เมืองหลวงเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง สายลมเย็นพัดมาเอื่อยเฉื่อย ใบไม้ร่วงหล่นปลิวว่อนไปทั่วทุกหนทุกแห่ง
อากาศหนาวเย็นของทางทิศเหนือ พัดโชยไปทั่วทั้งพระราชวังเป็ครั้งแรก
ฉีกุ้ยเฟยกระชับเสื้อผ้าบนกาย รับรู้ถึงความหนาวเย็นของสายลมฤดูใบไม้ร่วงที่พัดโชยจากด้านนอกซึมซาบเข้ามา
ศาลาตงหน่วนที่นางอยู่ได้เผาปล่องดินขึ้น
แต่การสิ้นหวังไร้หนทางและความอ้างว้างในหัวใจ ทำให้มือของนางรู้สึกเ็าอย่างไม่รู้จะจัดการอย่างไร
ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ส่งไปตามหายาสมุนไพรกลับมารายงานว่า หาผู้เก็บสมุนไพรขายโสมคนและโสมคนที่มีรูปลักษณ์และคุณภาพระดับเดียวกันไม่พบ
ฉีกุ้ยเฟยสูดลมหายใจเข้าลึก ข่มกลั้นจิตใจที่กังวลมาตลอด
วันเวลาเหล่านี้ ร่างกายและกำลังวังชาของฮ่องเต้ล้วนดีกว่าเมื่อก่อนอย่างมาก แต่โสมคนที่จวนสกุลกู้ถวายขึ้นมาใช้ไปเกือบเกลี้ยงแล้ว ถึงเวลานั้นเกรงว่าจะกลับไปเป็สภาพอย่างเมื่อก่อนอีกครั้ง
พระวรกายของฮ่องเต้หลายปีมานี้ไม่ค่อยดีมาตลอด พระวรกายอ่อนแอและมีโรคภัยอยู่ตลอดเป็สภาพปกติ การบำรุงรักษาของท่านหมอหลวงไม่เห็นผลเลยแม้แต่น้อย และในสองปีที่ผ่านมากลับยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก ถึงสภาพที่ว่ายากจะลงจากเตียงได้เลย
ฮ่องเต้ประชวรหนัก ส่วนฮองเฮาและองค์ไท่จื่อต่างก็จ้องถมึงทึงอยู่ด้านข้าง
เดิมฉีกุ้ยเฟยกับสนมเต๋อเฟยเป็หัวหอกเตรียมป้องกันพวกเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าองค์ไท่จื่อจะกล้าหาญอย่างมาก ถือโอกาสที่ฮ่องเต้ทรงประชวรหนักกำเริบเสิบสานใส่ร้ายกลุ่มองค์ชายสามอย่างทันทีทันใด ตัดศีรษะข้าราชบริพารที่ช่วยเหลือใกล้ชิดองค์ชายสามอยู่หน้าประตูอู๋เซวียน ส่วนตัวองค์ชายสามได้ถูกกักบริเวณ สนมเต๋อเฟยถูกลงมือจัดการอย่างไม่ทันตั้งตัวรับมือ ไม่นานก็ถูกฮองเฮาหาข้ออ้างคุมขังนางให้อยู่ภายในวัง ห้ามก้าวออกมานอกวังเด็ดขาด
ฉีกุ้ยเฟยไม่รู้ว่าตนเองทนวันคืนความทุกข์ยากลำบาก่นั้นให้ผ่านมาได้อย่างไร
ลังเลไม่สบายใจเฝ้าอยู่หน้าเตียงของฮ่องเต้ทั้งวันทั้งคืน ไม่กล้าแยกออกไปสักครึ่งก้าว
ด้านหนึ่งได้เพิ่มกำลังคนเพื่อค้นหาท่านหมอเทวดาจางเชียนหย่วนไปด้วย และอีกด้านก็ปลอบใจบุตรชายซึ่งอยู่ชายแดนอันห่างไกลทำหน้าที่ควบคุมกองกำลังทหารไปด้วย
