......ในห้องสำคัญหลังร้านฝูอันถัง บนร่างกายกู้อู่พาดเสื้อคลุมขนจิ้งจอกตัวใหญ่กำลังนอนตะแคงอยู่บนเตียงและอ่านจดหมายในมือ
ภายในห้องทั้งสี่มุม มีกระถางไฟกำลังลุกไหม้อย่างโชติ่ กู้จงที่ยืนอยู่ข้างเตียงควักผ้าเช็ดหน้าสีขาวราวหิมะจากในแขนเสื้อออกมาอย่างระมัดระวัง เช็ดเหงื่อที่ผุดออกมาบนหน้าผาก
“คุณชาย ฟู่เหรินเร่งรัดท่านให้กลับไปอีกแล้วหรือ?” กู้จงกล่าวถามยิ้มๆ
“อืม…” กู้อู่ตอบรับหนึ่งเสียง
“ปลายปีกำลังจะถึง ฟู่เหรินอยากให้ท่านกลับไปฉลองปีใหม่” ยังอีกเดือนกว่าถึงจะข้ามปีใหม่ คุณชายอยู่ข้างนอกมาครึ่งค่อนปีแล้ว ฟู่เหรินร้อนใจคิดถึงบุตรชาย จดหมายจากทางบ้านหมู่นี้จึงมักเร่งรัดคุณชายให้กลับเมืองหลวง
“แค่ก แค่ก…” กู้อู่วางจดหมาย ปิดริมฝีปากไอ ครู่หนึ่งจึงหยุดลง
“คุณชาย บ่าวยกน้ำแกงหัวไชเท้ามาให้ท่านอีกดีหรือไม่?” สีหน้ากังวลใจผุดขึ้นบนใบหน้ากู้จงพักหนึ่ง
นับแต่หลิวผิงนำหัวไชเท้าฉ่ำน้ำหนึ่งตะกร้ากลับมาจากหมู่บ้านวั้งหลินครั้งก่อน ในมื้ออาหารของกู้อู่จึงเพิ่มน้ำแกงหัวไชเท้าขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างทุกวัน เดิมทีควรตุ๋นเข้าคู่กับกระต่าย แต่น่าเสียดาย วันนั้น ตอนหลิวผิงกับเฉินเผิงเฟยตบม้าห้อตะบึงไปถึงสือหลี่เซียง กระต่ายของครอบครัวเจินจูขายไปจนเหลืออยู่เพียงสองตัวเท่านั้น
หลังเจรจาหารือกับเ้าของร้านเหนียนหนึ่งรอบ จึงซื้อกระต่ายมีชีวิตกลับมาเลี้ยงไว้
เมื่อวานซืน ให้แม่ครัวเชือดหนึ่งตัว ตั้งใจเคี่ยวน้ำแกงหนึ่งหม้อ ค่อยๆ ทานอย่างระวังอยู่สองวัน เนื้อกระต่ายทั้งหม้อไม่สามารถทานหมดในครั้งเดียว จึงทำได้เพียงเลือกเนื้อนุ่มออกมาสองชิ้นใส่ในถ้วยน้ำแกงทุกมื้อ
น้ำแกงหนึ่งถ้วย เนื้อกระต่ายสองชิ้น และหัวไชเท้าไม่กี่ชิ้นจึงกลายเป็อาหารหลักของกู้อู่ใน่หลายวันที่ผ่านมา
กลางวันซดน้ำแกงสี่ห้ามื้อ กลางคืนไอตื่นมาก็ทานอีกสองสามมื้อ น้ำแกงกระต่ายหัวไชเท้าหนึ่งหม้อจึงหมดลง
แม้ยังคงมีอาการไออยู่บ้าง แต่กู้อู่กลับััได้ถึงความแตกต่างอย่างช้าๆ
อาการไอเป็เืเปลี่ยนมาน้อยลง บางครั้งยังไอเป็เืออกมาบ้าง แต่ตรงกันข้ามกับการไอเป็เืหนักๆ เหมือน่ก่อนหน้านี้ นี่ทำให้ทุกคนล้วนดีใจเป็ล้นพ้นไม่หยุด
ยังไออยู่บ่อยๆ แต่ความรู้สึกเ็ปที่แทบทนไม่ได้กลับบรรเทาลงมาก
