เล่มที่ 2 บทที่ 47
มู่หรงฉิงพูดได้ดี เนื่องจากนางได้กลายเป็หนึ่งในสมาชิกของครอบครัวเฉิน ดังนั้นนางจึงไม่อาจฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ของจวนเฉิน อย่างไรก็ดียวี้เอ๋อร์เป็คนของนาง ขณะเดียวกันยังเป็คนที่นาง้าจะ ‘ปกป้อง’ อย่างมาก ดังนั้นเมื่อพูดถึง ‘ทุกอย่างขึ้นอยู่กับท่านย่า’ ความคับข้องใจของนางดูเหมือนจะถูกกดลงไปอย่างมาก มันทำให้ผู้คนรู้สึกว่า คนที่จะถูกลงโทษคนนั้นคือมู่หรงฉิงเสียเอง
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ฟังน้ำเสียงของมู่หรงฉิงก็รับรู้ว่ามู่หรงฉิงพยายามปกป้องยวี้เอ๋อร์ทุกวิถีทาง แต่สำหรับเื่ของวันนี้ นางตัดสินใจที่จะจัดการยวี้เอ๋อร์แล้ว
หากยวี้เอ๋อร์รอดชีวิตไปได้ นั่นนับว่าเป็วาสนาของยวี้เอ๋อร์ แต่ถ้าสาวใช้ใจชั่วผู้นี้ไม่รอดชีวิต นั่นก็นับว่าเป็โชคชะตาของนางเช่นเดียวกัน
“ฉิงเอ๋อร์พูดเช่นนั้นแล้ว ก็ทำตามกฎของจวนกันเถอะ” หลังจากฮูหยินผู้เฒ่าพูดจบ นางไม่รอให้มู่หรงฉิงเอ่ยตอบ แต่หันศีรษะไปพูดกับยวี้เอ๋อร์ “สิ่งที่ทำไปในวันนี้ ให้จัดการตามกฎของจวนเฉิน เ้ารับได้หรือไม่?”
น้ำเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าเปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขาม แม้ว่านางจะอายุมากแล้ว แต่ดวงตาทั้งสองข้างของนางยังเป็ประกายอย่างน่ายำเกรงทำให้ยวี้เอ๋อร์ต้องรีบโขกศีรษะ “บ่าวมีความผิด ฮูหยินผู้เฒ่ายอมที่จะไว้ชีวิตบ่าว นั่นนับว่าเป็ความเมตตาที่มีต่อบ่าว บ่าวไม่กล้ากำเริบเสิบสาน บ่าวยินดีที่จะรับโทษตามกฎของจวน”
ยวี้เอ๋อร์พูดพลางสะอื้น ไหล่ที่สั่นเทาของนางช่างทำให้คนรู้สึกเวทนาจริงๆ
มู่หรงฉิงได้ฟังคำพูดของยวี้เอ๋อร์ถึงกับเย้ยหยันในใจ สาเหตุที่นางหยุดพูดเมื่อครู่ก่อน นั่นเป็เพราะนางเดาแล้วว่า ถัดจากนี้ยวี้เอ๋อร์จะถูกลงโทษอย่างไรต่อไป นางไม่เพียงแต่คาดเดาได้ เกรงว่ายวี้เอ๋อร์เองก็คงรู้ การลงโทษที่เ้าตัวจะได้รับอาจรุนแรงถึงขั้นต้องสูญเสียชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เบื้องหน้าบริเวณประตูสีชาด ด้วยความประมาทของบ่าวทำให้เ้านายเกือบเสียชีวิต ในกรณีเช่นนั้น มักจะถูกลงโทษด้วยการเฆี่ยนจนตาย แต่วันนี้มู่หรงฉิงทุ่มเทเพื่อปกป้องยวี้เอ๋อร์ ดังนั้นฮูหยินผู้เฒ่าย่อมไม่ดึงดันที่จะพรากชีวิตของยวี้เอ๋อร์
อย่างไรก็ดี หากนางบอกให้ปฏิบัติตามกฎของจวน มู่หรงฉิงย่อมไม่กล่าวคัดค้าน ยวี้เอ๋อร์ก็ต้องยอมรับเช่นเดียวกัน นั่นหมายความว่าการเฆี่ยนตีด้วยไม้กระดานเป็สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ระหว่างที่มู่หรงฉิงกำลังคิดพิจารณา นางกลับได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าะโเรียก ‘ชุ่ยเอ๋อร์’ ก่อนที่หญิงเ้าของชื่อซึ่งอยู่ด้านนอกประตูจะเอ่ยตอบกลับมาทันที ทั้งยังสาวเท้าเข้ามาในห้อง
“น้ำชาถ้วยนี้เย็นแล้ว ยกน้ำชาถ้วยใหม่ทีเถอะ ทางที่ดีควรจะเป็น้ำที่เพิ่งต้มจนเดือด”
ฮูหยินผู้เฒ่าพูดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยซึ่งเกินความคาดหมายของมู่หรงฉิงโดยสิ้นเชิง ไม่ใช่บอกว่าจะลงโทษยวี้เอ๋อร์หรือ? ทำไมถึงเริ่มเปลี่ยนชาเพื่อดื่มอีกล่ะ?
