ซือถูเวยพยักหน้า “นางก็คือภรรยาของถงจือแห่งหานโจวเรา ใต้เท้าหลัว ใช่แล้ว เ้าเคยพบบุตรชายของพวกเขาแล้วหรือยัง? ”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินก็อมยิ้มพยักหน้า “เ้าหมายถึงหลัวเผิงสินะ ข้าเคยพบอยู่ครั้งหนึ่ง เพราะก่อนหน้านี้มีโอกาสได้ไปล่าสัตว์ด้วยกันที่ชานเมือง ทว่า อย่าให้ข้าพูดเลย เขาเป็หนุ่มน้อยที่หล่อเหลา สง่างาม ทั้งยังเก่งไม่ว่าจะบุ๋นหรือบู๊ ส่วนนิสัยนั้น คนมีมารยาทยิ่ง นิสัยก็ดี นอกจากนี้ ฮูหยินหลัวก็ดูเป็คนที่เข้าหาง่าย หากเ้าแต่งให้หลัวเผิงจริงๆ ข้ามั่นใจว่า มารดาของเขาจะต้องดีกับเ้ามากอย่างแน่นอน” เมื่อพูดถึงตรงนี้ อวิ๋นซีก็อดที่จะล้อเลียนซือถูเวยไม่ได้
เมื่อซือถูเวยได้ฟังรายละเอียดทั้งหมดก็เสมองไปทางอวิ๋นซีทีหนึ่ง “นี่เ้า ล้อเลียนข้าใช่หรือไม่ ตัวเ้าโชคดีนักที่ได้แต่งให้ท่านอ๋อง บุรุษที่แสนดี จึงไม่แปลกที่เ้าจะพูดเช่นนี้ แต่สำหรับข้า ใครจะไปรู้ว่าหลัวเผิงผู้นั้นจะหน้ากลมหรือว่าหน้าเหลี่ยม วันนี้ที่ข้ามาก็เพราะอยากให้เ้าช่วยคิดหาวิธี แต่เ้ากลับมาล้อข้าเล่นเสียได้”
อวิ๋นซีเห็นว่าตอนที่อีกฝ่ายพูดถึงหลัวเผิง สีหน้าเผยให้เห็นความเอียงอายอยู่หลายส่วนก็สามารถเข้าใจได้ในทันที อันที่จริงซือถูเวยเองก็คงคาดหวังกับงานมงคลครั้งนี้อยู่บ้างเหมือนกันกระมัง เพียงแต่ติดที่ไม่รู้ว่าหลัวเผิงนั่นเป็คนเช่นไร ดังนั้น เหตุที่มาที่นี่คงหวังจะมีใครสักคนช่วยโน้มน้าวให้ตนยอมตกลงปลงใจโดยไร้ซึ่งความเคลือบแคลง
“เวยเวย สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือตัวเ้าจักต้องพึงพอใจในอีกฝ่ายด้วย เพราะเมื่อแต่งงานไปแล้ว คนสองคนจะต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน หากเ้าไม่มีความรู้สึกใดต่อหลัวเผิง ต่อให้ข้าจะบรรยายว่าเขาดีเลิศสักเพียงใดก็นับว่าไร้ประโยชน์แล้ว ทุกการตัดสินใจต้องขึ้นอยู่กับตัวเ้าเป็สำคัญ” อวิ๋นซีมองซือถูเวย ไม่ว่าจะเป็หญิงใดล้วนต้องมีหัวใจของสาวน้อย เพียงแต่นางไม่อยากให้สหายตนต้องเลือกเดินตามเส้นทางเก่าที่นางเคยเลือกเดินมาก่อน
ซือถูเวยมองอวิ๋นซีด้วยความสับสน จากนั้นเป็อวิ๋นซีที่พูดต่อ “จริงๆ แล้วข้าคิดว่า หากตระกูลหลัวและตระกูลซือถูล้วนมีใจคิดอยากจะเกี่ยวดองกัน ตัวข้าย่อมช่วยจัดการให้เ้ากับหลัวเผิงได้พบกันสักครั้งได้ เพื่อที่พวกเ้าสองคนจะได้ตัดสินใจกันเอง ว่าจะยอมรับงานมงคลเชื่อมสัมพันธ์นี้หรือไม่”
