ทั้งสองคนมุ่งหน้าสู่สำนักยุทธ์เทียนเสวียน แต่อาจเป็เพราะความสวยของกงซุนหลิงเอ๋อร์ จึงดึงดูดสายตาอิจฉาริษยาของใครหลาย ๆ คนตลอดทาง
“ใต้เท้าหยุดก่อน!” ขณะที่เย่เฟิงและกงซุนหลิงเอ๋อร์มาถึงถนนสายหนึ่ง จู่ ๆ มีเสียงเรียกดังขึ้นจากด้านหลัง พวกเย่เฟิงจึงหยุดฝีเท้าและหันหลังไปมอง ก่อนจะเห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังมองพวกเขาด้วยรอยยิ้ม
“มีธุระอันใด?” เย่เฟิงเอ่ยถาม เขาไม่รู้จักชายวัยกลางคนผู้นี้
“ใต้เท้าคือเย่เฟิงผู้คว้าที่หนึ่งของงานชุมนุมหวงปั่งใช่หรือไม่?” ชายวัยกลางกล่าว เขาสวมอาภรณ์ธรรมดา ดูสะอาดเกลี้ยงเกลา
“ใช่แล้ว” เย่เฟิงตอบกลับเสียงเรียบโดยไม่ปิดบังตัวตนแต่อย่างใด
“ใต้เท้าไปกับข้าจะได้หรือไม่ มีคน้าพบใต้เท้า” ชายวัยกลางคนกล่าว
เย่เฟิงชะงักไปเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าใครกันที่อยากพบเขา และยิ่งไม่รู้ว่าคนผู้นั้นมีจุดประสงค์อะไร แต่เย่เฟิงฝึกทักษะหล่อิญญา มีพลังจิตเหนือกว่าผู้อื่น เพียงอาศัยพลังจิตที่แกร่งกล้า เขาสามารถรู้ได้ว่าชายวัยกลางคนผู้นี้ไม่มีเจตนาร้าย ดังนั้นเขาจึงอยากรู้ว่าใครกันแน่ที่้าพบเขา
“อยู่ที่ใดหรือ รบกวนผู้าุโนำทางที” เย่เฟิงกล่าว
“เชิญตามข้ามา” ชายวัยกลางคนผายมือและคอยเดินนำทาง ส่วนเย่เฟิงและกงซุนหลิงเอ๋อร์ก็เดินตามหลังเขาไป ทั้งสามคนเดินผ่านตรอกซอกซอยน้อยใหญ่ จนในที่สุดก็มาถึงโรงน้ำชาิเซียง
“เชิญใต้เท้า” ชายวัยกลางคนกล่าว จากนั้นเย่เฟิงและกงซุนหลิงเอ๋อร์เดินเข้าไปในโรงน้ำชา สถานที่แห่งนี้ไม่ได้ใหญ่มากนัก บรรยากาศเงียบเชียบ ลูกค้าก็ไม่เยอะ
เมื่อเสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่งเห็นชายวัยกลางคนกลับมาแล้ว ก็รีบปรี่เข้ามาหาทันที “เถ้าแก่ ท่านกลับมาแล้ว”
“อืม” ชายวัยกลางคนพยักหน้า จากนั้นกล่าวกับเสี่ยวเอ้อร์ต่อ
“ปิดโรงน้ำชา แล้วอย่าให้ผู้ใดเข้ามารบกวน”
“ขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์โค้งตัวให้ชายวัยกลางคนเล็กน้อย จากนั้นมองเย่เฟิงและกงซุนหลิงเอ๋อร์แวบหนึ่ง ก่อนจะเดินออกไป
“เชิญใต้เท้าตามข้าเข้าไปด้านใน” ชายวัยกลางคนกล่าว
เย่เฟิงชะงักไปเล็กน้อย ไม่รู้เพราะเหตุใด เขารู้สึกว่าโรงน้ำชาแห่งนี้แตกต่างจากโรงน้ำชาทั่ว ๆ ไป แต่เย่เฟิงกลับไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี
