จนท้ายที่สุดแล้วลู่หลิงฉิงก็ไม่ได้เอาสมุนไพรมาให้ นับั้แ่วันนั้นนางก็ไม่ได้ปรากฏตัวอีก ส่วนสามีที่นางดีด้วยจากใจจริงมาตลอดอย่างโอวหยางเทียนหัวก็ยิ่งไม่เคยปรากฏตัวเลยจวบจนตอนนี้ นับประสาอะไรกับคำอธิบายสักคำ
วันที่เจ็ด เดือนห้า ลู่หลิงฉิงได้แต่งงานเข้าจวนไท่จื่อ และได้กลายเป็เช่อเฟยของโอวหยางเทียนหัวดั่งที่ปรารถนา หาได้ยากที่เฉียวอวิ๋นซีจะให้นางกำนัลรับใช้ช่วยประคองนางออกไปเอนพิงอาบแดดบนตั่งกุ้ยเฟย[1]ในลาน จากนั้นจึงฟังเสียงคึกคักเจี๊ยวจ๊าวในลานตรงหน้า
“เหนียงเหนียง ท่านไม่ต้องคิดมากหรอกนะเพคะ ไม่ว่าจะมีสักกี่คนเข้ามาในจวนไท่จื่อ ท้ายที่สุดท่านก็ยังเป็ไท่จื่อเฟย สิ่งนี้เป็สิ่งที่จะไม่มีหญิงใดเข้ามาแทนที่ได้เพคะ” อาเถาบีบขาของเฉียวอวิ๋นซีเบาๆ เพื่อให้นางได้รู้สึกได้สักนิด จะได้ฟื้นตัวในเร็ววัน
เฉียวอวิ๋นซีถอนหายใจพลางลูบหน้าท้องเพื่อรู้สึกถึงมันเบาๆ ท้องได้ไม่ถึง 2 เดือน จู่ๆ ร่างกายของนางก็พลันก็มีปัญหา ในตอนแรกขาของนางค่อยๆ ชาจนไม่รู้สึก ก่อนจะเดินไม่ได้ ร่างกายส่วนล่างค่อยๆ สูญเสียประสาทััไปทีละน้อย และดูเหมือนว่าท้องของนางก็มีปัญหาอย่างเดียวกัน ไม่ว่านางจะกินเข้าไปมากเท่าใด ร่างกายของนางก็ผ่ายผอมเรื่อยๆ
หลังจากนั้นอีกหลายเดือนถัดมา นางก็กลายสภาพจากหญิงงามมากความสามารถอันดับหนึ่งของนครหลวง เป็สภาพราวกับิญญาเช่นทุกวันนี้ ข้างกายนางเหลือเพียงหลานจือและอาเถา นางกำนัลรับใช้สองคนที่เต็มใจที่จะอยู่รับใช้นางในที่ประทับชั้นใน คนอื่นๆ เกรงว่าจะไม่อยากเห็นนางอีกแล้ว กลัวก็แต่ว่าหลังจากได้เห็นนางแล้วยามค่ำคืนก็จะฝันร้ายเอา
เฉียวอวิ๋นซีนึก นางอยากร้องไห้มากก็จริง อยากโวยวายเสียใหญ่โตก็จริง แต่ศักดิ์ศรีของนาง ความทระนงของนาง อีกทั้งยังร่างกายอันน่ารังเกียจนี้ของนางนั้นไม่อนุญาตให้นางกระทำเยี่ยงนั้นได้
เมื่อหลานจือเห็นว่านางยังคงไม่ยอมเอ่ยปากพูดจา ในใจจึงเกิดกังวลไม่สิ้นสุด “เหนียงเหนียง ท่านเอ่ยปากพูดคุยกับหม่อมฉันก็ได้เพคะ ต่อให้ท่านจะทุบตีหม่อมฉัน ดุด่าว่าหม่อมฉันพยายามได้ไม่ถึงที่สุดจนหาสมุนไพรตัวสุดท้ายมาไม่ได้ก็ไม่เป็ไรเพคะ หม่อมฉันขอแค่เหนียงเหนียงอย่าทรมานตนเองอยู่แบบนี้เลยเพคะ ท่านชายกั๋วกงกับฮูหยินเห็นแล้วจะทุกข์ใจเอานะเพคะ”
