แคว้นหนานเย่า เดือนสี่ ปีเสี้ยวเหวินที่ยี่สิบ
เดือนสี่ของเมืองหลวงกำลังอยู่ในฤดูกาลที่อากาศอบอุ่น เหล่าบุปผาพากันผลิบาน แต่ในตำนักเมฆาล่องแห่งจวนรัชทายาทกลับหนาวเหน็บข่มขวัญผู้คน ไม่อาจรับรู้ได้ถึงบรรยากาศแห่งฤดูใบไม้ผลิแม้เพียงนิด
ห้องบรรทมภายในตำหนักเมฆาล่องมีหญิงสาวที่ดวงหน้าซีดเผือดและซูบผอมจนน่ากลัวกำลังนอนเอนกายอยู่ นางเหม่อมองไปยังม่านสีเรียบด้วยดวงตาล่องลอย มือที่ผอมเสียจนเห็นกระดูกค่อยๆ ลูบไปบนท้องนูนสูงอย่างแ่เบา ไม่รู้เหมือนกันว่าชีวิตเยี่ยงนี้จะสิ้นสุดเมื่อไร ซ้ำร้ายนางที่เป็วิชาแพทย์ แต่กลับไม่อาจรักษาให้ตัวเองได้ นี่คือความเศร้าสลดอย่างใหญ่หลวงของชีวิต
อีกทั้ง นางยังลืมไปแล้วว่าตัวเองไม่ได้ส่องกระจกมานานเพียงไรแล้วด้วยเพราะไม่กล้าเผชิญหน้ากับตัวเองที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้...เมื่อสิบเจ็ดปีก่อน นางได้ย้อนเวลามาเป็บุตรสาวสายตรงของจวนเฉียวกั๋วกง [1] แห่งแคว้นหนานเย่าที่มีอายุเพียงสองขวบ เป็คุณหนูมีตระกูลผู้เป็ศูนย์รวมของความรักนับพันนับหมื่น
ต่อมาเมื่อนางอายุสามขวบก็มีคารมคมคาย กิริยาท่วงท่างดงามอ่อนช้อย เป็คุณหนูอวิ๋นซีแห่งตระกูลเฉียวที่หญิงสาวทั่วหล้าพากันอิจฉา ชายหนุ่มทั่วผืนพิภพพากันใฝ่ฝันหา ครั้นอายุสิบห้าถึงวัยปักปิ่น [2] นางก็ได้แต่งให้ชายผู้เป็ที่รักอย่างโอวหยางเทียนหัว และได้กลายเป็หัวหวางเฟย [3] แห่งแคว้นหนานเย่า
ทันทีที่คิดถึงชายผู้นั้น หัวใจนางพลอยสั่นไหว มุมปากสวยค่อยๆ ยกขึ้น “ลูกเอ๋ย เ้าต้องเข้มแข็ง แม่และเสด็จพ่อของเ้าต่างรอคอยการมาถึงของเ้า”
ในเวลาเดียวกันนั้นสาวน้อยวัยแรกแย้มสวมกงจวง [4] รัดเอวสีฟ้าอ่อน ในมือถือช่อดอกไม้งามสีสันสดใส นางแย้มยิ้มพลางเดินเข้ามาจนถึงข้างเตียงที่เฉียวอวิ๋นซีเอนกายอยู่แล้วจึงพูดว่า “พระชายาเพคะ ทอดพระเนตรดอกไม้เหล่านี้สิเพคะว่างดงามเพียงใด วันนี้หม่อมฉันเด็ดกลับมาหลายดอกเชียว ตั้งใจว่าจะนำไปวางไว้บนตู้เหนือพระแท่นบรรทม เช่นนี้พระองค์ก็จะสามารถทอดพระเนตรความงามของมันได้ตลอดเวลาอย่างไรเล่าเพคะ”
เฉียวอวิ๋นซีมองดูใบหน้างดงามน่ารักของอาเถาอย่างอดไม่ได้ที่จะหลุดยิ้มบางๆ ออกมา เพียงแต่รอยยิ้มของนางในยามนี้ไม่อาจอ่อนหวานเสียจนผู้พบเห็นเป็ต้องอบอุ่นหัวใจเหมือนดั่งในยามเป็สาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงเมื่อกาลก่อนอีกแล้ว รอยยิ้มของนางในตอนนี้ทำได้เพียงชวนให้คนข้างกายรู้สึกเวทนา ชวนให้คนนอกที่มาเยี่ยมเยือนเป็ต้องหวาดกลัว
“อาเถา ดอกไม้ที่เ้านำมาช่างงดงามนัก ข้าชอบมาก” เสียงที่เอื้อนเอ่ยแหบแห้งเป็อย่างมาก แค่ได้ยินก็ทำให้คนถึงกับขนลุกด้วยรู้สึกหวาดกลัว