“ได้หรือ? ” ซือถูเวยมีความคาดหวังอยู่สองสามส่วน แต่ยังกังวลว่าหากเื่นี้ถูกท่านปู่ของตนรู้เข้า ไม่แน่ตนก็อาจจะถูกดุด่า ถึงกระนั้นด้วยเื่นี้ก็ยังมีความจริงอีกประการที่นางไม่กล้าบอกอวิ๋นซี นั่นก็คือญาติผู้น้องฝั่งบิดาเองก็จ้องจะเกี่ยวดองกับคนตระกูลหลัวนี้อยู่เช่นกัน
อวิ๋นซีพยักหน้า “เหตุใดจะไม่ได้เล่า? ข้าจะให้เ้าได้เจอกับหลัวเผิงที่จวนอ๋องนะ มิใช่ด้านนอกเสียหน่อย ด้วยเื่นี้ ต่อให้จะมีคนลือออกไปก็คงไม่มีใครกล้าว่าอันใดหรอก อีกประการ มีข้าอยู่ด้วย หากใครกล้าพูดอันใดมั่วๆ ข้าจักฉีกปากคนผู้นั้นเสีย”
“อาซี การมีเ้าช่างดีเหลือเกิน” ซือถูเวยยิ้มบางๆ แล้วพูด “ข้าเพียงแต่อยากจะหาคำอธิบายให้ตนเองสักหน่อย เพราะข้าไม่อยากแต่งออกไปให้วันหน้าต้องมาเสียใจในภายหลัง”
“เ้ามีความคิดเช่นนี้ก็ถือเป็เื่ที่ถูกต้องแล้ว ดังนั้น เื่ของหลัวเผิงนั่นก็ปล่อยให้เป็หน้าที่ข้าเถอะ เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะส่งเทียบเชิญให้เ้ามาเยือนจวนอ๋อง และให้พวกเ้าทั้งสองได้พบปะเจอหน้ากันเสียสักหน่อย”
เมื่อส่งซือถูเวยกลับไปแล้ว นางก็รีบลุกขึ้นผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ และหลังจากที่ขบคิดครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายก็ให้เพ่ยเอ๋อร์ส่งเทียบเชิญไปให้ตระกูลหลัวในนามของจวินเหยียน เพื่อเชิญหลัวเผิง และหลัวซืออวี่มาที่จวน
ในตอนค่ำของวันเดียวกัน ตอนที่จวินเหยียนกลับมาถึงจวน นางจึงได้บอกเื่นี้แก่เขา ซึ่งชายหนุ่มทำเพียงอมยิ้มให้โดยไม่ว่ากล่าวสิ่งใด ทั้งยังยินดีปล่อยให้นางได้กระทำตามใจตน
เช้าวันที่สอง หลัวเผิงพาน้องสาวมาที่จวนอ๋อง และเป็เพ่ยเอ๋อร์ที่ไปรับหลัวซืออวี่เข้ามา ก่อนจะพาไปยังเรือนชั้นสามของจวนอ๋อง ซึ่งในเรือนชั้นสามยามนี้ยังมีซือถูเวยที่กำลังเล่นกับหวานหว่านอยู่อีกคนหนึ่งด้วย ในสายตาของอวิ๋นซี การแต่งงานไม่ใช่เื่ของคนสองคน แต่เป็เื่ของสองตระกูล ดังนั้น หลัวซืออวี่ในฐานะที่เป็บุตรสาวเพียงคนเดียวของฮูหยิน หรือก็คือน้องสาวแท้ๆ ของหลัวเผิง ไม่ว่าอย่างไรคนย่อมสำคัญกับพวกเขายิ่ง
หากว่าพี่สะใภ้กับน้องสามีสามารถคบค้าสมาคมกันได้ดี จัดการความสัมพันธ์ระหว่างกันให้ดีได้ก็ดี เพราะเื่นี้ถือเป็เื่ที่สำคัญยิ่ง คนจะเป็ตัวช่วยของซือถูเวยที่ในวันหน้าจะแต่งเข้าตระกูลหลัว อย่างไรเสีย ในกาลก่อนครั้นนางอาศัยอยู่ในเมืองหลวงก็ได้เห็นความไม่ลงรอยระหว่างพี่สะใภ้และน้องสามีมามากมาย โดยส่วนใหญ่แม่สามีก็มักจะเข้าข้างบุตรสาวแท้ๆ ของตน มิใช่ลูกสะใภ้ที่แต่งเข้ามาจากด้านนอก