ตอนที่นางกลุ้มใจจนเส้นผมเกือบหงอกขาว ในที่สุด์ก็ได้ให้ความหวังอันริบหรี่แก่นาง
การมาถึงของท่านหมอเทวดาจาง แม้ไม่มีความมั่นใจว่าจะรักษาฮ่องเต้ให้หายได้ทั้งหมด แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามก็ทำให้ฮ่องเต้ที่มักตกอยู่ในภาวะสลบไสลไม่ได้สติให้ฟื้นขึ้นมาได้
ฮ่องเต้สติปัญญารู้แจ้งและได้ทราบการกระทำขององค์ไท่จื่อ ทรงกริ้วดั่งสายอสนีบาตฟาดอย่างรุนแรงในทันที เรียกองค์ไท่จื่อมาตำหนิอย่างหนัก ลงโทษให้เขาปิดประตูเพื่อครุ่นคิดความผิดของตนเอง จากนั้นเรียกฮองเฮามาต่อว่าอย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง แล้วให้นางปิดประตูพิจารณาตัวเองด้วยเช่นกัน
สถานการณ์ภายในของราชสำนักเกิดการเปลี่ยนแปลงทันที
น่าเสียดาย ฮ่องเต้เพิ่งประสงค์ให้ตรวจสอบคดีขององค์ชายสามอย่างละเอียด กลับทรงประชวรขึ้นมาอีกครั้ง
พระอาการประชวรกลับเป็ขึ้นมาอย่างรุนแรง จนท่านหมอเทวดาจางเกือบช่วยชีวิตกลับมาไม่ได้
กว่าจะยื้อชีวิตมาจากในมือพญายมได้ไม่ง่ายเลย ท่านหมอเทวดาจางกล่าวตรงไปตรงมาว่าหากฮ่องเต้ยังทรงงานด้วยความกลุ้มใจมากอยู่เช่นนี้อีก ต้าหลัวจินเซียนก็ยากที่จะรักษาชีวิตของพระองค์ไว้ได้
ขณะนี้เื่ราชสำนักส่วนใหญ่หารือกันโดยขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่บริหารบ้านเมือง บางเื่ที่ปรึกษาหาข้อสรุปกันไม่ได้ ถึงทูลรายงานขึ้นมายังฮ่องเต้
ส่วนเื่ขององค์ชายสาม เพราะเป็เื่สำคัญมากทำได้เพียงวางไว้ก่อนเป็การชั่วคราว ตัวองค์ชายสามได้กลับไปยังจวนขององค์ชายแล้ว แต่องค์ชายสามได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนักราวกับถูกกระชากจิตใจและกำลังวังชาออกไป คนทั้งคนหน้าตาซีดเซียวมีอาการซึมเศร้า กลับมาถึงจวนก็ล้มป่วยลง
สนมเต๋อเฟยว้าวุ่นใจอย่างมาก แต่กลับไม่สามารถออกจากวังมาเยี่ยมได้ กลัดกลุ้มใจจนผมแทบขาวไปทั้งศีรษะ
ฉีกุ้ยเฟยเชิญท่านหมอจางเชียนหย่วนไปจับชีพจร คำรายงานที่ได้รับคือ ความกังวลและเสียใจอย่างมาก ทำให้จิตใจได้รับความเสียหาย ควรระมัดระวังในการดูแลรักษา
ฉีกุ้ยเฟยม้วนเส้นผมที่ไม่เท่ากันตรงขมับขึ้น สายตามองไปทางฝั่งตะวันออก สองท่านนั้นที่อยู่ในตำหนักบูรพา [1] ไม่ใช่ผู้ที่จะนำพาความสันติสุขมาได้
มีเพียงฮ่องเต้ยังมีชีวิตอยู่และพระพลานามัยแข็งแรงเท่านั้น จึงจะสามารถหยุดยั้งพวกเขาไว้ได้