ที่ทำให้แปลกใจคือ เวลานอนหลับของกู้อู่นานขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย ่สองสามเดือนที่ผ่านมา หากกู้อู่สามารถหลับไปครึ่งชั่วยามได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว อย่างเมื่อคืนนี้ กู้จงได้คำนวณอย่างละเอียด หลังหนึ่งชั่วยามเต็มๆ กู้อู่จึงจะถูกอาการไอปลุกให้ตื่น
การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นเล็กน้อย เพียงพอให้ทุกคนเต็มไปด้วยความคาดหวังอย่างดีใจที่สุด หลายปีที่ผ่านมา การนอนหลับของกู้อู่แย่มาก แล้วยังสองตาโรยนอนไม่หลับตลอดทั้งคืนอยู่เป็นิจ กลิ่นหอมสงบจิตกับยาต้มสงบจิตทุกชนิดก็ไม่เคยขาด แต่ผลที่ได้กลับนับวันยิ่งแย่ลง
ไม่เคยคิดเลยว่า น้ำแกงกระต่ายหัวไชเท้าหม้อเล็กๆ จะสามารถมีสรรพคุณเช่นนี้ได้
“ไม่ต้องแล้ว เพิ่งซดไปไม่นานเอง” กู้อู่ส่ายหน้า ระดับการไอเช่นนี้สำหรับเขา ยังสามารถอดกลั้นไว้ได้
“โธ่… เหตุใดกระต่ายนี่เหลือเพียงหนึ่งตัวได้ ล้วนต้องโทษเฉิงเผิงเฟย หากไปเร็วกว่านี้อีกสักหน่อย กระต่ายก็ไม่ถูกขายไปเร็วอย่างแน่นอน” กู้จงย่นคิ้วแล้วถอนหายใจยาว “หรือไม่เช่นนั้น พวกเราลองซื้อกระต่ายของครอบครัวอื่นดู ดีหรือไม่ขอรับ?”
“ไม่แล้ว ครั้งก่อนที่เ้าซื้อหัวไชเท้ามาหนึ่งกอง ทานไปแล้วไม่มีความรู้สึกดีขึ้นสักนิด” กู้อู่ปฏิเสธข้อเสนอทันที
“… เช่นนี้ก็โทษบ่าวมิได้นะขอรับ” กู้จงกล่าวด้วยความน้อยใจ “ผู้ใดจะทราบ ว่าจะมีเพียงหัวไชเท้าของครอบครัวแม่นางน้อยเท่านั้นถึงจะเจริญอาหารท่านได้ ประหลาดนัก เหตุใดหัวไชเท้าของครอบครัวนางจึงพิเศษกว่าครอบครัวอื่นกัน?”
กู้อู่เงยหน้ามองพ่อบ้านแวบหนึ่ง เขาก็รู้สึกประหลาดใจ แต่ไม่ได้ว้าวุ่นมากมายนัก แม้เขาเพิ่งใช้ชีวิตมาสิบห้าปี แต่วนเวียนป่วยหนักจนเกือบตายมาหลายครั้ง ประสบกับความทุกข์ทรมานที่มนุษย์ทนไม่ได้มาหลายหน สำหรับความตายเขามองอย่างเ็าไปนานแล้ว บางทีดวงชะตาในยมโลกคงกำหนดไว้แล้วโดย์
นึกถึงั์ตาปราดเปรียวเ้าเล่ห์ของเด็กสาวขึ้นมา มุมปากยกโค้งรอยยิ้มเชื่อมั่นในตนเอง มีชีวิตชีวาและเปิดเผย บวกกับท่าทางคล่องแคล่วจนทำให้เขาอิจฉา
“หัวไชเท้ายังมีอีกสิบกว่าหัว แต่กระต่ายยังต้องรอให้สกุลหูส่งมา คุณชาย ไม่เช่นนั้น บ่าวไปดูที่บ้านสกุลหูอีกสักหน่อย ดูว่าจะสามารถเอากลับมาสักสองสามตัวได้หรือไม่?” กู้จงกระวนกระวายใจ เหลือเพียงกระต่ายหนึ่งตัว หากตุ๋นน้ำแกงอีกหนึ่งหม้อทานสองสามวันก็หมดแล้ว ไม่ง่ายเลยที่คุณชายจะทานอาหารที่มีเนื้อสัตว์เล็กน้อยได้ หรือว่าเขาควรจะหยุดไประยะหนึ่งดี?