ไม่นานชายวัยกลางคนก็พาพวกเย่เฟิงมาถึงห้องโถงด้านใน ซึ่งการตกแต่งภายในดูหรูหราอย่างมาก แต่ขณะนั้นชายวัยกลางคนเดินไปที่ด้านหน้าแจกันหยก ก่อนจะหมุนแจกันเล็กน้อย จู่ ๆ ผนังตรงหน้าก็ปรากฏประตูลับบานหนึ่ง
“ใต้เท้า คนที่อยากพบท่านอยู่ในห้องลับนี้ เชิญ!” ชายวัยกลางคนกล่าว
“พวกเราเข้าไปกันเถอะ” เย่เฟิงกล่าวกับกงซุนหลิงเอ๋อร์ กงซุนหลิงเอ๋อร์กะพริบตาปริบ ๆ พร้อมเผยสีหน้าสงสัย จากนั้นทั้งสองคนเดินเข้าห้องลับ ก่อนชายวัยกลางคนจะปิดประตูห้องลับ
ภายในห้องลับ สองเงาร่างที่กำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะหินเห็นเย่เฟิงมาก็มองสำรวจ ก่อนดวงตาจะฉายแววชมเชย หนึ่งในนั้นพูดขึ้นว่า “น้องชายคือเย่เฟิงใช่หรือไม่?”
“ใช่” เย่เฟิงพยักหน้าตอบ เขาััถึงกลิ่นอายอันแกร่งกล้าจากตัวสองคนนี้ได้ จักต้องเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ระดับสูงอย่างแน่นอน พลังก็ลึกลับคาดเดาไม่ได้
เมื่อสองคนนั้นได้ยินที่เย่เฟิงพูดก็พร้อมใจกันโค้งคำนับเย่เฟิง ก่อนจะกล่าวว่า “นายน้อย!”
เย่เฟิงต้องใ ไม่รู้ว่าเหตุใดสองคนนี้ถึงคารวะเขาและเรียกเขาว่านายน้อย
“ท่านทั้งสองรีบลุกขึ้นยืนเถิด” เย่เฟิงรีบพยุงสองคนนั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนเอ่ยถามว่า “ท่านทั้งสองเป็ใคร แล้วเหตุใดถึงเรียกข้าว่านายน้อย?”
“นายน้อยอาจยังไม่ทราบ ข้าสองคนคือหน่วยเก่าของจอมพลเย่ ข้าเซวียิ ส่วนคนนี้คือซ่งกัง” ชายวัยกลางคนร่างกำยำสูงใหญ่หนึ่งในนั้นแนะนำตัว พร้อมใบหน้าอาจหาญนั้นยากที่จะปกปิดความตื่นเต้นไว้ได้
“หากพูดมาเช่นนี้ ผู้าุโทั้งสองก็คือผู้ที่เคยอยู่ในหน่วยของพ่อข้าใช่หรือไม่?” เย่เฟิงกล่าว ไม่คิดว่าผ่านมาหลายสิบปี หน่วยเก่าของบิดาเขาจะยังมีชีวิตอยู่และตามหาเขามาโดยตลอด
“ใช่” ชายวัยกลางคนนามว่าซ่งกังผู้นั้นดูตื่นเต้นเช่นกัน พร้อมกล่าวต่อว่า “ปีนั้นตระกูลเย่ถูกเซิ่งอ๋องและคนอื่น ๆ ใส่ร้าย ตระกูลล่มสลายในชั่วข้ามคืน จอมพลเย่และนายหญิงหายสาบสูญ ยามนั้นพวกเราและคนอื่น ๆ ไปประจำการอยู่ด้านนอก จึงไม่ได้รับผลกระทบ ต่อมาเซิ่งอ๋องได้พยายามกำจัดผู้ที่เกี่ยวข้องกับจอมพลเย่ทั้งหมด แต่ยามนั้นอาณาจักรจ้าวเกิดความโกลาหลจากา จึงขาดกำลังทหารอยู่มากโข สุดท้ายเราก็รอดมาได้อย่างหวุดหวิด ฉะนั้นพวกเราเลยกำลังลอบรวมกองกำลังเพื่อรอโอกาสที่จะได้ฟื้นฟูตระกูลเย่อีกครั้ง!”