สายตาของนางเคร่งขรึมขึ้น หันหน้ามองไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ บุตรชายของนางตั้งมั่นอยู่ชายแดนมาหลายปี แม้ในมือจะควบคุมกองกำลังทหารแต่ไม่กล้าขยับตัวเลยสักน้อยนิด รักษาการอยู่ป้อมทางตะวันตกเฉียงเหนือแห่งนั้น ในทะเลทรายโกบี [2] กว้างโล่งประชากรเบาบาง ทิศตะวันตกเฉียงเหนือชาวบ้านที่ทำปศุสัตว์เข่นฆ่าปล้นชิงกันมาตลอด มีการรุกรานอาณาเขตของอาณาจักรต้าสยาอยู่บ่อยๆ ยุทธการต่อสู้เล็กใหญ่มีไม่ขาดสายทุกปี
เพื่อเฝ้าระวังเขตชายแดน สี่เอ่อร์ที่น่าสงสารของนางไม่ได้กลับเมืองหลวงมาสองปีแล้ว คิดถึงตรงนี้นางก็แสบจมูกเบ้าตาแดงรื้นขึ้น บุตรเดินทางพันลี้มารดาย่อมห่วงใย [3] ในฐานะที่เป็มารดาคนหนึ่งจะไม่คิดถึงลูกที่ร่างกายอยู่ไกลโพ้นได้อย่างไรกัน
แต่ในฐานะกุ้ยเฟยของอาณาจักรต้าสยา นางเข้าใจในเหตุผลได้ว่า ในเวลาเช่นนี้ไม่เป็การเหมาะสมจริงๆ ที่จะกลับเมืองหลวงมาเดินย่ำในน้ำขุ่น [4] องค์ฮ่องเต้ประชวรหนัก ฮองเฮาและองค์ไท่จื่อมีอำนาจมาก องค์ชายสี่อยู่ชายแดนอย่างน้อยยังมีกองกำลังทหารอยู่ในมือ แต่การกลับมาที่เมืองหลวงอาจไม่สามารถต่อสู้กับองค์ไท่จื่อได้เลย
นางยอมให้บุตรชายใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขในฐานะฟานหวัง [5] ยังดีกว่ายอมให้เขาเอาชีวิตมาทิ้งเพื่อแย่งชิงตำแหน่งที่สูงขึ้น
นี่คือความในใจของมารดาคนหนึ่ง...
ฉีกุ้ยเฟยถอนหายใจ ถึงเวลาที่ฮ่องเต้ต้องเสวยโอสถแล้วนางควรรีบไป
...ผลผลิตจากการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง สำหรับหูฉางกุ้ยแล้วค่อนข้างเป็ที่น่าพอใจอย่างมาก
ปีนี้ฝนตกต้องตามฤดูกาลและการเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์ การเก็บเกี่ยวข้าวแต่ละครอบครัวในหมู่บ้านวั้งหลินล้วนมากกว่าปีที่แล้วๆ มาหนึ่งถึงสองส่วน เหล่าชาวไร่ชาวนายินดีกันจนยิ้มแย้มแจ่มใสดวงตาหยี
นี่คือรางวัลการทานอาหารจาก์ [6] ที่นาผืนเดิมเหมือนกัน เมล็ดพันธุ์ข้าวเหมือนกันกับปีที่ผ่านๆ มา แต่เมล็ดข้าวออกมามากกว่าหนึ่งถึงสองเท่า นี่ไม่ใช่เื่ที่เซี่ยนปิ่งตกลงมาจากฟากฟ้าหรือ
ปริมาณต้นข้าวของสกุลหูก็มากกว่าเมื่อก่อนอยู่สองในสิบส่วนด้วย หูฉางกุ้ยจูงล่อลากเมล็ดข้าวไปทางโรงเก็บของที่บ้าน รอยยิ้มบนใบหน้าไม่ลดเลือนลงไปเลย