“อากาศข้างนอกเป็อย่างไร?” กู้อู่ไม่ได้ตอบคำถามของกู้จง เพียงมองไปที่ประตูแล้วถาม หลายวันแล้วที่เขาไม่ได้ออกนอกห้อง ข้างนอกหิมะตกหรืออากาศปลอดโปร่งเขาล้วนไม่มีทางรู้ได้
“เช้านี้หิมะหยุดแล้ว ตอนบ่ายพระอาทิตย์ยังออกมาอยู่พักหนึ่ง พรุ่งนี้น่าจะเป็วันที่อากาศดี ขอรับ” กู้จงกล่าวตอบ
“อืม…” กู้อู่หยัดกายขึ้นนั่ง ลงจากเตียงแล้วรับเอารองเท้ามาสวม เดินช้าๆ ไปทางหน้าต่าง
“คุณชาย…คุณชาย… ข้างนอกยังหนาวอยู่มาก ตอนหิมะละลายจะหนาวกว่าหิมะตกนัก ท่านระวังด้วย…” กู้จงรีบหยิบเสื้อตัวใหญ่ขนจิ้งจอกที่ร่วงกองอยู่บนเตียงคลุมไหล่ให้เขา
กู้อู่ดันหน้าต่างออกเบาๆ เปิดแง้มไว้ครึ่งหนึ่ง ลมหนาวเยือกเย็นและเงียบเหงาพัดผ่านเข้าใบหน้า กวาดเอาอากาศที่อบอุ่นแต่ขุ่นมัวภายในห้องออกไป
ในลานบ้าน หิมะที่กองปกคลุมบนพื้นถูกกวาดสะอาด แต่ปลายกิ่งของต้นไม้กับบนชายคาบ้านหิมะยังคงปกคลุมทั้งหนาและหนัก เมื่อมีลมหนาวพัดผ่านบางครั้ง ก้อนหิมะที่ติดบนปลายกิ่งไม้ก็ร่วงกระจายลงมาอย่างไม่ตั้งใจ
“คุณชาย หิมะนี่อย่างน้อยยังต้องสองสามวันถึงจะละลายหมด หิมะละลายทำให้อากาศหนาวถึงกระดูก ลมหนาวจะยิ่งแทรกซึมเข้าร่างกาย ปิดหน้าต่างดีกว่ากระมัง ต้องความหนาวแล้วจะไม่ดีนะขอรับ” ลมหนาวพรั่งพรูเข้ามาทางหน้าต่างไม่ขาดสาย ใบหน้ากู้จงวิตกกังวลแต่ไม่กล้าเอื้อมมือไปปิดหน้าต่าง
“แค่ก แค่ก…” อุณหภูมิต่ำเย็นฉ่ำพัดผ่านใบหน้ากู้อู่ ทำให้เกิดอาการไอดังที่คาดไว้
กู้อู่หมุนกายหันหลัง ค่อยๆ เดินกลับไปนั่งลงบนขอบเตียง
กู้จงปิดหน้าต่างทันที
ฝืนใจตนเองเกินไปนัก
มุมปากกู้อู่ฝืนยิ้มออกมา ยืดเวลาร่างกายที่อ่อนแอออกไปเช่นนี้ ตนเองไม่มีสิทธิที่จะเอาแต่ใจได้เลยจริงๆ
“คุณชาย ท่านยังมิได้ตอบจดหมายฟู่เหรินเลย ไม่เช่นนั้น เขียนจดหมายตอบฟู่เหรินก่อนดีหรือไม่” สังเกตเห็นความรู้สึกของกู้อู่ที่หดหู่ลง ลูกตาดำกู้จงก็สั่นไหวเล็กน้อย แล้วจึงเปลี่ยนหัวเื่สนทนา
“อืม…” กู้อู่พยักหน้าลุกขึ้น แล้วนั่งลงที่หน้าโต๊ะหนังสือ ทำจากไม้เนื้อแข็งสีเหลืองมีกลิ่นหอมที่อยู่ด้านข้าง
กู้จงเร่งรีบไปข้างหน้าจัดวางพู่กัน หมึก กระดาษและจานฝนหมึกให้เรียบร้อย ทันทีหลังจากนั้นจึงหยิบแท่งหมึกขึ้นมาฝนกับแท่นหินซงฮวาอย่างชำนาญ
มองที่กระดาษชั้นดีตรงหน้าที่จัดวางไว้เรียบร้อย กู้อู่กลับลงมือเขียนไม่ได้