เมื่อนึกถึงคุณหนูซึ่งเป็ลูกสาวเพียงคนเดียวของจวนเฉียวกั๋วกงอันรุ่งเรือง ั้แ่เล็กจนโตทุกคนในครอบครัวล้วนตามอกตามใจ แต่ทุกวันนี้คุณหนูกลับต้องทนรับความขมขื่นเช่นนี้ นางทนไม่ได้จริงๆ แต่คุณหนูก็ไม่อนุญาตให้ตนบอกเื่นี้กับท่านชายกั๋วกงและฮูหยิน ไม่ว่าเื่อะไรก็ล้วนแบกรับไว้ตัวคนเดียว นางรู้สึกว่าคุณหนูนั้นจะทรมานเกินไปแล้ว
เฉียวอวิ๋นซีมองไปข้างหน้า ได้ยินมาว่าชายผู้นั้นได้มอบเรือนเอื้อมดาวให้เป็ที่พำนักของลู่หลิงฉิงในภายหลังจากนี้ นางแค่นยิ้มเย็นอย่างขมขื่น จริงๆ แล้วหอเอื้อมดาวเป็ตัวนางเองที่ออกแบบเอาไว้ เพื่อที่จะให้ลูกน้อยที่อยู่ในครรภ์ของนางเองได้อยู่พำนักในวันข้างหน้า แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็ที่พำนักของนังแพศยาอย่างลู่หลิงฉิงไปเสียแล้ว เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เฉียวอวิ๋นซีก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะฮ่าๆ ออกมาเสียงดัง “โอวหยางเทียนหัว ลู่หลิงฉิง พวกเ้าช่างโหดร้ายเสียจริง”
เฉียวอวิ๋นซีที่ไม่พูดไม่จามาหลายวันเมื่อได้ะโออกมาประโยคหนึ่ง น้ำตาก็พลันไหลหยดลงมาตามแก้มซูบตอบของนางไม่หยุด
เมื่อใกล้ยามจื่อ[2] ทันใดนั้นทหารหลวงหลายนายก็ปรากฏตัวขึ้นยังที่ประทับหลิวอวิ๋น ก่อนจะนำตัวเฉียวอวิ๋นซีไปยังหอเอื้อมดาว มองเห็นเรือนหอที่การตบแต่งทั้งหรูหราทั้งโอ่อ่า มองเห็นชายหญิงคู่หนึ่งในชุดสีแดงตรงหน้านาง
สายตาของเฉียวอวิ๋นซีตกไปอยู่บนร่างของโอวหยางเทียนหัวอันหล่อเหลา “เหตุใดท่านถึงทำกับข้าเช่นนี้ เหตุใดท่านต้องทรยศข้า ท่านเคยพูดเอาไว้ว่าเราจะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต ท่านไร้สัจจะในคำพูด”
เสียงของนางไม่ได้ดังมากนัก แต่เมื่อเสียงแหบแห้งเบาหวิวที่ลอยเข้าหู หัวคิ้วของโอวหยางเทียนหัวก็ค่อยๆ ขมวดเข้าหากันน้อยๆ “อวิ๋นซี เดิมทีข้าเป็ไท่จื่อ ย่อมไม่สามารถมีเพียงเ้าเป็หญิงคนเดียวได้ นอกจากนี้แล้ว วันนี้ที่ข้าแต่งงานกับหลิงเอ๋อร์ก็เพื่อนำโชคดีมาล้างซวยให้แก่เ้า ดังนั้นเ้าต้องขอบคุณหลิงเอ๋อร์ให้มากถึงจะถูก”
เฉียวอวิ๋นซีรู้สึกว่านี่เป็มุกที่ตลกที่สุดที่ตนเองเคยได้ยินมา นางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังออกมา “ข้าต้องขอบคุณนางที่ทรยศความเป็พี่น้องสิบกว่าปีระหว่างเรา ข้าต้องขอบคุณนางที่ขโมยสามีของข้าไป ข้าต้องขอบคุณนางที่ทำลายครอบครัวของข้าด้วยไหม?”