ณ ห้องหนังสือ
เดิมทีหลัวเผิงนึกว่าตนต้องมาพบเพียงหานอ๋อง จึงคิดไม่ถึงว่าพระชายาเองก็จะอยู่ที่นี่ด้วย ทันทีที่เห็นเป็เช่นนี้ เขาก็อึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะก้าวไปด้านหน้าเพื่อทำความเคารพ “กระหม่อมหลัวเผิง คารวะท่านอ๋อง พระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
จวินเหยียนอืมไปเสียงหนึ่ง จากนั้นจึงถามไถ่เื่ราวเล็กน้อยเกี่ยวกับกองทัพของกองกำลังป้องกันหานโจวที่เขาสังกัดอยู่ หลัวเผิงเองก็ตอบทุกคำถามด้วยวาจาฉะฉาน และสั้นกระชับได้ใจความ คนไม่พูดมากเกินความจำเป็ เมื่อพิศดูจากการพูดจาก็รู้ได้แล้วว่า ทั้งการทำงานและการใช้ชีวิตนั้น หลัวเผิงเป็คนมีความสามารถ เด็ดขาด จัดการสิ่งใดได้อย่างรอบคอบยิ่ง
รอกระทั่งหลัวเผิงรายงานเื่ราชการเสร็จสิ้นแล้ว จวินเหยียนก็ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า “ชายาข้ายังมีเื่ที่อยากจะพูดคุยกับเ้า เช่นนั้นพวกเ้าก็อยู่สนทนากันที่นี่สักครู่ ส่วนเที่ยงนี้พวกเ้าสองพี่น้องก็อยู่กินอาหารด้วยกันที่จวนอ๋องนี่ก่อนแล้วค่อยกลับเถิด”
หลัวเผิงคิดไม่ถึงว่าพระชายาจะมีเื่ที่อยากคุยกับตน ทั้งที่ตัวเขาก็จำได้ว่าตนมิได้สนิทสนมอันใดกับอีกฝ่ายมากมายนัก อีกทั้งนางที่เป็สตรีเรือนหลัง กับตนที่เป็บุรุษจากตระกูลอื่น การที่ต้องอยู่ด้วยกันกับพระชายาสองต่อสองเช่นนี้จะดีจริงๆ หรือ?
ไม่ว่าเขาจะคิดเช่นไร ยามนี้ท่านอ๋องก็เดินออกไปนอกห้องหนังสือแล้ว
อวิ๋นซีมองไปยังหลัวเผิง ยิ้มถาม “หลัวเผิง ข้าได้ยินมาว่าที่บ้านเ้าคิดหาสตรีแต่งเข้าไว้ให้เ้าแล้ว? ” อีกฝ่ายเป็คนทำสิ่งใดหมดจดรวดเร็ว ตัวนางเองก็มิใช่คนอ้อมค้อมมากความ ดังนั้นจึงพูดเข้าประเด็นเลย
“พ่ะย่ะค่ะ” ถึงแม้หลัวเผิงจะประหลาดใจว่าเหตุใดอวิ๋นซีถึงได้ถามเื่นี้ แต่ก็ยังเป็เด็กดีตอบออกไป
อวิ๋นซีพยักหน้า “อืม เช่นนั้นเ้ามองงานแต่งงานครั้งนี้อย่างไร? ” นางไม่ได้สนใจว่าหลัวเผิงจะคิดอย่างไร ขอเพียงตนสามารถ่ชิงความสุขมาให้ซือถูเวยได้สักส่วนหนึ่ง แม้นี่จะกะทันหันเกินไปแล้วจะอย่างไร เพราะบทเรียนจากชาติก่อนช่วยสอนให้รู้ว่า การใช้ชีวิตสงบเสงี่ยมยอมคนจนเกินไป สุดท้ายมีแต่ต้องพบเจอกับจุดจบที่ไม่ตายดี ตอนนี้ นางเพียงอยากให้ตัวเองได้ใช้ชีวิตตามแบบที่ใจชอบไปพร้อมๆ กับการแก้แค้น