ความหมายในจดหมายมารดา ้าให้เขากลับไปฉลองปีใหม่ให้ได้จะดีที่สุด เขาออกมาไกลบ้านนานครึ่งค่อนปี ท่านย่าท่านพ่อและพี่น้องผู้ชายล้วนเป็ห่วงเขายิ่งกว่าอะไร โหยวอวี่เวยลูกผู้น้องที่เป็หญิงมาหาหลายครั้งแล้ว สอบถามข่าวคราวของเขาอยู่ตลอด มารดาถามเขาว่าควรเอาที่อยู่ในตอนนี้ของเขาบอกแก่นางหรือไม่
......กู้อู่นามว่ากู้ฉี ชื่อเล่นว่าซิวไป่ เป็บุตรคนเล็กของกงปู้ซ่างซู [1] นามว่ากู้หลิน ในจำนวนนั้นมีเพียงกู้เจวี๋ยบุตรชายคนโตกับกู้ฉีบุตรชายคนเล็กที่เกิดจากภรรยาหลวงนามว่าอันซื่อ นอกนั้นบุตรชายหนึ่งบุตรสาวห้าล้วนเกิดจากอนุ
กู้เจวี๋ยบุตรชายคนโตอายุยี่สิบห้าปี แต่งงานมีบุตรไปนานแล้ว ใต้หัวเข่าฟูมฟักเลี้ยงดูหนึ่งบุตรชายและหนึ่งบุตรสาว [2]
ส่วนบุตรคนเล็กคือกู้ฉี เพิ่งจะอายุสิบห้าปี ล้มหมอนนอนเสื่อป่วยอ่อนแอตลอดปี ตอนที่อันซื่อผู้เป็มารดาอุ้มท้องเขาอยู่ ประสบกับเหตุการณ์ตื่นใทำให้คลอดก่อนกำหนด จึงทำให้ั้แ่เด็กก็เติบโตขึ้นมาอยู่กับการแช่ในหม้อต้มยาจีน
แม้กู้หลินจะมีภรรยาหลวง อนุ และบุตรชายบุตรสาวมากมาย แต่อันซื่อซึ่งฐานะเดิมมาจากตระกูลเก่าแก่และร่ำรวยมีแผนการกลอุบายไม่เคยขาด กุมอำนาจที่แท้จริงของหลังบ้านจวนกู้อยู่ในมือไว้แน่น นอกจากภรรยาหนึ่งคนและให้กำเนิดบุตรชายที่อ่อนแอแล้ว ภรรยาน้อยที่เหลือก็ให้กำเนิดบุตรสาวทั้งหมด
อันซื่อมาจากตระกูลเก่าแก่และร่ำรวยสูงศักดิ์ งดงามและเฉลียวฉลาดั้แ่เด็ก แต่งกับกู้หลินในตอนนั้นยังพอนับว่าเป็การยินยอมแต่งงานอยู่ ในระยะแรกที่เพิ่งแต่งงาน กู้หลินรักและทะนุถนอมตามใจนางอย่างมาก หลังให้กำเนิดบุตรชายคนโตอย่างกู้เจวี๋ย ก็ใช้ชีวิตอย่างราบรื่นและสมปรารถนามากยิ่งนัก
จะมีแต่ความเสียใจอย่างเดียวเท่านั้นคือ ตอนให้กำเนิดกู้เจวี๋ยบุตรชายคนโตร่างกายได้รับาเ็ ในระหว่างสิบปีที่ผ่านมา ต้องมองดูบุตรชายและบุตรสาวของอนุโผล่ออกมาทีละคนๆ แต่ในท้องของตนเองกลับไม่เคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย อดรู้สึกเป็กังวลไม่ได้
จนกระทั่งกู้เจวี๋ยบุตรชายคนโตอายุสิบปี อันซื่อจึงอุ้มท้องที่สองอย่างเต็มไปด้วยความดีอกดีใจ
ตั้งท้องขึ้นมาไม่ง่ายเลย แน่นอนว่าอันซื่อปฏิบัติตนอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าให้เกิดความผิดพลาดได้แม้ครึ่งส่วน
