนั้นความปลอดภัยของนายหญิงล่ะเ้าคะ?”
หลินเมิ้งหยากลับหยักยิ้มมีเลศนัย ก่อนจะชี้ไปทางป๋ายซู
“พวกเ้ารู้อยู่แล้วว่านางคือองครักษ์ที่เสี่ยวอวี้มอบให้ข้าแต่คนอื่นๆ ไม่รู้เื่นี้และคิดเพียงว่านางเป็สาวใช้ประจำตัวของข้าเท่านั้น”
คำพูดของหลินเมิ้งหยาทำให้ดวงตาของป๋ายซ่าวและป๋ายจีเบิกกว้าง
ใช่แล้ว สิ่งที่พวกนางมองเห็นเป็เื่ปกติธรรมดามิได้เป็เช่นนั้นในสายตาผู้อื่น
อย่างเช่นชิงหูและป๋ายซู
“เ้าค่ะ พวกเราเข้าใจแล้ว ท่านรอฟังข่าวดีจากพวกเราได้เลยป๋ายซูดูแลนายหญิงด้วย”
ป๋ายซูพยักหน้าลง มือเล็กซ่อนใต้แขนเสื้อ
มีเพียงหลินเมิ้งหยาที่รู้ดีว่าป๋ายซูมีอาวุธติดตัวอยู่สองชิ้น
ชิ้นแรกคือกระบี่อ่อนที่นางคาดเอาไว้บริเวณเอวส่วนอีกชิ้นคือกริชอาบยาพิษใต้แขนเสื้อ
ดังนั้นนางจึงสามารถเดินหน้าเพื่อโจมตีและถอยร่นเพื่อปกป้องได้ในเวลาเดียวกัน
แม้จะอยู่ในรถม้าขนาดเล็กแต่ก็มิใช่ปัญหา
“เ้าเคยต่อกรกับนักฆ่าแห่งเถาฮวาอู๋หรือไม่?”
หลินเมิ้งหยากระซิบถามป๋ายซู อีกฝ่ายครุ่นคิดก่อนจะตอบ
“เคยได้ยินมาว่าเถาฮวาอู๋แบ่งนักฆ่าออกเป็เซียนสี่ระดับระดับสูงสุดคือเทียนจื่อ ระดับต่ำสุดคือหวงจี๋ ถ้ามองจากฝีมือการต่อสู้ของข้าหากต้องเผชิญหน้ากับเซียนระดับเทียนจื่อ เกรงว่าจะต้องทุ่มเทกำลังทั้งหมดที่มี”
ป๋ายซูวิเคราะห์ด้วยความใจเย็น ทำให้หลินเมิ้งหยาเกิดความมั่นใจมากขึ้น
นางเดาได้ว่านักฆ่าที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มองครักษ์จะต้องไม่ใช่ยอดฝีมืออย่างแน่นอน
ตอนที่เดินผ่านเหล่าองครักษ์นางได้ยินเสียงสนทนาที่ว่าใต้เท้าเ่าั้ตายลงด้วยวิธีการที่แตกต่างกันออกไป
ทั้งถูกวางยาตาย ถูกอาวุธโจมตี ทั้งหมดล้วนทำอย่างลับๆ
