ภรรยาของผู้าุโในสกุลคิดอยู่นานก่อนจะกล่าว “ข้าคิดออกแล้ว น้องชายคนที่สองเป็คนดีนี่ ตอนที่แต่งงานแล้วพาภรรยากลับมาไหว้บรรพบุรุษ เจอผู้ใดก็ต่างยิ้มให้ หน้าตาก็ยังดีอีกด้วย พี่สะใภ้น้องสะใภ้ของพวกเราหลายคนต่างพูดว่าน้องสองคนนั้นเป็คนดี ปฏิบัติกับภรรยาก็ดี ผู้ใดจะรู้ว่าครอบครัวเขาจะโชคร้ายไม่มีลูก”
ผู้าุโกล่าว “เื่นี้ข้าจะต้องไปที่เมืองหลวงเพื่อสอบถามโหวเย่ ดูว่าโหวเย่จะมีปฏิกิริยาอย่างไร คนในสกุลหลายคนต่างกลับมาถามข้าเื่นี้ เพราะว่ามันไม่ใช่แค่เื่ของจวนโหว แต่เป็เื่ใหญ่ของสกุลของพวกเรา”
ผู้าุโอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว อยู่รุ่นเดียวกับบิดาของผิงซีโหวเย่ นับว่าเป็ผู้าุโที่สุดในสกุลแล้ว
ผู้าุโพาคนในสกุลนั่งรถม้าเดินทางไปที่เมืองหลวง ผิงซีโหวเย่เห็นผู้าุโมาในเวลานี้ก็ใมาก หลังจากสอบถามเื่ราวให้แน่ชัดแล้วก็ทั้งใ ทั้งโกรธ การที่จะไปเป็ลูกบุญธรรมของเรือนสองไม่ใช่เื่เล็กๆ ก่อนที่ผิงซีโหวเย่คนก่อนตายจากไป เคยพูดถึงความสัมพันธ์ทั้งดีและไม่ดีกับตระกูลรองมาก่อน ตอนนั้นผิงซีโหวเย่ไม่มีพี่น้อง หากเขามีพี่น้อง ผิงซีโหวเย่คนก่อนก็คงจะให้น้องชายของตนสืบทอดไปอยู่ฝั่งนั้นแล้ว ยังต้องรอให้ถึงตอนนี้หรือ?
ไปสืบทอดให้กับเรือนสอง ไม่เพียงแต่สืบทอดผ่านพิธีจุดก้านธูป พอสืบทอดแล้วยังจะต้องไปไหว้ป้ายเหล็กอักษรชาด [1] ในหอบรรพบุรุษ รวมถึงพื้นที่ครึ่งหนึ่งของจวนโหว จวนโหวไม่ใช่ที่ที่ใครอยากจะเข้าก็เข้าได้ ปกติจวนนี้จะขึ้นอยู่กับผิงซีโหวเย่ ทว่าจู่ๆ ก็มีคนนอกเข้ามาในครอบครัวเช่นนี้ ผิงซีโหวเย่จะอยู่กับอีกฝ่ายอย่างไร? ที่สำคัญที่สุด ทั้งๆ ที่เป็ทรัพย์สินในเรือนของตนเอง เหตุใดจะต้องแบ่งให้คนอื่น ถึงแม้จะเป็คนสกุลเดียวกัน จากสายตาของผิงซีโหวเย่แล้ว ก็ยังถือว่าเป็คนนอก
จู่ๆ ก็คิดถึงเื่เมื่อก่อนหน้านี้ตอนที่เสี่ยวเฉินซื่อมาพูดกับตน เสี่ยวเฉินซื่อบอกว่าตอนที่ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงชมบุปผาอะไรสักอย่าง ลืมไปแล้วว่าฮูหยินของจวนไหนสักจวนพูดขึ้นมา บอกว่าฮ่องเต้เหมือนจะริบป้ายเหล็กอักษรชาดกับสมญานามกลับไปหากไม่มีผู้สืบทอด ผิงซีโหวเย่รู้สึกว่าคงจะเป็เหตุผลนี้
หลังจากปลอบใจหัวหน้าผู้าุโได้แล้ว ผิงซีโหวเย่ก็ไปปรึกษากับเสี่ยวเฉินซื่อที่เรือนหลัง เขาจำได้ว่าตอนนั้นหลังจากที่เสี่ยวเฉินซื่อบอกกับตน ก็ถามแกมล้อเล่นว่าถ้าหากจะสืบทอดเด็กคนหนึ่งไป จะเอาลูกของพี่สาวสืบทอดไปหรือว่าเอาลูกของตน ผิงซีโหวเย่ฟังแล้วก็หน้าตึงเดินออกไปทันที
ผิงซีโหวเย่ไล่คนดูแลในห้องของเสี่ยวเฉินซื่อออกไป ก่อนจะถามเสี่ยวเฉินซื่อ “ครั้งที่แล้วที่เ้าบอกว่าไปงานเลี้ยงชมบุปผาอะไรสักอย่างแล้วได้ยินเื่นั้นจริงหรือไม่?”