ถึงแม้อันซื่อจะระวังครั้งแล้วครั้งเล่า อุบัติเหตุไม่คาดคิดก็ยังเกิดขึ้น ่ตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนกว่า อันซื่อเดินเล่นอยู่ในลานบ้าน ถูกแมวป่าวิ่งเข้ามาทำให้ใ พอไม่ทันระวังเพียงนิดจึงลื่นหกล้ม ตอนนั้นร่างกายส่วนล่างมีเืออก ท้องเ็ปเหมือนบิดทันที
หลังคลอดเด็กออกมาด้วยความลำบาก มองดูทารกที่เสียงร้องดั่งลูกแมวน้อยและร่างกายอ่อนแอ อันซื่อก็ทรมานใจเสียจนน้ำตาดั่งสายฝน [3]
ผ่านมาหลายปีเช่นนี้แล้ว อันซื่อมักจะคิดว่าเป็เพราะความประมาทของตนเองที่ทำให้กู้ฉีป่วยล้มหมอนนอนเสื่ออยู่นานนับปี ไม่สามารถเติบโตแข็งแรงเช่นเด็กปกติได้ ใจของอันซื่อเ็ปราวกับถูกมีดกรีดก็ไม่ปาน
หลังจากนั้น ส่วนใหญ่แล้วอันซื่อได้เอาความรักทั้งหมดทุ่มเทให้กับกู้ฉี ผลลัพธ์คือ กู้เจวี๋ยบุตรชายคนโตไม่ชอบกู้ฉีอย่างมากอยู่่หนึ่ง สาเหตุช่างเรียบง่าย ก่อนที่กู้ฉีกำเนิดขึ้น อันซื่อให้ความสนใจไม่ขาดตกบกพร่องรักใคร่เอ็นดูต่อกู้เจวี๋ย แต่ไม่เคยคิดเลยว่า กู้ฉีน้องชายที่อ่อนแอขี้โรคกำเนิดออกมากลับแย่งเอาความรักความห่วงใยและความใส่ใจทั้งหมดไป จนกระทั่งหลังจากกู้เจวี๋ยแต่งงานมีบุตรของตนเอง จึงได้เข้าใจการวางตัวเป็บิดามารดา แล้วค่อยๆ ปล่อยวางอคติที่มีต่อกู้ฉีลง
แต่คนสองคนที่ไม่ได้ใกล้ชิดกันั้แ่เด็ก ไม่ค่อยได้อยู่รวมกันมากนัก แม้กู้เจวี๋ยจะมีใจอยากใกล้ชิด แต่ความสัมพันธ์ของสองพี่น้องยังคงไม่หนาวไม่ร้อน [4]
ความรักความผูกพันของกู้ฉีกับผู้เป็บิดาอย่างกู้หลินก็ไม่สนิทกันนัก ตลอดทั้งปีกู้ฉีพักผ่อนฟื้นฟูร่างกายอาศัยอยู่ภายในลานบ้านของตนเอง มีโอกาสน้อยนักที่จะได้เข้าไปถามสารทุกข์สุกดิบในบ้าน ส่วนกู้หลินอยู่ในตำแหน่งและฐานะสำคัญ มักจะยุ่งอยู่กับงานไม่หยุด ไม่มีเวลามาสนใจและอยู่เป็เพื่อนบุตรชายคนเล็กที่อ่อนแอขี้โรคมากนัก มีเพียงบางครั้งจะหาเวลาว่างมาเยี่ยมเยือนเขาเล็กน้อย
จวนสกุลกู้ที่ใส่ใจกู้ฉีที่สุด ย่อมต้องเป็อันซื่อ ที่วิ่งวุ่นจัดการงานภายในจวนให้เรียบร้อยอยู่ทุกวัน แล้วจึงมุ่งตรงมาบริเวณที่พักของกู้ฉี ไม่ว่าจะหน้าร้อน หน้าหนาว ลมแรงหรือฝนตก หนึ่งวันล้วนไม่เคยหยุดพัก ความรักและจริงใจที่มีต่อบุตรอย่างหนักหน่วงนี้ จึงใช้เวลาอยู่เป็เพื่อนกู้ฉีที่อ่อนแอขี้โรคด้วยจิตใจที่เศร้าหมองและแห้งแล้งมาเป็เวลานาน