หลัวเผิงเป็จำพวกคนที่อวิ๋นซีคิดไว้จริงๆ ทั้งยังประหลาดใจยิ่งเมื่อได้ยินนางถามเช่นนี้ ชั่วขณะนั้นเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบเช่นไร “คำสั่งของบิดามารดา คำพูดของแม่สื่อพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็แปลว่า เ้าไม่ได้มีความคาดหวังต่อภรรยาในอนาคตของเ้าแม้แต่น้อยเลยหรือ? เ้าไม่กังวลหรือว่าอีกฝ่ายจะเป็คนโอหังอวดดี หรือเป็คนไร้เหตุผลที่เมื่อแต่งเข้ามาแล้วก็จะปฏิบัติต่อมารดาและน้องสาวของเ้าไม่ดี”
เมื่อหลัวเผิงได้ยินคำของอวิ๋นซี ชั่วขณะนั้นก็เข้าสู่ความเงียบงัน ปัญหาเหล่านี้เขาไม่เคยคิดมาก่อนจริงๆ ทั้งยังคิดเพียงว่า มารดาตนน่าจะคัดเลือกแม่นางที่งดงามนิ่มนวล และมีนิสัยดี ไม่อารมณ์ร้าย
“ดูท่า ตัวเ้าคงยังไม่เคยคิดมาก่อนว่าภรรยาของตนจะเป็คนเช่นไร ถึงขนาดที่อาจพูดได้ว่า เ้าไม่เคยวาดฝันอนาคตของตนเอาไว้เลย” อวิ๋นซีกล่าวเรียบๆ “ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในเมืองหลวง เ้าเคยมีเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ หรือว่าแม่นางที่ชอบพออยู่หรือไม่? หากมี ข้าคิดว่างานแต่งงานครั้งนี้ที่บิดามารดาเ้าพูดถึงนั้น เ้าก็อย่าได้ตอบตกลงเลยจะดีกว่า เพราะนั่นย่อมไม่ดีทั้งต่อตัวเ้า และสตรีที่กำลังจะกลายเป็คู่หมั้นหมายของเ้า”
เมื่อได้ยินคำชี้แนะนั้น หลัวเผิงก็เข้าสู่ความเงียบงัน แน่นอนว่าเหมยเขียวม้าไม้ไผ่นี้ย่อมต้องมี แต่เขาเห็นหญิงผู้นั้นเป็เพียงน้องสาวมาโดยตลอด ส่วนเื่ความคาดหวังต่อภรรยา เขาเพียง้าสตรีที่อ่อนโยน และเอาใจใส่เฉกเช่นมารดาตน ทั้งยังสามารถอยู่ร่วมกับเขาอย่างปรองดองรักใคร่กันไปจนแก่เฒ่าได้เหมือนกับบิดามารดา
“วันนี้ที่รั้งเ้าไว้ เพียงแต่อยากให้เ้าใคร่ครวญเื่เหล่านี้ให้ดี ไม่ว่าอย่างไรบิดาเ้าก็เป็เสมือนมือซ้ายขวาของสามีข้า หากในบ้านเ้าปรองดองกันได้ บิดาเ้าก็จะสามารถทุ่มเทเวลาเพื่อช่วยจัดการเื่ราวต่างๆ ในหานโจวได้มากขึ้น ส่วนตัวเ้าเองก็เป็ถึงผู้บัญชาการกองทหารแห่งกองทัพป้องกันหานโจว การมีบ้านที่รักใคร่ปรองดองย่อมสำคัญยิ่งต่อพวกเ้าเช่นกัน” ชั่วขณะนั้นนางไม่อยากบอกเื่ที่ซือถูเวยอยู่ที่นี่ให้หลัวเผิงทราบ เพราะวาสนาในการพบกันครั้งแรกนั้นสำคัญยิ่ง จำเป็ต้องให้พวกเขาได้ค้นพบกันและกันด้วยตนเอง