เสี่ยวเฉินซื่อก็รู้ว่าหัวหน้าผู้าุโมาแล้ว ดังนั้นจึงรู้เื่ทั้งหมดว่าเหตุใดจึงเป็เช่นนี้ นางรู้ว่าผิงซีโหวเย่จะมาถามตนเอง จึงได้เตรียมวิธีรับมือเอาไว้แล้ว
เสี่ยวเฉินซื่อพูดด้วยสีหน้าใ “โหวเย่ เหตุใดท่านถึงมาถามเื่นี้กับข้าอีกหรือเ้าคะ ครั้งที่แล้วข้าพูดจาไม่คิด ถึงได้ทำให้ท่านไม่พอใจ หลายวันมานี้ข้ารู้สึกไม่สบายใจอยู่ตลอดเลยเ้าค่ะ”
ผิงซีโหวโบกมือ “สถานการณ์ของผิงซีโหวค่อนข้างพิเศษ หากทางตระกูลรองจะต้องส่งเด็กไปสืบทอดจริงๆ พื้นที่ในจวนของพวกเราจะต้องแบ่งให้เขาไปครึ่งหนึ่ง ถ้าเป็แบบนี้จริงๆ พวกเราจะต้องวางแผนกันั้แ่เนิ่นๆ”
เสี่ยวเฉินซื่อลูบหน้าอกด้วยความใ “ยังต้องแบ่งบ้านออกครึ่งหนึ่งหรือเ้าคะ? เหตุใดถึงเป็เช่นนี้?”
ผิงซีโหวเย่กล่าว “เป็เื่เมื่อหลายปีก่อนมาแล้ว อีกทั้งเื่ยังเกี่ยวข้องกับพระราชดำรัสของฮ่องเต้องค์ก่อน ข้ากลัวว่าหากองค์ฮ่องเต้ในตอนนี้จำได้ขึ้นมา แล้วให้พวกเราเอาเด็กไปสืบทอดตระกูลรองจริง ถึงตอนนั้นพวกเราจะถูกผลกระทบแน่นอน”
เสี่ยวเฉินซื่อกล่าว “ในงานเลี้ยงชมบุปผามีฮูหยินหลายคนเอามาพูดเป็เื่ตลกเ้าค่ะ เหมือนจะเป็ฮูหยินจากครอบครัวหงหลู่ซื่อพูดกับคนอื่นๆ ตอนนั้นข้าเองก็ไม่ได้ใส่ใจ ฟังมาแค่ประโยคสองประโยค ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าในจวนของพวกเรายังมีตระกูลรองอยู่เ้าค่ะ”
สีหน้าของผิงซีโหวเย่ขรึมลง “เป็เื่เมื่อหลายสิบปีก่อนแล้ว เ้าไม่รู้ก็ไม่แปลก หากเป็เช่นนั้นจริง พวกเราก็ต้องตัดสินใจกันแต่เนิ่นๆ แล้ว”
เสี่ยวเฉินซื่อตาแดง “โหวเย่ ไม่เช่นนั้นพวกเราก็ให้อวิ๋นเอ๋อร์ไปสืบทอดเถิดเ้าค่ะ ข้ารู้ว่าท่านอยากจะยกตำแหน่งผิงซีโหวซื่อจื่อให้กับหยวนเอ๋อร์ อย่างไรเขาก็เป็ลูกของท่านพี่ แล้วก็เป็สายเืที่นางทิ้งเอาไว้บนโลกนี้”
เสี่ยวเฉินซื่อพูดจบแล้วก็ก้มหน้าลงร้องไห้ที่เก้าอี้ ผิงซีโหวเย่เห็นแล้วก็เข้าไปกอดเสี่ยวเฉินซื่อเอาไว้ในอ้อมกอดของตนเอง “ฮูหยิน เ้าอย่าทุกข์ใจเลย พวกเรากำลังปรึกษากันอยู่ไม่ใช่หรือ?”