อันซื่อรักกู้ฉีเป็อย่างมาก ขอแค่สิ่งใดที่กู้ฉี้า ก็จะทุ่มเทหามาให้อย่างสุดความสามารถ ส่วนเื่ใดที่กู้ฉีอยากทำ อันซื่อก็ไม่เคยขัดขวาง ขอเพียงให้บนใบหน้าของเขาที่ป่วยอ่อนแอและซูบผอมมีรอยยิ้มได้ก็พอ
ด้วยเหตุนี้ แม้สภาพร่างกายกู้ฉีจะแย่ลง กลับยังเรียกร้องจะไปเที่ยวห่างไกลเมืองหลวง ทั้งใจอันซื่อไม่อาจปล่อยไปได้ แต่ยังตอบตกลงอย่างมีน้ำคลอในดวงตา หากไม่ใช่ว่าอันซื่อยังต้องควบคุมอาหารการกินและจัดการหน้าที่ต่างๆ ภายในจวนสกุลกู้ นางก็แทบอยากจะเดินทางมาเป็เพื่อนและดูแลเขาอย่างดีที่สุด
หลังจัดการคนสนิทที่ไว้ใจให้ติดตามไปด้วยเรียบร้อย อันซื่อก็ไปส่งกู้ฉีอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก หลังจากนั้นก็เริ่มส่งจดหมายไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบสิบวันหนึ่งฉบับ ไม่เคยขาดตอน
ท่านหมอเหวยที่ติดตามเดินทางไปด้วย ยังต้องเขียนจดหมายรายงานสภาพร่างกายของกู้ฉีตอบกลับอย่างละเอียดทุกสิบวันเช่นกัน
แม้พฤติกรรมของกู้ฉีที่มีต่อมารดาจะจำใจอย่างมาก แต่ทุกครั้งเขาก็ยังตอบกลับจดหมาย บนโลกใบนี้ที่จะไม่ขีดเส้นกั้นความรักที่มีต่อเขาได้ คงมีเพียงมารดาอย่างอันซื่อเท่านั้น
กู้ฉีไตร่ตรองและใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงยกพู่กันเขียนจดหมายตอบกลับ
เชิงอรรถ
[1] กงปู้ เป็ตำแหน่งกระทรวงโยธาธิการ รับผิดชอบงานโยธาของรัฐ จ้างช่างและคนงานชั่วคราว ผลิตอุปกรณ์ของรัฐ ดูแลเส้นทางคมนาคม ดูแลมาตรฐานการชั่งตวงวัด ตลอดจนระดมทรัพยากรจากหัวเมือง ส่วน ซ่างซู เป็หนึ่งในแผนกหน่วยงานที่สูงที่สุดในระบบข้าราชการ มีหน้าที่หลักในทางธุรการมากกว่าบริหารรัฐกิจ ซ่างซูจึงเป็ตำแหน่งเ้ากระทรวง ที่ควบคุมตำแหน่งอีกหกตำแหน่ง ได้แก่ กงปู้ ปิงปู้ ลี่ปู้ สิงปู้ หลี่ปู้ และฮู่ปู้
[2] ใต้หัวเข่าฟูมฟักเลี้ยงดูหนึ่งบุตรชายหนึ่งบุตรสาว ในยุคโบราณมีเด็กน้อยวิ่งรอบหัวเข่า เป็ความสุขของครอบครัวที่ได้อยู่รวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นว่าพวกเขาให้กำเนิดเลี้ยงดูลูกๆ สองคนด้วยความอบอุ่นเป็อย่างดี
[3] น้ำตาดั่งสายฝน หมายถึง น้ำตาไหลราวกับฝนตกห่าใหญ่ อุปมาถึงความเศร้าเสียใจอย่างมาก
[4] ไม่หนาวไม่ร้อน หมายความว่า ความร้อนไม่สูงไม่ต่ำ ความร้อนเย็นกลางๆ เป็การอุปมาว่า มีทัศนคติต่อกันกลางๆ ธรรมดา