ในฐานะที่เป็ชาวไร่ชาวนาขุดอาหารในดินคนหนึ่ง ไม่มีเื่อะไรจะทำให้คนดีใจมากไปกว่าการเก็บเกี่ยวได้ผลผลิตดีอีกแล้ว
หลี่ซื่อที่ท้องยังแบนราบปรากฏออกมาไม่ค่อยชัด กำลังช่วยเด็ดผักอยู่ฝั่งห้องครัว ตอนนี้นางเหมือนเครื่องกระเบื้องเคลือบก็ไม่ปาน ถูกคนทั้งครอบครัวประคบประหงมอย่างระมัดระวัง สิ่งที่สามารถทำได้มีเพียงงานบนมือเหล่านี้เท่านั้น
จ้าวหงยู่กำลังใช้แป้งข้าวโพดที่โม่ขึ้นใหม่มาทำวอวอโถวและนึ่งอยู่ วอวอโถวที่ทำจากแป้งข้าวโพดนี้ทั้งหวานหอมนุ่มและเหนียว กลิ่นหอมของข้าวโพดเข้มข้น ได้รับความโปรดปรานจากคนสกุลหูเป็อย่างมาก
ดังนั้นสิ่งที่ปรากฏบนโต๊ะอาหารของสกุลหูในระยะนี้มากที่สุด ก็คือวอวอโถวข้าวโพดหรือหมั่นโถวข้าวโพด
“หงยู่ กระดูกกวางที่เหลือของเมื่อวาน ่บ่ายเ้าเอากลับไปให้ท่านพ่อท่านแม่เ้าเคี่ยวน้ำแกงเถอะ” หลี่ซื่อที่ในมือกำลังเด็ดผัก ยิ้มและหันมากล่าวกับจ้าวหงยู่ที่กำลังยุ่งอยู่กับงาน
“เอ่อ... นี่ไม่ค่อยดีกระมัง เก็บไว้เคี่ยวน้ำแกงตอนเย็นน่าจะดีกว่า ทุกคนจะได้ซดด้วยกัน” จ้าวหงยู่ลังเลเล็กน้อยแล้วส่ายหน้า
“มีอะไรไม่ดีกัน เ้าไม่ใช่ไม่รู้เสียหน่อยว่าเสี่ยวจินชอบกินเนื้อพะโล้ มันมักจับกวางป่าหรือแพะป่าจากในูเามาบ่อยๆ ที่บ้านซดน้ำแกงกระดูกทุกวัน ล้วนเบื่อหน่ายแล้ว วันก่อนท่านพ่อเ้าไม่ใช่ว่าขาเคล็ดหรือ เคี่ยวน้ำแกงกระดูกให้เขาเสียหน่อยจะได้หายเร็วขึ้น” หลี่ซื่อกล่าว
ตอนจ้าวสี่เหวินเร่งรีบเก็บเกี่ยวใน่ฤดูใบไม้ร่วง ไม่ทันระวังล้มจนขาเคล็ด โชคดีที่งานเก็บเกี่ยวล้วนทำไปได้พอสมควรแล้ว เลยไม่ได้ส่งผลกระทบมากนัก
จ้าวหงซานให้ติงซื่ออยู่บ้านเก่าเฝ้ากระต่าย ส่วนเขากลับมาบ้าน ทำงานที่เหลืออยู่ให้เสร็จด้วยความคล่องแคล่ว การเก็บเกี่ยวของบ้านสกุลจ้าวจึงเสร็จสิ้นไปอย่างราบรื่น
แต่ขาของจ้าวสี่เหวินยังต้องพักฟื้นอยู่สิบวันถึงครึ่งเดือนจึงจะหายเป็ปกติ
จากในคำพูดโน้มน้าวของหลี่ซื่อ จ้าวหงยู่จึงรับไว้ด้วยความเขินอาย
กล่าวถึงเสี่ยวจินขึ้นมา ตอนจ้าวหงยู่เห็นครั้งแรก นางใเป็อย่างมาก อินทรีทองสูงเท่าคนยืนตระหง่านอยู่ในลานบ้าน ขนสีน้ำตาลประกายทองส่องสว่างแวววาวอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ ลูกตาหนึ่งคู่ว่องไวและเฉียบแหลม