นอกจากนั้นสภาพอากาศยังร้อนมาก การดื่มชาอุ่นสักเล็กน้อยพอเป็พิธียังพอรับได้ แต่เหตุใดฮูหยินผู้เฒ่าถึง้าดื่มชาจากน้ำร้อนหรือ? ไม่กลัวว่าน้ำชาจะร้อนลวกปากหรืออย่างไร?
มู่หรงฉิงมีข้อสงสัยในใจ ต่างจากชุ่ยเอ๋อร์ซึ่งตอบรับโดยไม่มีข้อข้องใจแต่อย่างใด ระหว่างรอชุ่ยเอ๋อร์นำชาร้อนมาให้ ฮูหยินผู้เฒ่ายังคงไม่เอื้อนเอ่ยวาจาใดๆ แค่ลดสายตาลงครึ่งหนึ่งพลางบีบลูกประคำในมือ
เฮอะ! นี่มันอะไรกัน? ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังยื้อเวลาเพื่อให้ยวี้เอ๋อร์ใกลัวถึงขีดสุด จากนั้นถึงลงมือทำโทษอย่างรุนแรงกระนั้นหรือ?
ขณะคิดตรึกตรองในใจ มู่หรงฉิงจึงเลื่อนสายตาไปมองยวี้เอ๋อร์ นางเห็นยวี้เอ๋อร์ก้มศีรษะลงและไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เมื่อเห็นมือทั้งสองข้างของยวี้เอ๋อร์ที่วางอยู่บนเข่ามีอาการสั่นเทิ้ม มู่หรงฉิงพลอยนึกเย้ยหยันในใจอย่างอดไม่ได้ ตอนนี้ยวี้เอ๋อร์ไม่ร้องห่มร้องไห้หรือสร้างปัญหาใดๆ นางคิดว่า ยวี้เอ๋อร์น่าจะมีความสามารถในการเอาตัวรอดเสียอีก? ครั้นเห็นมือสั่นเทาทั้งสองข้างของยวี้เอ๋อร์ เกรงว่ายวี้เอ๋อร์จะต้องหวั่นกลัวมากจริงๆ
ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันทำให้มู่หรงฉิงหวนนึกถึงตอนที่แมวจับหนูในละคร เวลาที่แมวจับหนู แมวจะไม่กินหนูรวดเดียวแต่มันจะแกล้งหนูก่อน ปล่อยให้หนูคิดว่าตนเองยังมีทางรอด ทว่าจู่ๆ แมวก็กลืนหนูเข้าไปในท้องหลังจากเล่นกับหนูมามากพอแล้ว หนูที่อ่อนล้าต้องประสบกับเหตุการณ์อันน่าตื่นตระหนกและหวาดกลัวมามาก แต่สุดท้ายมันก็ยังคงต้องตายอยู่ดี
หลังจากเวลาผ่านไปประมาณครึ่งถ้วยชา[1] ชุ่ยเอ๋อร์ก็กลับเข้ามาพร้อมกับน้ำชาชงใหม่ ชุ่ยเอ๋อร์วางชาลงบนโต๊ะ ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้มองแม้แต่น้อย อย่าว่าแต่ดื่มชาเลย
มู่หรงฉิงเห็นฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้ตั้งใจจะดื่มชาแม้แต่น้อย นางพลอยรู้สึกงุนงงอีกหน ไม่ได้ยกน้ำชาเพื่อดื่มหรือ?
นี่มันอะไรกัน? จะดื่มชา? หรือจะจัดการกับยวี้เอ๋อร์? แล้วจะจัดการกับยวี้เอ๋อร์อย่างไร?