เสี่ยวเฉินซื่อเงยหน้าเรียวงามที่เปียกชื้นขึ้นมามองไปทางผิงซีโหวเย่ เสี่ยวเฉินซื่อ อายุยังไม่ถึงสามสิบปี เป็่ที่มีเสน่ห์ที่สุดของสตรี เมื่ออยู่ต่อหน้าผิงซีโหวเย่ก็ปล่อยและเก็บตัวเองได้อย่างเป็ธรรมชาติ ตอนที่ควรจะอายหน้าก็แดงจนถึงแดง ตอนที่ควรจะเปิดเผยก็ทำให้ผิงซีโหวเย่สามารถหวนนึกถึงได้ไปสามวัน เพราะฉะนี้หลังจากที่แต่งเสี่ยวเฉินซื่อเข้ามา ผิงซีโหวเย่ก็ไม่ได้หาสาวใช้ข้างห้องหรืออนุเพิ่มอีกเลย
ผิงซีโหวเย่เห็นใบหน้าของเสี่ยวเฉินซื่อยังมีน้ำตาแต่ก็ยังพยายามทำหน้ายิ้ม ก็ถอนหายใจ “ไม่อยากยิ้มก็อย่ายิ้มเลย ตอนนั้นข้าก็เคยรับปากกับเ้าแล้ว ต่อไปจะทำให้เ้ามีความสุข อยากจะยิ้มก็ยิ้มได้อย่างมีความสุข อยากจะร้องไห้ก็ร้องไห้ได้อย่างเต็มที่”
เสี่ยวเฉินซื่อฟังแล้วก็สูดจมูก พูดด้วยใบหน้าซึ้งใจ “โหวเย่ ท่านดีกับข้ามากจริงๆ เ้าค่ะ ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าท่านยังจำคำพูดของพวกเราตอนนั้นได้”
ผิงซีโหวเย่ถอนหายใจ “เ้าเองก็รู้ พี่สาวของเ้าจากไปนานแล้ว หากข้าผลักไสหยวนเอ๋อร์ออกไปทันที จะอย่างไรก็ดูไม่ดี อย่าพูดถึงอย่างอื่นเลย แล้วก็ทางครอบครัวมารดาของเ้าล่ะ แม่ยายของข้าคนนั้นไม่ใช่คนที่จะหาเื่ได้ง่ายๆ ข้ารับประกันกับเ้า ต่อไปตำแหน่งผิงซีโหวซื่อจื่อข้าจะต้องให้อวิ๋นเอ๋อร์แน่นอน”
เสี่ยวเฉินซื่อได้ยินแล้วก็ลุกขึ้นกอดคอผิงซีโหวเย่ในทันที พร้อมพูดเสียงอ้อน “โหวเย่ ขอบคุณเ้าค่ะ ขอบคุณที่ท่านใส่ใจพวกเราแม่ลูก”
พูดจบก็ทำหน้ากังวลพร้อมกล่าว “แต่ว่าเมื่อเป็เช่นนี้ ก็จะทำให้โหวเย่เป็คนไม่ยุติธรรมนะเ้าคะ”
ผิงซีโหวเย่กล่าว “ไม่เป็อันใดหรอก ในรูก็ยังมีลม ในเมื่อมีข่าวลือเช่นนี้จริงๆ เช่นนั้นก็มีมูล อาศัยใน่นี้ ฉะนั้นพวกเราต้องรีบลงมือก่อน”
เสี่ยวเฉินซื่อพูดอย่างกังวล “แต่ว่าหยวนเอ๋อร์ไม่ยอมกลับมา นี่มันก็หนึ่งปีแล้ว ไม่ได้ข่าวคราวของเขาเลย”