หลังจากกล่าวจบ นางก็หัวเราะอีกครั้งฮ่าๆ เสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง “ตลอดมานี้เป็ข้าเองที่โลภมาโดยตลอด ข้าเชื่อคำมั่นสัญญาขององค์ชายอย่างท่านจริงๆ ฮ่าๆ จะมีข้าเป็หญิงเพียงคนเดียวไปชั่วชีวิตก็ดี ภายภาคหน้าหากครองบัลลังก์แล้วก็จะยังมีแค่ข้าเป็หญิงเพียงคนเดียวในวังหลังก็ดี ข้าเฉียวอวิ๋นซีมีชีวิตอยู่มานานขนาดนี้ ไม่เคยคิดเลยว่าจะยังต้องมาตกหลุมพรางกับเื่โกหกที่น่าขันเช่นนี้”
เมื่อโอวหยางเทียนหัวได้ฟังคำพูดของนาง เขาก็อดไม่ได้ที่แค่นหัวเราะอย่างเ็าว่า “ถ้าพ่อและพี่ชายของเ้าช่วยเหลือจุนเจือข้าอย่างดี จงรักภักดีต่อแคว้นหนานเย่าอย่างดี เ้าก็ยังเป็ไท่จื่อเฟยอยู่ เพียงแต่น่าเสียดายที่พ่อและพี่ชายของเ้ามีความทะเยอทะยานมากเกินไป เข้าร่วมกับศัตรูเพื่อชายชาติ หลังจากพรุ่งนี้ไป ใต้หล้าจะไม่มีจวนเฉียวกั๋วกงและบ้านสกุลเฉียวอีกต่อไปแล้ว เ้าว่าข้าจะยังฝืนอนุญาตให้เ้าดำรงตำแหน่งไท่จื่อเฟยอยู่ต่อได้หรือ ช่างน่าขันยิ่งนัก”
เฉียวอวิ๋นซีเมื่อได้ยินว่าท่านพ่อ ท่านแม่ และท่านพี่ของนางเกิดเื่แล้ว นางจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงมีโทสะอย่างไม่เชื่อว่า “โอวหยางเทียนหัว ท่านพ่อ ท่านแม่ และท่านพี่ข้าเป็เช่นไรบ้างกันแน่ บอกข้าที ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใดกันแน่?”
เป็ไปไม่ได้ ท่านพ่อกับท่านพี่ย่อมไม่เข้าร่วมกับศัตรูเพื่อชายชาติแน่นอน ต้องมีใครสักคนที่ใส่ร้ายพวกเขา
ลู่หลิงฉิงหัวเราะคิกคักและเอ่ยว่า “ท่านพี่แค่จะเอาตัวเองยังไม่รอดเลย แต่ก็ยังนึกถึงพ่อแม่และพี่ชาย ช่างเป็ลูกกตัญญูคนหนึ่งจริงๆ น้องสาวอย่างข้าเห็นแก่ความสัมพันธ์ของเรานับสิบกว่าปี จะบอกอะไรท่านพี่ให้นะ คนในบ้านสกุลเฉียวล้วนถูกจับขังคุกหมดแล้ว และพรุ่งนี้ยามอู่[3]ก็จะโดนจับตัดหัว”
เฉียวอวิ๋นซีมองไปยังโอวหยางเทียนหัว นางะโด้วยหัวใจที่แตกสลาย “โอวหยางเทียนหัว ท่านช่างโเี้อะไรเยี่ยงนี้ ข้าเฉียวอวิ๋นซีและแม้กระทั่งบ้านสกุลเฉียวไม่เคยทำเื่อะไรให้ท่านเจ็บช้ำน้ำใจมาตลอด เหตุใดท่านถึงต่อกำจัดให้หมดเสียสิ้นซากเช่นนี้?”