เมื่อได้รู้ว่าเป็สัตว์ปีกที่สกุลหูเลี้ยงไว้ นางจึงลดความกังวลลงได้บ้าง สำหรับนางแล้ว สกุลหูเป็ครอบครัวแห่งความเมตตาที่เต็มไปด้วยความสุขสงบโชคดีและราบรื่น สัตว์ที่มีสติปัญญาล้วนสามารถรับรู้ได้ว่าสกุลหูสะสมบุญกุศล หลายปีมานี้นางได้รับความทรมานจากเหลียงหู่มานับไม่ถ้วน เมื่อรอดชีวิตมาจากความทุกข์ยากในทุกครั้ง จึงรู้สึกว่าเป็พระพุทธองค์ที่ปกปักรักษา
นับั้แ่เหลียงหู่ตายไป นางยิ่งรู้สึกว่าทำความชั่วย่อมได้รับความชั่วทำความดีย่อมได้รับความดี สิ่งต่างๆ เป็เหตุเป็ผลวนเวียนกันและผู้ทำชั่วย่อมได้รับกรรมตามสนอง
สกุลหูเป็คนดีบุญบารมีนับไม่หวาดไม่ไหว เมื่อทำความดีจึงย่อมได้รับผลตอบแทนที่ดี
เจินจูไม่รู้ว่าภายในใจของจ้าวหงยู่ สกุลหูได้อยู่ในระดับที่สูงขึ้นไปจนถึงขั้นไม่ธรรมดาอย่างหนึ่งแล้ว
นางในตอนนี้กำลังยืนขวางคน อยู่ข้างโรงเรียนฝึกการต่อสู้
หลัวจิ่งขมวดคิ้ว มองแม่นางน้อยที่สองมือกอดอกยืนพิงกำแพงลานอยู่
เด็กสาวผู้นี้ไปเรียนรู้ท่าทางอันธพาลมาจากผู้ใดกัน?
“เ้ามาหาข้า?”
เจินจูยืดตัวขึ้นยืนตรง ทำท่าทางเทียบความสูงของสองคนอยู่ไกลๆ
ในขณะที่ไม่ทันรู้สึกตัว เ้าหนุ่มนี่สูงขึ้นไปไม่น้อยอีกแล้ว
หลัวจิ่งสวมชุดฝึกออกกำลังสีฟ้าอมเขียว ขับให้เขารูปร่างสง่าดูมีอำนาจ เม็ดเหงื่อตรงหน้าผากซึมลงตามแก้ม ส่วนบนของเสื้อเปียกชุ่มไปครึ่งตัว
“เมื่อสักครู่ข้าได้ยินท่านลุงหลิ่วกล่าวว่า บริเวณใกล้เคียงเมืองไท่ผิงเกิดเื่แปลกประหลาดขึ้น” นางกล่าวอย่างเนือยๆ
คิ้วยาวเฉียงของหลัวจิ่งเลิกขึ้น ไม่ได้กล่าวอะไร
“่กลางดึกมีทหารเร็วคนหนึ่งดื่มมากไปเลยตกลงไปในร่องน้ำเน่าเสีย เขาตกลงไปจนขาหักข้างหนึ่ง เอาแต่กล่าวครั้งแล้วครั้งเล่าว่ามีคนจู่โจมเขา เพราะแบบนั้นเขาถึงได้ตกลงไปในร่องน้ำ แต่ว่า... พวกศาลาว่าการเขาตรวจสอบแล้วหนึ่งรอบกลับไม่พบคนที่จู่โจมเขาเลย ดังนั้นเื่นี้ก็เลยจบลงอย่างค้างคาไม่มีข้อสรุป” เจินจูจ้องดวงตาของเขา ยิ้มและกล่าว
“อ้อ... หลังจากนั้นล่ะ?” มุมปากของเขายกยิ้มขึ้นบางๆ
“หลังจากนั้น? ฮ่าๆ แล้วข้าก็พบว่ามีคืนหนึ่ง คนบางคนกลับไม่อยู่ในห้องของตัวเอง และประตูหลังบ้านก็ปิดไว้แต่ไม่ได้ลงสลัก”
หลังจากนั้น... เป็แบบนี้เพียงพอหรือไม่? เจินจูเลิกคิ้วไปทางเขา
“…” รอยยิ้มบางๆ บนมุมปากของหลัวจิ่งชะงักค้าง
นางสังเกตเห็น สายตาของเขาปรากฏความหงุดหงิดเล็กน้อยออกมา
เขาเดินอ้อมไปหลังบ้านอย่างระมัดระวังมาก ทำไมถูกค้นพบได้?