ผิงซีโหวเย่กล่าว “ในเมื่อพี่เขยใหญ่ไม่ได้มาหาถึงที่ ก็หมายความว่าหยวนเอ๋อร์ตอนนี้ยังสบายดีอยู่ เด็กคนนี้ตอนนี้ไม่รู้จักกฎหมายหรือ์แล้ว ไม่เห็นข้าที่เป็บิดาอยู่ในสายตา ในเมื่อเป็เช่นนี้ ข้าเองก็ถือว่าทำตามที่เขา้าแล้ว”
ทั้งสองคนกำหนดประเด็นสำคัญกันเรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็เริ่มดำเนิน
หลังจากผิงซีโหวเย่ตัดสินใจเรียบร้อยแล้วก็กลับไปคิดอยู่นาน แล้วไปพบเฉินจ้ง
สำหรับพี่เขยคนนี้ ถึงแม้ผิงซีโหวเย่จะไม่ชอบที่เขาสนใจแต่การค้าขาย แต่ว่าก็ยังนับถือวิธีการของเขา ถึงแม้เ้าตระกูลเฉินคนก่อนจะตายจากไปหลายปีแล้ว แต่สกุลเฉินในตอนนั้นก็มีนักเรียนอยู่มากมาย ความสัมพันธ์ของเ้าตระกูลคนเก่าเฉินจ้งพยายามระมัดระวังรักษาอยู่ตลอด เพื่อที่พ่อค้าเล็กๆ อย่างตนจะมีคนปกป้อง
หลายสิบปีมานี้ก็สามารถเปลี่ยนสมบัติที่เดิมทีมีเพียงก้นหีบภายในครอบครัวให้เพิ่มพูนขึ้นมา แล้วก็เพราะเื่นี้ เฉินเจียงชวนบิดาของเฉินจ้งจึงไม่กล้าที่จะแตะต้องตำแหน่งของภรรยาตนเอง อนุลวี่จะขอแค่ไหน เสี่ยวเฉินซื่อจะแอบส่งสัญญาณอย่างไร เขาก็ไม่กล้าที่จะยกย่องให้อนุลวี่เป็ภรรยาเอก เพื่อเส้นทางการเงินที่เฉินจ้งกุมเอาไว้ หากมีเื่กับเฉินจ้ง ตัวเองก็คงจะไม่มีเงินให้ใช้แล้ว
แล้วก็เป็เหตุผลที่ว่าเหตุใดผิงซีโหวเย่ไม่ไปหาเฉินเจียงชวนแต่ไปหาเฉินจ้ง
เฉินจ้งได้ยินว่าผิงซีโหวเย่มาหาตนเองก็รู้ว่าเพราะอะไร จึงนัดให้ไปที่ร้านชาที่สภาพแวดล้อมสบายๆ หลังจากทำความเคารพกันแล้วก็นั่งลง
ผิงซีโหวเย่รินชาให้เฉินจ้งหนึ่งจอก “พี่ชาย หยวนเอ๋อร์ของพวกเรารบกวนอยู่ที่ท่านมานานขนาดนี้แล้ว ควรจะกลับบ้านได้แล้วหรือไม่ขอรับ?”
เฉิงจ้งฟังแล้วก็พูดด้วยความใ “เหตุใดถึงพูดเช่นนั้น? น้องเขย ข้าเหมือนจะไปที่จวนเ้าเพื่อไปหาหยวนเอ๋อร์กับหยวนหยวนนะ พอถึงประตูเรือนก็ไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรกลับมาเลย ทำไมหรือ หยวนเอ๋อร์ไม่ได้อยู่ที่เรือนหรือ?”