น้ำชาก็ยกมาให้แล้วแต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับไม่ดื่มชา ถ้าทำเช่นนั้นและยื้อเวลาต่อไป ดวงอาทิตย์คงจะเลื่อนไปทางทิศตะวันตกแล้ว มู่หรงฉิงคิดว่า ในยามนี้ถึงเวลาที่จะต้องจัดการยวี้เอ๋อร์แล้วไม่ใช่หรือ?
ปรากฏว่าเป็ไปตามที่คาดการณ์ไว้จริงๆ ขณะที่มู่หรงฉิงยังคิดว่ายวี้เอ๋อร์จะต้องทนทุกข์ทรมานจากการถูกเฆี่ยนตีเท่าใด เปลือกตาที่หรี่ปรือครึ่งหนึ่งของฮูหยินผู้เฒ่าก็เปิดขึ้น ก่อนดวงตาทั้งสองข้างของฮูหยินผู้เฒ่าจะเบิกกว้าง จากนั้นนางได้เปล่งเสียงทุ้มต่ำซึ่งเต็มไปด้วยพลังจนทำให้มู่หรงฉิงรู้สึกประหลาดใจ สุขภาพของฮูหยินผู้เฒ่าดีจริงๆ
“หลายเหริน[2] ลากสาวใช้ชั่วช้าออกไปและเฆี่ยนตีด้วยไม้กระดานใหญ่ห้าสิบที จากนั้นพาตัวไปที่ห้องเก็บฟืนเพื่อทบทวนความผิดของตนเอง”
เฆี่ยนด้วยไม้กระดานใหญ่ห้าสิบทีสำหรับสาวใช้ระดับหนึ่งที่บอบบาง นั่นเป็การลงโทษถึงแก่ชีวิตอย่างแน่นอน
ความคิดของมู่หรงฉิงจึงกำลังโต้แย้งกันอย่างมาก ประการที่หนึ่ง นางรู้สึกว่าการเฆี่ยนด้วยไม้กระดานใหญ่ห้าสิบทียังไม่เพียงพอที่จะคลายความโกรธของนางได้ แต่ในเวลาเดียวกัน นางกลับกลัวว่ายวี้เอ๋อร์จะเสียชีวิตเนื่องจากถูกตีด้วยไม้กระดานใหญ่ห้าสิบที
มู่หรงฉิงอยากจะพูดกับยวี้เอ๋อร์จริงๆ ว่า ยวี้เอ๋อร์คนดี เ้าจงอย่าตายเด็ดขาด ไม่เช่นนั้น ถ้าเพิ่มอีกห้าสิบที เ้าทนได้ก็ทนไป แต่ถ้าไม่สามารถทนได้ เ้าเข้มแข็งไว้ก็ดี
แน่นอนว่า ทั้งหมดทั้งมวลล้วนทำได้แค่คิดในใจเท่านั้น จังหวะเดียวกันชุ่ยเอ๋อร์นำสาวใช้เข้ามาในห้องเพื่อลากยวี้เอ๋อร์ซึ่งร้องไห้ราวกับดอกสาลี่ต้องหยาดฝน ภาพเบื้องหน้าทำให้ผู้คนรู้สึกสงสารอย่างอธิบายเป็คำพูดไม่ได้
“คุณหนูใหญ่ บ่าวถูกปรักปรำ บ่าวถูกปรักปรำจริงๆ...”
ทันทีที่ได้ยินว่าต้องถูกเฆี่ยนด้วยไม้กระดานใหญ่ห้าสิบที ยวี้เอ๋อร์ก็ร้องไห้อย่างน่าเวทนา นางตากแดดทั้งบ่าย เดิมทีร่างกายก็อ่อนแอมากแล้ว ถ้ายังจะต้องถูกเฆี่ยนด้วยไม้กระดานใหญ่ห้าสิบที มันจะไม่ถึงแก่ชีวิตหรือ?