“พระชายาเองก็งดงามเหมือนกับดอกไม้เหล่านี้เลยเพคะ” อาเถายิ้มพลางหยิบดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาออกจากแจกันกระเบื้องแล้วจึงเสียบดอกไม้สดใหม่ที่เพิ่งเก็บมาเข้าไปแทนที่
รอจนกระทั่งอาเถาเดินออกไป หญิงสาวที่สวมกงจวงรัดเอวสีฟ้าอ่อนเช่นเดียวกันจึงได้เดินเข้ามา นางใช้มือสองข้างช่วยประคองร่างเฉียวอวิ๋นซีขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แล้วพูดด้วยเสียงอันเบา “พระชายาเพคะ สมุนไพรที่พระองค์ให้หม่อมฉันไปสืบหามีข่าวคราวมาแล้วเพคะ”
เมื่อเฉียวอวิ๋นซีได้ยินดังนั้นก็รีบคว้าจับมือของอีกฝ่ายไว้ด้วยความคาดหวังเต็มหัวใจ จากนั้นจึงพยายามกดเสียงของตนลงอย่างสุดความสามารถแล้วเอ่ยถาม “จริงหรือ? ตอนนี้อยู่ที่ใดกัน? ”
หลันจือมองเห็นความดีใจอันมากล้นของเฉียวอวิ๋นซีเมื่อได้ยินว่ามีข่าวคราวเื่สมุนไพรแล้ว นางกัดริมฝีปาก และใช้เวลาอีกเป็นานกว่าจะเอ่ยตอบ “อยู่...อยู่ในมือของลู่หลิงฉิงเพคะ”
ไม่รู้ว่าข่าวคราวในตำหนักของเฉียวอวิ๋นซีหลุดลอดออกไปหรือไม่ แต่กว่าจะหาสมุนไพรหายากที่สามารถช่วยชีวิตพระชายามาได้ก็ช่างยากลำบากนัก ทว่าท้ายที่สุดสิ่งนั้นกลับไปตกอยู่ในมือของลู่หลิงฉิงเสียได้ ถึงกระนั้นหลังจากที่หลันจือรู้ นางก็ดีใจเป็อย่างยิ่งด้วยทราบดีว่าลู่หลิงฉิงผู้นั้นกับพระชายาของตนเป็สหายผ้าเช็ดหน้ากัน [5] ไม่ว่าอย่างไรคนย่อมต้องยอมนำสมุนไพรออกมาช่วยเหลือพระชายาเป็แน่
ทว่า ตอนที่รีบร้อนไปหาอีกฝ่ายด้วยตัวเอง คนผู้นั้นกลับตอบปฏิเสธ ทั้งยังบอกอีกด้วยว่าสมุนไพรหายากนี้ไม่ได้อยู่ในมือตนแล้ว ใน ณ เวลานั้นหัวใจของหลันจือเย็นเฉียบ พระชายาเห็นอีกฝ่ายเป็ดั่งกัลยาณมิตรที่ดีที่สุดมาั้แ่เล็ก ยิ่งกว่านั้น ครั้นลู่หลิงฉิงล้มป่วยก็เป็คุณหนูของนางที่เชิญภิกษุอู๋เฉินผู้มีตบะสูงจากอารามฝอกวงมารักษาให้ คนถึงขนาดยอมร่วมเล่นวางหมากเป็เพื่อนภิกษุเฒ่าที่อารามถึงสองวันสองคืนจนไม่ได้หลับพักผ่อนแม้แต่น้อย และในที่สุดก็สามารถเอาชนะภิกษุเฒ่ารูปนั้นจนได้ ทำให้เขายินดีลงจากเขามาเพื่อรักษาอาการป่วยให้ลู่หลิงฉิงเป็การเฉพาะ แต่ในครานี้ลู่หลิงฉิงนั่นกลับทำกับพระชายาของนางเช่นนี้ได้ ทั้งยังแย่งชิงสามีสุดที่รักของพระชายาไปด้วย
หลันจือก้มหน้าลง ไม่รู้ว่าจะเปิดปากบอกเื่นี้กับเ้านายของตนได้อย่างไร
“นางจะต้องรู้แน่ว่าข้ากำลัง้าสมุนไพรชนิดนี้อยู่ นางจึงได้พยายามหามาให้” เฉียวอวิ๋นซียิ้มบางๆ พลางตบหลังมือของหลันจือเบาๆ หลันจือและอาเถาล้วนเป็คนข้างกายที่นางใกล้ชิดสนิทสนมด้วยที่สุด และเชื่อใจมากที่สุด ดังนั้น เื่ที่นางกับลู่หลิงฉิงเป็สหายสนิทกัน หลันจือย่อมรู้ดี
“คุณหนู” หลันจือร้อนใจจนเผลอเรียกขานสรรพนามเก่าสมัยเฉียวอวิ๋นซียังไม่ออกเรือน ด้วยไม่คิดเลยว่า มาถึงบัดนี้แล้วคุณหนูของนางจะยังเชื่อใจสตรีจอมปลอมที่แสนชั่วร้ายเยี่ยงลู่หลิงฉิงอยู่อีก