ผิงซีโหวเย่ถอนหายใจ “พี่ใหญ่ ท่านอย่าล้อข้าเล่นเลย วันนี้ที่ข้ามาก็อยากจะปรึกษากับท่านเื่หนึ่ง หากท่านคิดว่าได้ พวกเราก็จะให้หยวนเอ๋อร์กลับมา หากท่านรู้สึกไม่ได้ หยวนเอ๋อร์อยากจะอยู่ถึงเมื่อไหร่อยากจะกลับมาเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ข้าที่เป็พ่อน่ะ เพราะเื่แต่งงานใหม่ทำให้ถูกเขาเกลียดมาตลอด เขาหายโกรธเมื่อไหร่จะกลับมาก็กลับมาเถิด”
เฉินจ้งโมโห แต่คิดถึงเื่ในอนาคต จึงทำได้แค่กดความโกรธลงไป “น้องเขย เ้าพูดเื่ของเ้ามาก่อน ข้าจะพิจารณาดูว่าได้หรือไม่”
อย่างไรก็จะย้ายลูกชายตัวเองออกไปสืบทอดสายรองต่อ คนเราต่างให้ความสำคัญกับเชื้อสายของตัวเองมาก ผิงซีโหวเย่อยากจะเปิดปากแต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดจากตรงไหนก่อนดี
สำหรับลูกชายคนโตที่ไม่ได้เจอมาหนึ่งปี ความจริงในใจของผิงซีโหวเย่ก็ยังมีความโกรธอยู่บ้าง ยังไม่พูดถึงไม่เคยมีข่าวอะไรมาเลย แม้แต่ไปหาที่เรือนพี่เขยก็ถูกพี่เขยใหญ่ไล่ออกมา ผิงซีโหวเย่เองก็สนใจหน้าตา สุดท้ายตอนที่เสี่ยวเฉินซื่อร้องไห้ด้วยความเป็ห่วงแล้วบอกว่าจะไม่หาอีกแล้ว อยากจะกลับมาก็ให้กลับเอง ไม่อยากกลับก็ตายอยู่ด้านนอกไปเสีย ความจริงแล้วในใจทุกคนต่างรู้ดี เบาะแสที่อยู่ของเจิ้งป๋อหยวน เฉินจ้งจะต้องรู้แน่นอน
ผิงซีโหวเย่จึงพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างท่านปู่ของตนกับปู่รองไปรอบหนึ่ง จากนั้นก็บอกว่าตนได้ยินข่าวลือ ถ้าหากทางด้านฝั่งปู่รองไม่มีคนสืบเชื้อสาย ก็จะถูกริบป้ายเหล็กอักษรชาดที่ได้ในตอนนั้นกลับไป ที่สำคัญที่สุดก็คือ ยังเป็ลำดับขั้นของจวน หากเป็เช่นนั้นจริงๆ จวนผิงซีโหวก็กลายเป็เื่ตลกของเมืองหลวงแล้ว
เื่เรือนสองในจวนผิงซีโหวคนที่รู้มีไม่มาก พูดกันตามหลักเหตุผลแล้ว หากมีความรู้สึกกับผู้าุโจริงๆ ก็คงจะจัดการเื่พวกนี้ไปนานแล้ว แต่ผิงซีโหวเย่น่ะหรือ? ลูกคนโตปกติแล้วต่างสืบทอดตระกูลหลัก ไม่สามารถส่งไปสืบทอดตระกูลรองได้ แต่หลังจากเสี่ยวเฉินซื่อแต่งงานเข้ามาแล้วคลอดลูกออกมาก็อายุจะสิบขวบแล้ว หลายปีมานี้ก็ไม่ได้ส่งไปสืบทอดมาตลอด พูดออกไปแล้วผิงซีโหวเย่จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด?