“เ้าคงจะลืมไปเสียแล้ว ปีเซี่ยวเหวินที่สิบเจ็ด ตัวเ้าถูกพิษ เมื่อคนรอบข้างล้วนบอกว่าเ้าไม่รอดแน่ ข้าก็ไปหาเ้าที่เขาหม่างซานคนเดียว แต่สุดท้ายตัวข้าเองก็ถูกพิษงูจนหายใจรวยริน เ้าคงจะลืมไปเสียแล้ว เมื่อสองปีก่อนเ้านำทัพไปทางทิศตะวันตก โดนชาวซีโหมวจับเป็ ก็เป็ท่านพี่ของข้าที่ไปช่วยชีวิตเ้ากลับมาโดยไม่หวั่นความเป็ความตาย สองเดือนก่อนการแต่งตั้งตำแหน่งไท่จื่อ ก็เป็ข้าที่คอยดูแลอาการป่วยให้เสด็จพ่อทั้งวันทั้งคืนแทนเ้า ตลอดหนึ่งเดือนเต็ม ข้าอดทนต่อความยากลำบาก และในที่สุดก็ทำให้เสด็จพ่อตัดสินใจแต่งตั้งตำแหน่งไท่จื่อให้เ้าจนได้ แต่เ้าในวันนี้กลับกินบนเรือน ขี้รดบนหลังคา เ้านี่มันสมควรตายนัก”
ลู่หลิงฉิงเมื่อได้เห็นเฉียวอวิ๋นซีที่มีท่าทางเยี่ยงคนเสียสติ นางก็ค่อยๆ เดินเข้าไปข้างกายอีกฝ่ายช้าๆ ก่อนจะบีบปากแล้วยัดเม็ดยาเข้าปากนางทันที เฉียวอวิ๋นซีถูกป้อนยาที่ทำให้เป็ใบ้ซึ่งออกฤทธิ์เร็ว หลังจากกินเข้าไป นางก็เปล่งเสียงใดไม่ได้อีกต่อไป แต่นางก็ยังคงส่ายหัวไม่หยุด และกรีดร้องไร้เสียง ทั้งร่างล้มจากเก้าอี้ลงไปบนพื้น
ลู่หลิงฉิงทำเพียงแค่ชำเลืองมองเล็กน้อย แต่ไม่คิดจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยพยุงนางขึ้นมา สำหรับชะตากรรมในตอนนี้ของเฉียวอวิ๋นซี เป็สิ่งที่นางหวังจะได้เห็นในฝันมาตลอด นางกับเฉียวอวิ๋นซีเติบโตขึ้นมาด้วยกันั้แ่เล็ก นางเองก็เป็คุณหนูใหญ่ของจวนกั๋วกง สถานะของตัวนางเองก็ไม่เลว แล้วเหตุใดนางถึงไม่มีโชคได้แต่งงานกับไท่จื่อบ้างล่ะ นางอิจฉาเฉียวอวิ๋นซี และ้าจะ่ชิงเอาทุกอย่างที่เป็ของอีกฝ่ายมา
นางมองไปยังโอวหยางเทียนหัวด้วยรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ ก่อนจะเดินไปข้างหน้าเพื่อััร่างของเขาเบาๆ ร่างกายของทั้งสองแนบชิดอยู่ด้วยกันแแ่ นางยังคงมิวายบิดตัวไปมา จากนั้นจึงเอ่ยเสียงหยาดเยิ้มว่า “ฝ่าา วันนี้เป็คืนแรกที่เราจะได้ร่วมหอกัน หรือว่าฝ่าาอยากจะให้ท่านพี่มาดูเราร่วมหอกันหรือเพคะ?”
โอวหยางเทียนหัวหัวเราะฮ่าๆ แล้วกล่าวว่า “นี่ก็เป็ความคิดที่ไม่เลว ให้นางดูเราร่วมหอกันอยู่ที่นี่เถอะ”
เฉียวอวิ๋นซีฟังเสียงบนเตียงที่อยู่ไม่ไกล นางยังคงกระแทกพื้นด้วยหมัดและต่อย แล้วกรีดร้องอย่างเงียบๆ น่าเสียดายที่ไม่มีใครสนใจนางอีกต่อไป
จู่ๆ นางก็พลันรู้สึกว่าท้องของตนเองปวดเป็อย่างมาก และมากขึ้นเรื่อยๆ นาง้าจะเรียกใครสักคนให้ส่งนางกลับไปยังที่ประทับหลิวอวิ๋นเหลือเกิน น้ำคร่ำของนางไหลซึมออกมาแล้ว นาง้าจะคลอด แต่ไม่ว่านางจะพยายามออกแรงแค่ไหน ก็ไม่มีเสียงเปล่งออกมาเลยแม้แต่แอะเดียว
นางชี้ไปที่ตู้ด้านข้าง ให้หลานจือหยิบขวดยาในตู้ออกมาให้นาง หลังจากกินยาถอนพิษแล้ว ในที่สุดนางก็เปล่งเสียงได้เสียที