เมื่อรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของหลันจือ เฉียวอวิ๋นซีจึงคิดอยากถามให้ชัดเจนว่าเกิดเื่ราวอะไรขึ้นกันแน่ แต่ด้านนอกกลับมีเสียงฝีเท้าและเสียงพูดของอาเถาดังลอดเข้ามา “ลู่หลิงฉิง ท่านมาทำอะไรที่นี่? ”
“พี่หญิง หลิงเอ๋อร์มาเยี่ยมท่านแล้ว” ลู่หลิงฉิงผู้เป็เ้าของเครื่องหน้างดงามสวมชุดกระโปรงยาวสีแดงอ่อนเดินผ่านอาเถาเข้ามาด้านใน นางประดับยิ้มเต็มดวงหน้าตลอดทุกก้าวย่างกระทั่งเดินไปถึงข้างเตียงของเฉียวอวิ๋นซี แล้วจึงพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ดูเหมือนว่าวิธีการของฮองเฮา [6] จะได้ผลดีมากเลยนะเ้าค่ะ วันนี้สีหน้าของพี่หญิงจึงได้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมากเพียงนี้”
เฉียวอวิ๋นซีได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยถึงองค์ฮองเฮาก็อดเลิกคิ้วถามไม่ได้ “นี่มันเื่อันใดกัน? วิธีการอะไรที่ว่าได้ผลดีมากหรือ? ”
“อ้าว พี่หญิงยังไม่ทราบหรอกหรือ? ข้านึกว่าพวกหลันจือจะแจ้งให้ท่านทราบแล้วเสียอีก” เมื่อพูดจบลู่หลิงฉิงก็ยิ้มแล้วนั่งลงที่ข้างเตียง นางกุมมือของเฉียวอวิ๋นซีไว้ ยิ้มหยดย้อยแล้วกล่าวต่อ “องค์ฮองเฮาตรัสว่าครึ่งปีมานี้พี่หญิงล้มป่วยมาโดยตลอด แม้แต่หมอหลวงจากสำนักหมอหลวงก็ยังไร้หนทางรักษา ส่วนภิกษุอู๋เฉินเองก็มีเหตุให้ต้องออกเดินทางไกล พระนางจึงมีดำริว่าควรจัดพิธีล้างความอัปมงคล [7] ให้พี่หญิงเสียสักหน่อย”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ลู่หลิงฉิงก็ยิ้มสดใสยิ่งกว่าเดิม ทันทีที่หลันจือเห็นท่าทางยโสนั้นก็รีบเข้ากุมมือพระชายาตน แล้วจึงเอ่ยเสียงเคร่ง “พอเถิด คุณหนูลู่ ข้าเกรงว่าพระชายาจะ้าพักผ่อนแล้ว”
ลู่หลิงฉิงเมื่อได้ยินหลันจือใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดกับตน นางก็ไม่รอช้ารีบยื่นมือออกมาทันที “หลันจือ ข้ารู้ดีว่าเ้าเป็สาวใช้ข้างกายของพี่หญิงที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุด แต่เ้าจะมาพูดจาเช่นนี้กับข้าไม่ได้นะ เพราะเื่ที่ข้าจะแต่งเข้าจวนรัชทายาทมาเป็ชายารองก็นับเป็เื่ดี อีกทั้งในใจข้าเองก็รู้สึกยินดียิ่งกับการได้ร่วมแบ่งปันนี้กับพี่หญิง”
“พี่หญิง ท่านดูหลันจือสิ นางพูดเช่นนี้กับน้องได้เยี่ยงไร ข้าเองก็ทำเพื่อพี่หญิง ถึงได้ตกลงตบแต่งเข้าจวนรัชทายาทมาเป็ชายารอง และข้าก็เชื่อมั่นว่าพี่หญิงจะต้องเข้าใจความทุ่มเทนี้ของข้าแน่” ลู่หลิงฉิงพูดจบก็มองดูเฉียวอวิ๋นซีที่ตะลึงค้างไปด้วยท่าทางน่าสงสาร
เฉียวอวิ๋นซีจ้องมองลู่หลิงฉิงอย่างไม่อยากเชื่อเล็กน้อย และเงียบเป็นานกว่าจะสงบจิตสงบใจลงได้ จากนั้นจึงเอ่ยถามเสียงเบา “เ้าบอกว่าเ้าจะแต่งเข้าจวนรัชทายาท มาเป็ชายารองของเทียนหัว...”