เจินจูแอบหัวเราะอยู่ข้างใน เ้าตัวเล็กนี่ ให้เ้าทำเท่ไปเถอะ ความรู้สึกถูกเปิดเผยเจ็บแสบไหมล่ะ
“ทำไม… เ้าถึงรู้ว่าข้าไม่อยู่ในห้อง?” หรือวันนั้นนางไปหาเขา?
เจินจูยิ้มกว้างปรากฏฟันขาวสะอาดทั้งปากออกมา “ไม่ใช่ข้าที่พบหรอก เป็เสี่ยวหวงเห็นว่าประตูหลังไม่ได้ล็อก เลยวิ่งนำทางข้าไป”
ตอนดึกก่อนเสี่ยวหวงเข้านอน มันจะเดินเล่นทั่วทั้งลานบ้านหนึ่งรอบ เห็นประตูใหญ่หลังบ้านไม่ได้ลงสลักกลอน พอชนก็เปิดออกแล้ว เสี่ยวหวงจึงวิ่งไปหาคนอย่างรวดเร็วทันที ประตูห้องของเจินจูเปิดอยู่พอดี มันจึงเห่ามาทางนางและนำทางนางไป
เสี่ยวหวง?! หลัวจิ่งข่มอาการอยากกุมหน้าผากไว้ ทำไมเขามองข้ามสัตว์ที่กลายเป็ปีศาจทั้งลานบ้านแบบนี้นะ
เ้าหนึ่งตัวสองตัวนี่ ขาดก็แต่ไม่สามารถกล่าวฟ้องร้องได้แล้ว
“หมู่บ้านเราเดินทางห่างจากในเมืองตั้งไกล เ้าออกไปกลางดึกอาจต้องนานหน่อย” นางมองมุมปากที่กระตุกเล็กน้อยของเขาอย่างยิ้มกว้าง แต่ในใจหัวเราะเบิกบานอยู่นานแล้ว
“…” หลัวจิ่งกำลังจะอ้าปากอธิบาย แต่เห็นนางยิ้มจนดวงตาโค้งเป็เสี้ยวพระจันทร์ ใบหน้าเล็กขาวอมชมพูเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แผ่ความสดใสมีชีวิตชีวาออกมาจนทำให้คนละสายตาไปไม่ได้
เขามองนางด้วยความหลงใหลอย่างเผลอไผลเล็กน้อย จนกระทั่งเด็กสาวหยุดยิ้มลง และมองเขาด้วยความแปลกใจ
“แค่ก” หลัวจิ่งไอเบาๆ ไม่เป็ธรรมชาติหนึ่งที “ทหารเร็วผู้นั้นขาหักแล้ว ไม่ดีขึ้นได้ภายในสามเดือนห้าเดือนแน่ หัวหน้าของพวกเขาไม่มีทางเก็บตำแหน่งที่ว่างให้เขาได้นานเพียงนั้น ดังนั้นแม้เขาจะขาหายดีแล้วก็ตาม คาดว่าน่าจะเป็ทหารเร็วไม่ได้แล้วด้วย”
เป็เช่นนี้ย่อมคุกคามสกุลหูไม่ได้เช่นกัน
“เ้าสอบถามได้ชัดเจนแล้วหรือ” เจินจูพยักหน้า ที่แท้เขาวางแผนไว้เช่นนี้นี่เอง “ที่จริง เขาไม่กล้าทำอะไรหรอก แค่คนไม่ดีที่ชอบก่อกวนเท่านั้น เ้าไม่จำเป็ต้องเปลืองความคิดมากมายเพื่อคนต่ำต้อยระดับนั้นเลย”
หลัวจิ่งส่ายหน้า “ยอมล่วงเกินสุภาพบุรุษดีกว่า ไม่สามารถล่วงเกินคนต่ำทรามได้ [7] แทนที่จะคอยเฝ้าระวังการก่อกวนของเขาทั้งวัน ไม่สู้จัดการเขาทิ้งไปเลยทีเดียว ไม่ดีกว่าหรือ”