ผิงซีโหวบ่นเื่ความหมดหนทางของตัวเองให้เฉินจ้งฟัง ก่อนจะย้ำว่าเื่นี้มันทำอะไรไม่ได้จริงๆ
เฉินจ้งฟังอยู่นาน ชาก็ดื่มเข้าไปหลายอึกแล้ว ก่อนถอนหายใจ “น้องเขย เื่นี้ถึงแม้จะเกิดขึ้นอย่างจนใจ แต่ในเมื่อเ้าอยากจะทำเช่นนี้ เช่นนั้นก็ต้องทำให้คนเชื่อถึงจะถูก”
นี่คือการเริ่มคุยเงื่อนไขกันแล้ว ผิงซีโหวเย่ยิ้มแล้วกล่าว “พี่ชายใหญ่ ท่านวางใจเถิด หยวนเอ๋อร์แค่มีชื่อเป็ผู้สืบทอดของเรือนสองเท่านั้น พวกเรายังใช้ชีวิตอยู่ในจวนเดียวกันอยู่ดี”
เฉินจ้งส่ายหน้า หัวเราะแล้วกล่าว “โหวเย่ ท่านคิดมาได้ง่ายเกินไปแล้ว ในเมื่อมีข่าวลือเื่การริบป้ายเหล็กอักษรชาดกลับไป เ้าคิดว่าฝ่าาจะไม่สนใจเื่พวกนี้หรือ? ตอนนี้ในเมื่อมีข่าวลือออกมาแล้ว เช่นนั้นก็หมายความว่าเื่นี้จะต้องจัดการให้ดี เพื่อที่จะเก็บป้ายเหล็กอักษรชาดของลุงรองผู้ซึ่งขาดทายาทไปแล้ว เพื่อที่จะไม่แบ่งจวนออกไปครึ่งหนึ่ง เ้าให้ลูกของตัวเองไปสืบทอด แล้วยังเดินอยู่ในรั้วเดียวกันกับเ้า โหวเย่ พวกเราอย่าคิดว่าคนอื่นเขาจะเป็คนโง่นักสิ”
ผิงซีโหวเย่ฟังคำพูดของเฉินจ้งแล้วในใจก็ระมัดระวังขึ้นมา ตัวเขาเองก็คิดมาแน่นอนแล้ว ในเมื่อจะสืบทอดต่อไป เช่นนั้นจะต้องเปิดหอบรรพบุรุษ และลำดับของคนในตระกูล หลังจากสืบทอดทางฝั่งตระกูลรองไปแล้วจะไม่สามารถเข้าออกจวนเดียวกันกับตนได้เพียงเพราะเป็พ่อลูกกัน การทำเช่นนี้จะให้ฮ่องเต้ทรงคิดอย่างไร?
ผิงซีโหวเย่รู้สึกว่าด้านหลังของตนมีเหงื่อผุดออกมา จนอดที่จะยกมือขึ้นมาเช็ดหน้าผากไม่ได้ “เื่นี้ข้าพิจารณาไม่รอบคอบเอง พี่ชายใหญ่ จากความคิดเห็นของท่าน ข้าควรจะทำอย่างไร?”
เฉินจ้งถอนหายใจ “โหวเย่ พวกเราพูดกันตามตรง หยวนเอ๋อร์ก็อายุสิบสามแล้ว เ้าไม่ได้ขอประทานตำแหน่งซื่อจื่อให้เขามาโดยตลอด เพื่ออะไรพวกเราเป็ญาติที่รู้ใจกันย่อมรู้ดี แน่นอนว่าเข้าใจ นี่คือเื่ของจวนผิงซีโหว แต่ว่าหยวนเอ๋อร์กับหยวนหยวนเป็สายเืที่น้องสาวของข้าทิ้งเอาไว้บนโลกนี้ เื่นี้ที่จริงแล้วไม่ควรที่จะถึงมือท่านยายและลุงใหญ่อย่างข้า บิดาของพวกเขาจากไปแล้ว ในเวลาสำคัญเช่นนี้ข้าที่เป็ลุงจะต้องออกมาตัดสินใจแทนพวกเขา โหวเย่ ท่านไม่ปฏิเสธใช่หรือไม่?”
ผิงซีโหวเย่พยักหน้า “ไม่ปฏิเสธ ไม่ปฏิเสธขอรับ”
เฉินจ้งกล่าว “ข้าเป็พ่อค้าคนหนึ่ง เื่การต่อรองระหว่างพ่อค้าด้วยกันก็จะเก็บไม้ตายของตัวเองเอาไว้ แต่หยวนเอ๋อร์กับหยวนหยวนเป็บุตรชายบุตรสาวของเ้า เป็หลานของข้า ตอนนี้พวกเรากำลังคุยกันเื่เกี่ยวกับพวกเขา คำพูดตามมารยาทพวกเราก็ไม่ต้องพูดแล้ว โหวเย่ พวกเรามาคุยกันอย่างเปิดเผยแล้วพูดเงื่อนไขของตัวเองออกมาตรงๆ ท่านไม่มีปัญหาใช่หรือไม่?”
