“เสี่ยวไป๋!” อวิ๋นเจียวลูบหัวสุนัขตัวน้อยด้วยความเอ็นดู พลางตั้งชื่อให้มัน เ้าตัวน้อยส่งเสียงครางในมือของอวิ๋นเจียว แล้วเลียมือของนางด้วยลิ้นเปียกๆ ทำให้อวิ๋นเจียวหัวเราะชอบใจ
ฟางซื่อเรียกทุกคนเข้าไปกินข้าวในบ้าน หลังจากกินข้าวเสร็จ อวิ๋นเจียวก็หาชามใบใหญ่มาใส่แป้งที่แช่น้ำแกงเนื้อ แล้วใส่เนื้อลงไปอีกสองสามชิ้น คลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วนำไปให้เสี่ยวไป๋กิน
ไม่นึกเลยว่าเ้าตัวน้อยจะกินเก่งขนาดนี้ ครู่เดียวก็กินหมดแล้ว แถมยังเลียชามจนสะอาดเอี่ยม
หลังจากกินข้าวเสร็จ เสี่ยวไป๋ก็วิ่งเล่นไปทั่วลานบ้านและฉี่ใส่ตามจุดต่างๆ อวิ๋นเจียวรู้ดีว่านี่เป็สัญชาตญาณของสัตว์ เพื่อกำหนดอาณาเขตของตัวเอง
หลังจากที่ฟางซื่อกับชุนเหมยเก็บกวาดห้องครัวเสร็จ และกลับเข้าไปในห้อง นางจึงเอ่ยถึงเื่ของอวิ๋นโส่วจู่ เนื่องจากอวิ๋นเจียวกับอวิ๋นฉี่ซาน ก็ประสบเหตุการณ์นี้มาด้วยกัน ฟางซื่อจึงให้พวกเขาอยู่ฟังด้วย
ต่อให้ฟางซื่อเล่าเื่ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ แต่อวิ๋นโส่วจงกับอวิ๋นฉี่เยว่ต่างก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ
“ทาสหลบหนี! พวกเขาก็ช่างกล้าคิดจริงๆ!” อวิ๋นโส่วจงกำหมัดแน่น ทุบลงบนโต๊ะอย่างแรง ดวงตาทั้งสองข้างเหมือนจะมีไฟลุกโชน
“ก็นั่นน่ะสิ เถาซื่อชอบด่าว่าคนอื่นใจร้ายใจดำ แต่ดูสิ่งที่แม่ลูกอย่างพวกเขาทำสิว่ากระทำเื่เช่นใดออกมาบ้าง?”
“ครั้งนี้อวิ๋นโส่วจู่เป็คนออกหน้าก็จริง แต่วันนี้คนที่บ้านเก่าของตระกูลอวิ๋น นอกจากอวิ๋นโส่วจู่กับภรรยาแล้ว เหตุใดถึงไม่มีใครอยู่เลย? เห็นได้ชัดว่าเถาซื่อต้องทำอะไรบางอย่าง อวิ๋นโส่วจู่ไม่มีปัญญาทำให้ทุกคนในบ้านเก่าตระกูลอวิ๋นออกไปข้างนอกแต่เช้าเช่นนี้หรอก”
อวิ๋นโส่วจงพยักหน้า “เื่นี้ก็ไม่ต้องพูดแล้ว จะต้องเป็ฝีมือของยายแก่ใจร้ายคนนั้นเป็แน่”
“หมูป่าตัวนี้ไม่ขายแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะตื่นแต่เช้ามาแล่เนื้อหมูป่า แบ่งไปให้พวกผู้าุโในตระกูลที่เคยช่วยเหลือพวกเรา และบ้านของผู้ใหญ่บ้าน”
“อีกครึ่งหนึ่งจะส่งไปให้สุ่ยหยาจื่อ ส่วนตอนบ่ายข้าจะไปที่ศาลาว่าการพร้อมกับผู้ใหญ่บ้าน เพื่อดูว่าทางศาลาว่าการอำเภอจะจัดการเื่นี้อย่างไร”
ฟางซื่อเอ่ยว่า “ตราบใดที่ท่านคิดหาวิธีรับมือได้ก็ดีแล้ว”
จากนั้นฟางซื่อก็หันไปบอกอวิ๋นฉี่เยว่ “พรุ่งนี้เ้าไปที่สำนักศึกษา อย่าลืมเอาเนื้อหมูป่าไปฝากฉีจวี่เหริน วันนี้หากเจียวเอ๋อร์ไม่เตือนให้ท่านแม่เอ่ยอ้างชื่อฉีจวี่เหริน ไม่รู้เลยว่าเื่นี้จะบานปลายไปถึงขนาดไหน”
แน่นอนว่าหลังจากผู้ใหญ่บ้านมาถึง เื่นี้ก็ถือว่าได้รับการแก้ไขแล้ว แต่ตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านยังมาไม่ถึง หากไม่ได้เอ่ยอ้างชื่อฉีจวี่เหริน บางทีเ้าหน้าที่สองคนนั้นอาจจะใช้กำลังมัดตัวพวกนางไปแล้วก็ได้
อวิ๋นฉี่เยว่เอ่ยรับ “ขอรับ ท่านแม่ ลูกทราบแล้ว”
จากนั้นอวิ๋นฉี่เยว่ก็เอ่ยขึ้น “ท่านพ่อ ต่อไปนี้ท่านพ่อไม่ต้องไปล่าสัตว์บนเขาอีกแล้ว อย่าว่าแต่มันอันตรายเลย ที่สำคัญคือหากท่านพ่อไม่อยู่บ้าน ท่านแม่กับน้องสาวเกิดเจอเื่แบบวันนี้อีก...”