คำพูดของซ่งกังดูฮึกเหิมมาก พวกเขาคือลูกน้องที่เชื่อถือได้มากที่สุดของจอมพลเย่เจิน แม้ตระกูลเย่จะล่มสลายมาแล้วสิบปี แต่พวกเขายังคงไม่ลืมเลือน
ความรู้สึกนี้ช่างแข็งแกร่งและทนทานยิ่งกว่าทองคำ!
เย่เฟิงเผยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นโค้งคำนับทั้งสองคนเล็กน้อย “ผู้เยาว์ขอบพระคุณผู้าุโทั้งสองที่ซื่อสัตย์กับตระกูลเย่มากเพียงนี้ สักวันตระกูลเย่จะกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง”
“นายน้อยก็พูดไป หากปีนั้นไม่ได้จอมพลเย่ มีหรือพวกเราจะรอดจนถึงทุกวันนี้?” เซวียิกล่าว
“พวกเราได้ยินมาว่านายน้อยคว้าที่หนึ่งของงานชุมนุมหวงปั่ง จึงรุดมาที่เมืองหลวงเพื่อพบนายน้อยทันที นับจากนี้ไปพวกเราจะฟังคำสั่งของนายน้อย แม้ต้องบุกน้ำลุยไฟก็จะไม่ลังเล!” ซ่งกังกล่าว พวกเขาคือทหารที่เคยติดตามจอมพลเย่เจินในสนามรบ พวกเขามีมิตรภาพที่ดีต่อกันเสมือนญาติพี่น้อง
ขณะกล่าวเช่นนั้น เซวียิและซ่งกังก็คารวะเย่เฟิงอีกรอบ คล้ายแสดงความมุ่งมั่นและความจริงใจ
“ผู้าุโทั้งสองไม่จำเป็ต้องทำเช่นนี้ ตามหลักแล้ว ข้าควรเรียกพวกท่านว่าท่านอาจึงจะถูก” เย่เฟิงประคองทั้งสองลุกขึ้น ก่อนจะพูดต่อไปว่า “อาเซวีย อาซ่ง”
เมื่อเซวียิกับซ่งกังเห็นเย่เฟิงไม่วางมาด เป็คนสบาย ๆ มีพร์โดดเด่น พวกเขาก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ และความมุ่งมั่นที่พวกเขาอยากช่วยเย่เฟิงฟื้นฟูตระกูลเย่ก็ยิ่งมากขึ้นไปอีก
“จริงสิ อาเซวีย อาซ่ง ตอนนี้พวกท่านพักอยู่ที่ใดหรือ นอกจากพวกท่านแล้วยังมีใครอีกไหม?” เย่เฟิงเอ่ยถาม บัดนี้เขาใกล้จะทะลวงขั้นยุทธ์แท้ และถึงเวลาที่ต้องฟื้นฟูตระกูลเย่แล้ว ทั้งยังมีหน่วยเก่าของบิดาเขาอย่างเซวียิกับซ่งกังมาช่วยอีกด้วย
“หลังจากเราสองคนออกมา ก็ก่อตั้งสำนักแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของอาณาจักรจ้าว ชื่อว่าสำนักเสวียนเจิน บุคคลระดับสูงล้วนเป็หน่วยเก่าของจอมพลเย่ในปีนั้น รวมถึงผู้ที่เคยได้รับความเมตตาจากจอมพลเย่ มีทั้งหมด 30 กว่าคน รวมศิษย์ในสำนักอีกก็พันคนขึ้น สิบปีมานี้พวกเราคิดอยากฟื้นฟูตระกูลเย่มาตลอด เพื่อลบล้างความผิดแทนจอมพลเย่” เซวียิกล่าว จากนั้นพูดต่อไปว่า “บัดนี้พวกเราเจอนายน้อยแล้ว ตราบใดที่นายน้อยออกคำสั่ง ตระกูลเย่ก็จะกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง”