น้ำเสียงของนางแฝงไว้ด้วยความสั่นไหวและเศร้าใจอยู่หลายส่วน และท่าทางเช่นนี้ของนางก็ทำให้ใจของหลันจือและอาเถารู้สึกราวกับถูกบีบรัด
ภายนอกของลู่หลิงฉิงดูราวกับเป็สาวน้อยไร้เดียงสา นางแย้มยิ้มอย่างน่ารักแล้วพยักหน้า อีกทั้งดวงหน้านั้นยังปรากฏรอยเืฝาดจางๆ ในท่าทางคลับคล้ายคนที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งรักยามเฝ้าคะนึงหาคนรัก และแทบจะในทันทีที่เฉียวอวิ๋นซีเห็นท่าทางในยามนี้ของลู่หลิงฉิง นางก็สามารถทำความเข้าใจเื่ราวต่างๆ ได้ ด้วยเพราะสีหน้าท่าทางเช่นนี้ ตัวนางเองก็เคยมีเมื่อแรกรัก
“พี่หญิง พวกเราเติบโตมาด้วยกันั้แ่เล็ก ทว่าวันหน้าไม่แคล้วให้ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอีก ยิ่งกว่านั้นองค์รัชทายาทยังได้ตรัสแก่ข้าว่า เมื่อข้าเข้ามาอยู่ในจวนนี้แล้วจะต้องคอยแบ่งเบาภาระ ช่วยเหลือพี่หญิงดูแลจัดการจวนรัชทายาทให้ดี” ลู่หลิงฉิงพูดพลางก้มหน้างุดคล้ายหญิงสาวที่กำลังเขินอาย
“ข้ารู้แล้ว ยินดีกับเ้าด้วย” เฉียวอวิ๋นซีกดข่มความเกรี้ยวกราดและไม่ยินยอมในใจลงไป นางทำให้ตนเองดูเป็เมฆบางลมเบา [8] ให้ตนเองไม่ดูน่าอนาถถึงเพียงนั้น
ลู่หลิงฉิงยังคงพูดพล่ามถึงเื่ความเป็ไปในตอนนี้ของจวนรัชทายาทอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด รวมถึงเื่ที่ว่าองค์รัชทายาทละเอียดรอบคอบและเป็ห่วงเป็ใยในตนเองมากมายเพียงไร ทว่า ในทุก ๆ ถ้อยคำของนางก็ราวกับเป็มีดแหลมคมที่ค่อยๆ กรีดลงไปบนหัวใจของเฉียวอวิ๋นซีอย่างรุนแรงทีละแผล ทีละแผล
“เอาล่ะ ยามนี้ข้ารู้สึกเหนื่อยมากแล้ว เ้ากลับไปก่อนเถิด” พูดจบเฉียวอวิ๋นซีก็ให้หลันจือประคองนางนอนลงบนเตียง แล้วจึงหลับตาลงราวกับว่านอนหลับไปแล้วก็ไม่ปาน
ลู่หลิงฉิงที่ถูกขัดเสียจนทำให้หมดสนุกเผยอปากเล็กๆ ขึ้น นิ่งเงียบไปชั่วครู่จึงได้เอ่ยปาก “เ้าค่ะ เช่นนั้นพี่หญิงก็พักผ่อนให้สบาย น้องจะกลับไปเตรียมการเื่งานแต่งแล้ว”
เฉียวอวิ๋นซีเพียงส่งเสียง อืม เรียบๆ กลับไปเสียงหนึ่ง
รอกระทั่งลู่หลิงฉิงเดินจากไปแล้ว อาเถาที่อดรนทนไม่ไหวถึงกับสบถด่าอย่างไม่ยินดียินร้าย “สมควรตายยิ่งนัก ริอาจมาแย่งสามีของคุณหนูไป แล้วตอนนี้ยังมีหน้ามาโอ้อวดถึงที่นี่อีก”
หลันจือเหลียวมองพระชายาองค์รัชทายาทเฉียวอวิ๋นซีที่ไม่พูดอะไรแม้แต่ครึ่งคำ ก่อนจะกดเสียงต่ำพูดกับอาเถา “เงียบเสีย เ้าออกไปดูหน่อยสิว่าโอสถของพระชายาเคี่ยวเสร็จแล้วหรือยัง”