ยวี้เอ๋อร์ร้องไห้อย่างน่าเวทนา ขณะเดียวกันก็พยายามดิ้นเพื่อให้หลุดพ้นจากการกุมตัวของสาวใช้ มู่หรงฉิงลอบยิ้มอย่างสาแก่ใจแต่ใบหน้าของนางกลับโศกเศร้า นางหันไปมองฮูหยินผู้เฒ่าพร้อมพูดว่า “ท่านย่า” ทว่าไม่ทันได้พูดต่อ ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ากลับขุ่นเคืองเสียก่อน
“เ้าคนเลว เรียกคุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่ ตอนนี้ฉิงเอ๋อร์เป็ฮูหยินน้อยของจวนเฉินของข้า เ้าสาวใช้ชั่วช้าดูถูกจวนเฉินของข้าหรือ?” หลังจากนั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็ทุบโต๊ะ “ดูสิดู เ้าเป็คนเปลี่ยนคำพูดได้เก่งจริงๆ ก่อนหน้านี้เ้าก็บอกว่านี่เป็ความเมตตาต่อเ้า เ้ายินดีที่จะถูกลงโทษตามกฎของจวน แต่ในเวลานี้เ้ากลับบอกว่าเ้าถูกปรักปรำ ทำไม? หรือเ้ายังคิดว่าที่นี่คือจวนกวงลู่ซื่อชิง? เ้าไม่เห็นจวนวาณิชเหม็นกลิ่นทองแดงของพวกเราในสายตาหรือ?”
ทันทีที่คำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าสิ้นสุดลง สีหน้าสีม่วงอมแดงของยวี้เอ๋อร์พลอยตะลึงพรึงเพริด ก่อนผิวหน้าจะซีดขาวปราศจากสีเื ยังไม่ทันได้ทุ่มเถียงกลับเห็นฮูหยินผู้เฒ่าสะบัดมืออย่างรุนแรง ทันใดนั้น ถ้วยกระเบื้องเคลือบสีขาวบนโต๊ะก็ตกลงกับพื้นทันที
เสียง ‘เพล้ง’ ดังสนั่นพร้อมน้ำร้อนกระเด็นไปทั่วพื้น น้ำชาในถ้วยสาดกระจายไปถึงเท้าของยวี้เอ๋อร์อย่างประจวบเหมาะ ด้วยความร้อนของน้ำชา ยวี้เอ๋อร์จึงสะดุ้ง้าถอยหนี ทว่ากลับถูกสาวใช้หลายคนจับตัวไว้ และไม่สามารถก้าวถอยหลังออกไปแม้แต่ครึ่งก้าว น้ำในถ้วยจึงเปื้อนส่วนบนของรองเท้าปัก และนางก็เปล่งเสียงร้อง “อ๊ะ” ด้วยความเ็ป เสียงกรีดร้องนั้นน่าสยดสยองจริงๆ
ภาพตรงหน้าทำให้มู่หรงฉิงสงสัยว่าฮูหยินผู้เฒ่าได้ฝึกฝนมาก่อนหรือไม่? น้ำร้อนในถ้วยจะถูกผลักไปที่เท้าของยวี้เอ๋อร์อย่างแม่นยำได้อย่างไร?
เมื่อหลายอึดใจก่อน นางยังนึกข้องใจว่า ในวันที่อากาศร้อนจัด ฮูหยินผู้เฒ่ากลับให้ชุ่ยเอ๋อร์ยกชาร้อนมาให้เสียอย่างนั้น สุดท้ายคงด้วยสาเหตุที่ว่านี่เอง
มู่หรงฉิงชื่นชมวิธีการมือหยิบเรื่อยเปื่อยไปตามใจชอบของฮูหยินผู้เฒ่าจริงๆ ตากแดดมาตลอดทั้งบ่ายแล้ว เดิมควรจะใช้น้ำเย็น
แต่นางกลับใช้น้ำร้อน อีกสักพักต้องถูกเฆี่ยนตีด้วยไม้กระดานอีกห้าสิบที... จุๆ ...ยวี้เอ๋อร์นะ ยวี้เอ๋อร์ ข้าหวังว่ามันจะไม่ทิ้งรอยแผลเป็นะ