เฉียวอวิ๋นซีดึงมือหลานจือสุดชีวิตและเอ่ยเสียงเบาว่า “หลานจือ ไม่ต้องร้องไห้ เ้าฟังข้านะ หากข้าตายไปแล้ว ให้หาทางนำยาในแจกันสีขาวน้ำเงินลายดอกไม้สีน้ำเงินในตู้ใส่ลงไปในอาหารของไท่จื่อให้ได้” โอวหยางเทียนหัว ถ้าท่านไม่มีศีลธรรม ข้าเองก็จะไม่มีเช่นกัน แม้ว่าข้าจะตาย ข้าก็จะไม่ทำให้ท่านได้มีชีวิตที่ดี
หลังจากกล่าวจบ หมอตำแยก็เข้ามาแล้ว นางทนความเ็ปและเหลือบมองหลานจือ ดวงตาของนางตอนนี้เต็มไปด้วยคำขอร้องภาวนา นางให้ความร่วมมือกับหมอตำแยเต็มที่เพื่อคลอดบุตรออกมา ไม่ว่าจะเป็อย่างไรก็ตาม นี่ก็คือเืเนื้อของนาง และนางหวังว่าบุตรคนนี้จะออกมายังโลกนี้ได้อย่างราบรื่นปลอดภัย
ไม่รู้ว่าว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้ว ในที่สุดก็ได้ยินหมอตำแยยิ้มและพูดว่า “คลอดแล้ว คลอดแล้ว เป็องค์หญิงน้อยเพคะ”
หลานจือชำเลืองมองเฉียวอวิ๋นซีที่เหนื่อยล้า ก่อนจะพยักหน้าในที่สุด นางอุ้มทารกไปทำความสะอาดร่างกาย ส่วนหมอตำแยกำลังทำการจัดการขั้นตอนสุดท้าย ในห้วงความพร่าเบลอ นางก็ได้ยินเสียงของหลู่หลิงฉิง “ท่านพี่ ข้าจะมาบอกท่านสักหน่อย ตอนนี้พ้นยามอู่ไปแล้ว คนของบ้านสกุลเฉียวหนึ่งร้อยกว่าคนหัวหลุดจากบ่าร่วงลงพื้นหมดแล้ว”
บ้านสกุลเฉียวเป็จุดอ่อนของนาง พ่อแม่พี่น้องในตระกูลคือคนที่นางห่วงใยมากที่สุด เมื่อได้ยินคำพูดของลู่หลิงฉิงนางก็พลันลืมตาขึ้นทันที และมองไปยังหญิงที่ยิ้มพรายอยู่ด้านหน้านาง หากนางยังมีเรี่ยวแรง นางก็อยากจะฆ่าหญิงผู้นี้เสียเหลือเกินจริงๆ ทันใดนั้น นางรู้สึกว่ามีของเหลวร้อนไหลออกมาจากร่างกายส่วนล่างของตน ทั้งห้องเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเื
“ไท่จื่อเฟยตกเืเพคะ ไท่จื่อเฟยมีอาการตกเืเพคะ”
เฉียวอวิ๋นซีมองไปยังลู่หลิงฉิงทั้งสภาพเช่นนี้ นางทั้งโกรธทั้งเกลียด ก่อนจะะโเสียงดังด้วยโทสะ “โอวหยางเทียนหัว บ้านตระกูลลู่ พวกเ้าใส่ร้ายจวนเฉียวกั๋วกง บ้านสกุลเฉียวของข้าทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดสิบชีวิต ข้าขอสาบาน หากข้าได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง ข้าจะต้องจับพวกเ้าชายโฉดหญิงชั่วคู่นี้มาให้อาชาทั้งห้าแยกร่างพวกเ้าออกจากกันให้ได้[4]”
*********************************
[1] ตั่งกุ้ยเฟย(贵妃榻)คือเก้าอี้ยาวมีเท้าแขนข้างหนึ่งให้เอนนอนได้ ถือกำเนิดขึ้นสมัยราชวงศ์ถัง สตรีสูงศักดิ์ในวังเช่น อัครชายา (กุ้ยเฟย) และราชชายา (เซียงเฟย) นิยมใช้เอนกายพักผ่อนอิริยาบถ
[2] ยามจื่อ (子时) ่เวลา 23:00 น. - 01:00 น.
[3] ยามอู่ (午时) คือเวลา 11:00 น. - 13:00 น.
[4] ห้าอาชาแยกร่าง (五马分尸) เป็วิธีการปะาชีวิตอย่างหนึ่งของจีนโบราณ โดยใช้เชือกมัดแขนขาและศีรษะไว้กับม้าหรือรถม้า 5 ทิศ แล้วให้ม้าควบไปเพื่อฉีกร่างออกจากกัน