หลังจากที่อาเถาออกไป หลันจือถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนจะจัดผ้าห่มให้เฉียวอวิ๋นซี “พระชายาเพคะ หากว่าทรงเสียพระทัยก็กรรแสงออกมาเถิด เมื่อก่อนท่านเคยบอกหม่อมฉันว่า เมื่อร้องไห้เสร็จแล้วก็ต้องเข้มแข็งขึ้นมาใหม่ให้ได้อีกครั้ง ยิ่งกว่านั้น ยามนี้ในพระครรภ์ของพระองค์มีพระราชนัดดาขององค์ฮ่องเต้อยู่นะเพคะ”
เฉียวอวิ๋นซีไม่ได้ตอบหลันจือ นางทำเพียงหลับตา วางมือลงเบาๆ บนหน้าท้องของตนเพื่อรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของเด็กในครรภ์ จากนั้นจึงเผยยิ้มที่ไม่อาจคาดเดาได้ออกมา
คาดไม่ถึงเลยว่าตัวนาง หรือเฉียวอวิ๋นซีผู้นี้จะมีชีวิตมาได้ถึงสองชาติด้วยจิตใจที่ดีงามเพียงนี้ แต่แล้วสิ่งที่ได้รับกลับมา กลับกลายเป็เพียงการทรยศสองต่อจากทั้งสหายที่ไว้ใจที่สุดและสามีของตนเอง
———————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] กั๋วกง(国公)ตำแหน่งบรรดาศักดิ์ชั้นกง (公爵) สำหรับเชื้อพระวงศ์ชาย ขั้น 1 ชั้นรอง กั๋วกงเป็ตำแหน่งเริ่มต้นสำหรับพระโอรสในองค์ฮองเต้ทุกพระองค์ หากมีผลงานก็สามารถเลื่อนขึ้นเป็จวิ้นอ๋องและเป็อ๋องได้ตามลำดับ ซึ่งเป็ตำแหน่งสูงสุดที่ขุนนางจะได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้
[2] วัยปักปิ่น(及笄)พิธีปักปิ่น ในยุคสมัยจีนโบราณเมื่อเด็กสาวมีอายุได้ 15 ปีก็จะถือเป็วัยที่สามารถออกเรือนได้แล้ว เรียกว่าวัยปักปิ่น(及笄) แต่จะต้องผ่านพิธีบรรลุนิติภาวะที่เรียกว่าพิธีปักปิ่น (及笄礼) เสียก่อน ซึ่งในพิธีนี้เด็กสาวจะต้องรวบผมมัดเป็มวยไว้กลางศีรษะ ส่วนเหล่าผู้าุโก็จะเชื้อเชิญให้แเื่สตรีมาช่วยกันปักปิ่นให้เด็กสาวคนนั้น เพื่อเป็การแสดงให้เห็นว่าเด็กสาวคนนั้นเติบโตแล้ว
[3] หวางเฟย(王妃)ตำแหน่งพระชายาเอกในอ๋อง
[4] กงจวง(宫装)ชุดที่นางกำนัลในราชสำนักสวมใส่
[5] สหายผ้าเช็ดหน้า(手帕交)หมายถึง สหายหญิงที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันอย่างสนิทชิดเชื้อ
[6] ฮองเฮา(皇后)ตำแหน่งพระมเหสีเอก หรือภรรยาเพียงคนเดียวของฮ่องเต้
[7] พิธีล้างความอัปมงคล(冲冲喜)เป็ความเชื่อหนึ่งในสมัยจีนโบราณ เมื่อมีคนเจ็บป่วยเป็เวลานาน ครอบครัวนั้นก็จะจัดงานมงคลครื้นเครงขึ้นมาในบ้านเพื่อเป็การขจัดความชั่วร้าย
[8] เมฆบางลมเบา(云淡风轻)หมายถึง ปลอดโปร่งแจ่มใส