มู่หรงฉิงยังคงชื่นชมวิธีการของฮูหยินผู้เฒ่าในใจ ทว่าทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงเกรี้ยวกราดของฮูหยินผู้เฒ่าอีกหน
“ไม่เห็นจวนเฉินของข้าในสายตา เพิ่มไม้กระดานใหญ่อีกห้าสิบที ห้ามกินข้าวเป็เวลาสามวัน ขังอยู่ในห้องเก็บฟืนเพื่อทบทวนความผิด”
พูดจบฮูหยินผู้เฒ่าก็เปล่งเสียงฮึอย่างหนัก ไม่ต้องรอให้ชุ่ยเอ๋อร์มาช่วยประคอง นางกลับลุกขึ้นเดินออกจากห้องทันที
มู่หรงฉิงอยากจะปรบมือพร้ะโกนชื่นชมน้ำเสียงและการตำหนิอย่างน่าเกรงขามของฮูหยินผู้เฒ่า
ความที่จะใส่ ไฉนกลัวไร้ข้ออ้าง[3]? ฮูหยินผู้เฒ่า้ากำจัดยวี้เอ๋อร์ ถึงกระนั้นนางย่อมไม่สามารถทำให้มู่หรงฉิงลำบากใจ ทว่านี่กลับเป็การจัดการที่เฉียบขาดเสียจริง
มู่หรงฉิงทึ่งในความสามารถการเข้าใจความคิดของผู้คนของฮูหยินผู้เฒ่า เมื่อครู่ก่อนนางเพิ่งจะคิดว่าเพิ่มอีกห้าสิบทีจะดีมากอยู่เลย ทันทีที่ความคิดผ่านพ้นไปก็เพิ่มอีกห้าสิบทีจริงๆ
นี่ช่างทำให้คนรู้สึกปีติยินดีจริงแท้
“เด็กดี อย่าเศร้าเลย” มู่หรงฉิงลดศีรษะลง ในใจยังคงมีความสุข แต่นางกลับได้ยินเสียงถอนหายใจของฮูหยินเฉิน
เศร้าหรือ? นางเศร้าหรือ? นางมีความสุขมากต่างหากล่ะ
โอ้! เมื่อครู่นางแค่กัดริมฝีปากเพื่อไม่ให้อารมณ์ดีๆ ของนางถูกคนพบเห็นก็เท่านั้น บิดผ้าเช็ดหน้าก็เพื่อกันไม่ให้มือของตนเองไปตบโต๊ะและะโร้องว่าดี
ทว่านางไม่คาดคิดเลยว่า การกระทำของนางกลับทำให้ฮูหยินเฉินเข้าใจผิดคิดว่านางเสียใจ
เมื่อคิดตรึกตรองอีกหนจึงพบว่า ใช่แล้ว! ‘ยวี้เอ๋อร์คนดี’ ของนางเพิ่งถูกเพิ่มบทลงโทษ นางควรจะเสียใจถึงจะถูก ด้วยความคิดนั้นครั้นลืมตาขึ้นอีกหน ดวงตาของนางจึงเต็มไปด้วยความเศร้า “ท่านแม่ ยวี้เอ๋อร์... ยวี้เอ๋อร์ไม่อาจทนได้...”
ยวี้เอ๋อร์ได้ยินคำพูดของมู่หรงฉิง นางก็ดิ้นรนมากขึ้นเรื่อยๆ “คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่ช่วยบ่าวด้วย บ่าวไม่สามารถทนไม้กระดานหนึ่งร้อยทีได้ ถ้าถูกเฆี่ยนด้วยไม้กระดานหนึ่งร้อยที บ่าวจะต้องตายอย่างแน่นอน…”
เ้าต้องตายหรือ? ข้า้าให้เ้าตายจริงๆ แต่แค่ยังไม่ถึงเวลาก็เท่านั้น
คิดในใจเช่นนั้นแต่มู่หรงฉิงกลับลุกขึ้นยืน ในจังหวะที่นางกำลังจะไปหายวี้เอ๋อร์ นางก็ถูกฮูหยินเฉินจับไว้ นางหันกลับไปมองด้วยความงุนงง แต่สายตาของฮูหยินเฉินไม่ได้มองนาง อีกฝ่ายมองไปทางพวกสาวใช้ที่จับตัวยวี้เอ๋อร์ “พวกเ้ายังรออะไรอยู่หรือ? ยังไม่ลากออกไปอีก อยากจะถูกเฆี่ยนด้วยไม้กระดานด้วยคนใช่หรือไม่?”