ก็ถูก ที่แท้ผู้ชายก็ตัดสินใจทำเื่ได้เด็ดขาดนัก เจินจูยักไหล่ “เอาล่ะ ครั้งหน้าจะทำเื่อะไร บอกข้าสักหน่อย ข้าจะได้งับประตูไว้ให้เ้า ไม่ต้องออกไปอย่างหลบๆ ซ่อนๆ”
นางหันไปทำหน้าตาหยอกล้อใส่เขาและวิ่งหนีไป
หลัวจิ่งเผลอยิ้มออกมาไม่ได้ ในใจมีคลื่นความอบอุ่นหนึ่งสายติดอยู่ข้างในไม่จางหายไปอยู่นาน
นานอยู่พักหนึ่ง และรอยยิ้มก็ค่อยๆ เลือนหาย พลันนึกถึงจดหมายที่ได้รับเมื่อสองวันก่อนขึ้นได้ พี่ชายใหญ่บอกว่าสภาพอาการาเ็ของเขาหายดีแล้ว ให้เขาติดตามองครักษ์ลับไปชายแดนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
หลัวจิ่งเงยหน้ามองไปทางท้องฟ้า คำนวณขึ้นมา เขาอาศัยอยู่บ้านสกุลหูมาเกือบหนึ่งปีแล้ว
วันเวลาผ่านไปไวจริงๆ พริบตาเดียวก็ถึงเวลาแยกจากกัน
หัวใจของเขา... เหตุใดจึงเ็ปเช่นนี้
เชิงอรรถ
[1] ตำหนักบูรพา (东宫) คือ ตำหนักที่พักอาศัยขององค์ไท่จื่อในสมัยโบราณ
[2] ทะเลทรายโกบี คือทะเลทรายั้แ่บริเวณรอยต่อของประเทศมองโกเลียตอนใต้ กับประเทศจีนทางตอนเหนือบริเวณเขตปกครองตนเองมองโกเลีย ใน ทะเลทรายแห่งนี้ตั้งอยู่บนที่ราบสูงเหนือระดับน้ำทะเล 900 - 1,500 เมตร พื้นที่ส่วนใหญ่ทางด้านตะวันออกเป็หินล้วน ส่วนด้านตะวันตกเป็ทราย
[3] บุตรเดินทางพันลี้มารดาย่อมห่วงใย หมายถึง เมื่อลูกไม่อยู่บ้าน หัวใจของคนเป็แม่ย่อมเป็ห่วงอยู่เสมอ ใช้เพื่อบรรยายความรักที่แม่มีต่อลูกอย่างจริงใจสุดซึ้ง
[4] เดินย่ำในน้ำขุ่น หมายถึง การอุปมาว่าทำเื่ผิด เื่ไม่ดีตามผู้อื่น
[5] ฟานหวัง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า จูโหวหวัง คือตำแหน่งประมุขเ้านครรัฐ
[6] รางวัลการทานอาหารจาก์ เป็การบรรยายถึง คนบางคนมีพร์ในด้านใดด้านหนึ่งมากๆ แม้แต่ทั้ง์ยังต้องเอาใจใส่ดูแล มอบอาหารให้ทาน
[7] ยอมล่วงเกินสุภาพบุรุษดีกว่า ไม่สามารถล่วงเกินคนต่ำทรามได้ คือคำสั่งสอนอย่างหนึ่งของจีน สอนเื่การคบหากับคน หมายถึงการทำให้คนที่เป็สุภาพบุรุษ หรือคนดีขุ่นเคืองใจเล็กๆ น้อยๆ เขาจะไม่ถือสา แต่หากผิดใจกับคนไม่ดีเพียงเล็กน้อยคนเหล่านี้จะแค้นฝังใจและรอวันแก้แค้นคืน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้