“ตอนนี้สถานการณ์ในเมืองหลวงยังไม่สงบ เื่นี้จำต้องวางแผนระยะยาว เมื่อโอกาสมาถึง ข้าจะแจ้งให้ท่านอาทั้งสองทราบ” เย่เฟิงกล่าว เขาไม่คิดว่าหน่วยเก่าของบิดาตนจะมีความสามัคคีกันมากเช่นนี้ สำนักเสวียนเจินที่พวกเขาสร้างก็อยู่ระดับเดียวกับกองกำลังชั้นกลาง แต่เมื่อสังเกตรายละเอียดดี ๆ จะพบว่ามีคำว่าเจินอยู่ในชื่อสำนักด้วย ซึ่งเป็คำว่าเจินจากชื่อของบิดาเขา เย่เจิน เห็นได้ชัดว่าในปีนั้นบิดาเขามีอำนาจมากเพียงใด ทั้งยังมีอำนาจมากพอที่จะระดมพลทหารนับพันหมื่นนาย
“นายน้อยพูดถูก ตอนนี้สำนักเสวียนเจินยังไม่มั่นคงดี จำต้องขยายกองกำลังให้มากกว่านี้ เพื่อเตรียมเป็กำลังให้กับนายน้อย” ซ่งกังกล่าว แม้เย่เฟิงอายุเพียง 16 ปี แต่กลับมีความเป็ผู้ใหญ่สูง ทำให้เซวียิและซ่งกังประทับใจในตัวเย่เฟิงเป็อย่างมาก จึงอดคิดในใจไม่ได้ว่า “ยังหนุ่มยังแน่นขนาดนี้ หากได้รับการสนับสนุน เกรงว่าอนาคตคงล้ำหน้ากว่าท่านจอมพลในปีนั้นอย่างแน่นอน”
ขณะนั้นประตูห้องลับถูกเปิดออก เถ้าแก่โรงน้ำชาที่นำทางพวกเย่เฟิงก็เข้ามาข้างใน พร้อมกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีสภาพเต็มไปด้วยาแเดินตามหลังเขามา ชายผู้นี้อายุประมาณ 20 ปี ทั้งตัวเต็มไปด้วยเื ดูสาหัสเป็อย่างมาก
“หลิวเจียง เกิดอะไรขึ้น? แล้วใครเป็คนทำเ้าเยี่ยงนี้?” เซวียิและซ่งกังเห็นฉากนี้ต่างก็ขมวดคิ้ว ก่อนจะเอ่ยถามชายผู้นั้น
“ท่านประมุขทั้งสอง ที่อยู่ของพวกเราถูกเปิดเผยแล้ว มีคนกลุ่มหนึ่งไล่ล่าพวกเรา พี่น้องคนอื่น ๆ ถูกคนพวกนั้นฆ่าตายหมด ส่วนข้ารอดมาได้จึงมาแจ้งให้พวกท่านทราบ พวกเราต้องรีบหนีออกไปจากที่นี่แล้ว” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมหายใจถี่ ดวงตาแดงก่ำ
“อะไรนะ?” เซวียิและซ่งกังได้ยินเช่นนั้นก็หน้าเปลี่ยนสี ก่อนจะได้ยินซ่งกังพูดขึ้นว่า “เป็ไปไม่ได้ ที่อยู่ของพวกเราถูกเก็บเป็ความลับอย่างดี จะต้องมีไส้ศึกขายข้อมูลของพวกเราเป็แน่!”