หลายปีก่อนผิงซีโหวเย่ได้ตามบิดาของตนไปที่ชายแดน หลายปีมานี้ถึงได้อยู่ที่เมืองหลวงตลอด หากพูดถึงเล่ห์กลวิธี ก็สู้เฉินจ้งที่ทำการค้ามาหลายสิบปีมิได้ ไม่เช่นนั้นเสี่ยวเฉินซื่อก็คงไม่สามารถควบคุมจวนผิงซีโหวได้หรอก
ผิงซีโหวเย่มองเฉินจ้งพูดมาถึงจุดนี้แล้วก็พยักหน้า “ในเมื่อเป็เช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็จะพูดความคิดของข้าออกมา ข้าอยากจะให้หยวนเอ๋อร์ไปสืบทอดเชื้อสายของตระกูลรอง เพื่อที่จะสามารถรักษาแผ่นป้ายเหล็กอักษรชาดที่สืบทอดจากลุงรองได้ อีกทั้งยังรักษาจวนโหวของพวกเราเอาไว้ ตอนนั้นฮ่องเต้องค์ก่อนเคยให้คำสัญญาเอาไว้ แล้วแลกเปลี่ยนมาเป็จวนผิงซีโหวของพวกเรา เพื่อในอนาคตทายาทของตระกูลรองสามารถสืบทอดมรดกทั้งหมดของลุงรองได้ สถานการณ์ของจวนผิงซีโหวของพวกเราค่อนข้างพิเศษ บวกกับตอนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนประทานรางวัลไม่มีจวนที่เหมาะสมแล้ว จึงประทานจวนหลังใหญ่ในปัจจุบันนี้ให้พวกเรา รอต่อไปลูกของลุงรองเติบโตแล้วพวกเราค่อยแยกออกจากกัน”
เฉินจ้งได้ยินตรงนี้ก็พยักหน้า ผิงซีโหวเย่ไม่ได้โกหกตน เื่ในตอนนั้นเป็เช่นนี้จริงๆ
ผิงซีโหวเย่กล่าว “หลังจากที่ลุงรองของข้าจากไป ร่างกายของป้าสะใภ้รองก็ไม่ดีมาโดยตลอด ลูกที่คลอดออกมาไม่นานก็ตายจากนางไป พี่ชายที่เป็ญาติของข้าคนนั้น ร่างกายไม่แข็งแรงั้แ่ในครรภ์ จึงตายจากไปั้แ่ยังเล็ก และเพราะว่าพวกเราอาศัยอยู่ในเรือนเดียวกันมาตลอด หลังจากสายเืของลุงรองขาดไป แล้วเพราะว่าบิดาของข้าก็มีข้าเพียงแค่คนเดียว จึงคิดว่ารอต่อไปหลังจากข้ามีลูกแล้ว ก็ค่อยให้ไปสืบทอดให้กับลุงรอง ต่อธูปของลุงรอง หลังจากอวิ๋นเอ๋อร์เกิด เดิมทีอยากจะเปิดหอบรรพบุรุษ แต่ว่ามารดาของเขาไม่อยากให้ไป จนกระทั่งไม่มีทางเลือก จึงยื้อกันมาจนมาถึงวันนี้ ท่านพี่ ตอนนี้ไม่สามารถยื้อได้อีกต่อไปแล้ว จวนผิงซีโหวของพวกเราจะเป็เื่ตลกในเมืองหลวงแล้ว”
เชิงอรรถ
[1] ป้ายเหล็กอักษรชาด เป็สัญญาหรือรางวัลที่เ้าแผ่นดินมอบแด่ข้าราชบริพารหรือบุคคลที่มีคุณความดีเป็มรดกตกทอด ได้รับสิทธิ์อภัยโทษต่างๆ ใช้ผงชาดเขียนบนแผ่นเหล็ก เพื่อป้องกันการปลอมแปลงจึงได้ผ่าครึ่งแผ่นเหล็ก ราชสำนักถือครองครึ่งหนึ่งและผู้รับต่างถือครองไว้ครึ่งหนึ่ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้