ด้วยเสียงคำรามของฮูหยินเฉินซึ่งดังก้องเทียบเท่ากับเสียงของฮูหยินผู้เฒ่า บรรดาสาวใช้ย่อมใกลัวและจับยวี้เอ๋อร์แน่นเพื่อป้องกันไม่ให้ยวี้เอ๋อร์ดิ้นอีกต่อไป หลังจากตอบว่า “บ่าวมิบังอาจ” บรรดาสาวใช้ก็ลากยวี้เอ๋อร์ที่ร้องไห้และกรีดร้องเดินออกไปด้านนอก
“พวกเ้าไปดูสิ อย่าทำอย่างขอไปทีอย่างเด็ดขาด สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็การลงโทษเล็กน้อยและตักเตือนเสียส่วนใหญ่ เป็การตักเตือนเพื่อจะได้ไม่ทำผิดพลาดอีก วันข้างหน้าถ้าทำผิดพลาดอีก ไม่ว่าใครก็ตาม จะต้องถูกลงโทษอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
ฮูหยินเฉินดึงมู่หรงฉิงกลับไปนั่งยังตำแหน่งเดิมขณะพูดกับบ่าวที่เหลืออยู่ด้วยเสียงทุ้มต่ำ
คำพูดเ่าั้สำหรับฝูงชนแล้วนับว่าร้ายแรงมาก พวกบ่าวต่างรีบตอบว่า “รับทราบ” ก่อนจะเดินออกไป
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงไม้กระดานกระทบร่างกายจึงดังแว่วมาจากสนามหญ้า หันไปมองเล็กน้อยก็เห็นยวี้เอ๋อร์ถูกกดลงบนม้านั่ง โดยมีเสี่ยวซือ[4] ร่างแข็งแรงกำยำสองคนยกแผ่นไม้กระดานกว้างใหญ่อันหนักอึ้งฟาดลงไป ก่อนที่จะยกขึ้นอีกและฟาดซ้ำลงบนตัวยวี้เอ๋อร์อย่างไม่หยุดชะงัก
“อ๊ะ คุณหนูใหญ่ช่วยด้วย... ยวี้เอ๋อร์... ยวี้เอ๋อร์ถูกปรักปรำ...”
ในระหว่างที่แผ่นกระดานกระทบร่างของนาง เสียงร้องของยวี้เอ๋อร์ก็ยิ่งน่าสังเวชมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากถูกเฆี่ยนตีเพียงยี่สิบทีกลับมีคราบเืปรากฏบนเสื้อผ้าของยวี้เอ๋อร์ พิสูจน์ให้เห็นว่าคนรับใช้สองคนนั้นใช้เรี่ยวแรงด้วยความแข็งแกร่งจริงๆ คิดว่าร่างกายของยวี้เอ๋อร์น่าจะมีรอยแตกไม่น้อย
ครั้นเห็นมู่หรงฉิงทอดมองออกไปด้านนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย ฮูหยินเฉินจึงถอนหายใจ และย้ายไปนั่งตรงข้ามมู่หรงฉิงเพื่อบังสายตาของเด็กสาว จากนั้นพูดว่า “เด็กดี เ้าอย่าโทษฮูหยินผู้เฒ่าที่จัดการข้ามหน้าข้ามตา เป็เพราะเมื่อสิบปีก่อน ฮูหยินผู้เฒ่าเกือบเสียชีวิตด้วยน้ำมือของสาวใช้ทรยศ สาวใช้คนนั้นเป็สาวใช้คนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่าและเป็คนที่ฮูหยินผู้เฒ่าไว้ใจมากที่สุด แต่ไม่นึกไม่ฝันว่าจะถูกคนที่ไว้ใจที่สุดทำร้าย เ้าอย่าโทษฮูหยินผู้เฒ่าที่ลงโทษรุนแรง เ้าจิตใจดีจริงๆ และประสบการณ์ของเ้าก็น้อยเกินไปด้วยเช่นกัน ฮูหยินผู้เฒ่ากลัวว่าเ้าจะถูกพวกบ่าวชั่วฆ่าตาย”
--------------------
[1] เวลาครึ่งถ้วยชา คือหน่วยนับเวลาแบบโบราณของจีน เป็เวลาราวห้าถึงเจ็ดหรือแปดนาที
[2] หลายเหริน ใช้สำหรับเรียกคนที่มีสถานะต่ำกว่าในการทำในสิ่งที่้า เช่น เ้านายเรียกบ่าวให้ทำอะไรบางอย่าง ฮองเฮาเรียกนางกำนัลให้ทำอะไรบางอย่าง
[3] ความที่จะใส่ ไฉนกลัวไร้ข้ออ้าง คือถ้า้าใส่ความใครแล้ว ก็ไม่กลัวว่าจะหาข้ออ้างไม่ได้
[4] เสี่ยวซือ คือบ่าวผู้ชายที่ยังไม่ได้อยู่ในวัยผู้ใหญ่