“ใช่ ต้องเป็ไส้ศึก เขาบอกที่อยู่ของพวกเราให้กับเซิ่งอ๋อง เพราะงั้นพวกเ้าจึงเจอกับหายนะเยี่ยงนี้!” เซวียิกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ท่านประมุขทั้งสอง ข้าเดาว่าคนของเซิ่งอ๋องจะตามเจอที่นี่ในอีกไม่นาน พวกเรารีบหนีไปจากที่นี่เถอะ!” ชายนามว่าหลิวเจียงผู้นั้นกล่าวอย่างร้อนใจ
“นายน้อย ที่นี่อันตราย พวกเรารีบไปกันเถอะ” เซวียิกล่าว ทำเย่เฟิงเผยสีหน้าจริงจัง ก่อนจะพยักหน้าพร้อมตอบกลับไปว่า “อืม”
“ในโรงน้ำชามีทางลับ พวกท่านใช้เส้นทางนี้หลบหนีไปเพื่อหลีกเลี่ยงคนของเซิ่งอ๋องเถอะ!” เถ้าแก่โรงน้ำชากล่าว จากนั้นพวกเขาเข้าเส้นทางลับโดยมีเถ้าแก่โรงน้ำชานำทาง พวกเขาใช้เวลาระยะหนึ่งออกมาจากที่ลับ จนกระทั่งมาถึงถนนเส้นหนึ่งที่อยู่ห่างจากโรงน้ำชาิเซียงหลายร้อยเมตร
“ที่อยู่ของพวกเราถูกเปิดเผย มิอาจอยู่ที่เมืองหลวงได้แล้ว หากนายน้อยมีเื่ด่วนอะไรก็จงแจ้งเถ้าแก่ให้ทราบ เขามีวิธีติดต่อพวกเรา” เซวียิกล่าวพร้อมโค้งคำนับเย่เฟิง
“หวังว่าจะมีโอกาสได้พบกันอีก!” เย่เฟิงกล่าวพร้อมโค้งคำนับ จากนั้นเซวียิ ซ่งกัง และหลิวเจียงก็เดินทางออกจากเมืองหลวง
“จะหนีไปไหน ยังไงวันนี้พวกเ้าก็ต้องตายอยู่ที่นี่!” แต่ขณะที่พวกเซวียิจะออกไป กลับมีกลุ่มคนปรากฏตัวที่ข้างหน้าอย่างฉับพลัน ก่อนจะทะยานร่างมาทางที่พวกเย่เฟิงอยู่ด้วยความเร็วสูง
“ตามมาเร็วมาก!” เซวียิและซ่งกังเผยสีหน้าดูไม่ได้ แม้พวกเขาใช้เส้นทางลับ แต่คนของเซิ่งอ๋องก็ยังคงหาที่นี่เจอ
“เป็เ้าตามคาด เจียงเฉิน!” เซวียิกล่าวด้วยความโมโหขณะมองชายหนุ่มคนหนึ่งอายุประมาณ 20 กว่าปีในกลุ่มคนของเซิ่งอ๋อง
“คนทรยศ จวนเซิ่งอ๋องให้ประโยชน์กับเ้ามากมาย มันคุ้มแล้วหรือที่มาทรยศพวกพ้องเช่นนี้?” ซ่งกังตวาดเสียงกร้าวด้วยสีหน้าเย็นเยือก
“ติดตามพวกเ้าแล้วมีอะไรที่พัฒนาบ้าง? คิดแต่จะฟื้นฟูตระกูลเย่อย่างเดียว ช่างโง่เง่าสิ้นดี!” ชายหนุ่มนามว่าเจียงเฉินแสยะยิ้ม พร้อมไอชั่วร้ายแผ่ออกจากร่างกาย
“ข้าเสียใจมากที่ไม่ได้กำจัดั้แ่ตอนนั้น ปล่อยให้คนชั่วอย่างเ้าออกมาเดินเพ่นพ่าน!” เซวียิกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว พร้อมกำหมัดแน่นและมีเสียงดังกร๊อบออกมา
“อย่ามามองข้าด้วยสายตาเยี่ยงนี้ ข้ากลัวแล้ว!” เจียงเฉินกล่าวพร้อมเผยสีหน้าได้ใจ ก่อนจะพูดต่อไปว่า “ข้าจะบอกอะไรให้ หากวันนี้ฆ่าพวกเ้าได้ เซิ่งอ๋องจะเลื่อนตำแหน่งให้ข้าเป็แม่ทัพ เพราะฉะนั้นชีวิตของพวกเ้าทุกคนจึงสำคัญต่อข้าเป็อย่างยิ่ง มิอาจปล่อยหลุดมือไปได้!”
แม้เผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์จากจวนเซิ่งอ๋องหลายสิบคน แต่เซวียิและซ่งกังก็ยังเป็ห่วงเย่เฟิง “นายน้อยรีบหนีไป พวกเราจะจัดการเอง!”