อวิ๋นโส่วจงไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจที่ถูกบุตรชายสั่งสอน ในทางกลับกัน เขากลับพูดด้วยความรู้สึกผิด “เป็ความคิดของพ่อเอง วางใจเถอะ ต่อไปนี้พ่อจะพยายามไม่ไปบนเขามากนัก”
อวิ๋นเจียวคิดในใจว่า ดูเหมือนนางต้องรีบหาเงินให้เร็วกว่านี้ ต้องทำให้ท่านพ่อมีเงินเยอะๆ จะได้มีความรู้สึกสบายใจ ท่านพ่อถึงจะเลิกคิดที่จะไปบนเขา
“ไอ้พวกใจั์ใจมารน่าตายนัก! พวกเ้าออกมาเดี๋ยวนี้ คืนลูกชายข้ามา!”
“อวิ๋นเจียชาง! ตาแก่ตายยาก! ข้าอุตส่าห์คลอดลูกเลี้ยงดูลูกให้เ้า เ้าคนไร้ความสามารถ มองดูพวกทาสชั้นต่ำรังแกลูกชายของเ้าได้ลงคอหรือ?”
“ไอ้พวกใจหมา! ไอ้พวกทาส! พวกเ้าช่วยเ้าหน้าที่ทางการจับเ้าสี่กับภรรยาไป พวกแกอยากให้เ้าสี่กับภรรยาตาย และอยากให้ข้าตายไปใช่หรือไม่!?” เสียงกรีดร้องของเถาซื่อดังมาจากนอกบ้าน
อวิ๋นโส่วจงและครอบครัวเดินออกไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก็เห็นเถาซื่อกำลังวิ่งอยู่นอกลานบ้าน มุ่งหน้ามาที่บ้านพวกเขาพลางร้องไห้ด่าทอไปด้วย
ข้างหลังนางมีคนกลุ่มหนึ่งตามมา เมื่อเดินเข้ามาใกล้ อยู่ในรัศมีของแสงไฟจากคบเพลิง อวิ๋นเจียวจึงมองเห็นใบหน้าของพวกเขาอย่างชัดเจน นอกจากอวิ๋นโส่วจู่กับภรรยาและอวิ๋นโส่วหลี่แล้ว คนอื่นๆ ล้วนมากันพร้อมหน้า
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อเห็นเถาซื่อมาอาละวาดที่บ้านของอวิ๋นโส่วจง ชาวบ้านที่อยู่ละแวกใกล้เคียง ต่างก็ถือคบเพลิงออกจากบ้านตามมาดู พอทุกคนเดินเข้ามาใกล้ อวิ๋นเจียวเห็นว่ามีหลายคนถือชามข้าวมาด้วย
ยุคนี้ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีเทคโนโลยี พอตกกลางคืนก็ไม่มีกิจกรรมบันเทิงใดๆ ชาวบ้านส่วนใหญ่เพื่อประหยัดน้ำมันตะเกียง บางคนถึงกับไม่จุดตะเกียง พอฟ้ามืดก็เข้านอน ทำกิจกรรมที่เป็ประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย แล้วก็มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง
ตอนนี้มีเื่สนุกให้ดูถึงที่ ชาวบ้านต่างก็ตื่นเต้นกันยกใหญ่ แม้แต่บางคนที่เข้านอนแล้ว ก็รีบลุกขึ้นมาแต่งตัวแล้ววิ่งออกมาดู กลัวว่าถ้ามาช้าแล้วจะหาที่นั่งตำแหน่งดีๆ ไม่ได้
เสี่ยวไป๋วิ่งไปที่ข้างเท้าของอวิ๋นเจียวอย่างรวดเร็ว มองผู้คนนอกบ้านด้วยแววตาหวาดระแวง ขนบนคอตั้งชัน ส่งเสียงขู่ต่ำๆ ในลำคอ ทว่าข้างนอกเสียงดังเกินไป ไม่มีใครสังเกตเห็นท่าทางแปลกๆ ของเสี่ยวไป๋
“ท่านพ่อ พวกท่านมาด้วยเหตุใดหรือ?” อวิ๋นโส่วจงไม่สนใจเถาซื่อ เดินไปยืนขวางหน้าประตู ไม่มีท่าทีจะให้พวกเขาเข้ามา
ผู้เฒ่าอวิ๋นเห็นดังนั้นก็มีสีหน้าไม่พอใจ เ้ารองนี่ถึงกับไม่ให้พวกเขาเข้าบ้านเลยหรือ “เ้ารอง เป็คนตระกูลอวิ๋นด้วยกัน กระดูกหักแต่เส้นเอ็นยังเชื่อมอยู่ [1] เหตุใดเ้าถึงส่งน้องสี่ของเ้าไปศาลาว่าการอำเภอได้ลงคอ”
“เข้าไปที่นั่น ต่อให้ไม่ตายก็ต้องถูกถลกหนังหนึ่งชั้น พรุ่งนี้เช้าเ้าไปที่ศาลาว่าการอำเภอประกันตัวน้องสี่ของเ้าออกมาเถิด เื่นี้ก็ให้จบๆ ไป พ่อเองก็จะไม่โทษเ้า”
อวิ๋นเจียวรู้สึกตลก ผู้เฒ่าอวิ๋นนี่ช่างพูดกลับดำเป็ขาวได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ไม่พูดถึงสิ่งที่อวิ๋นโส่วจู่กับภรรยากระทำต่อครอบครัวของพวกนางเลยแม้แต่น้อย ทันทีที่มาถึงก็โยนความผิดให้บ้านของพวกนางแล้ว
“ท่านพ่อ ข้าไปถามชาวบ้านมาแล้ว พวกเขาบอกว่าน้องสี่ใส่ร้ายครอบครัวของน้องรองว่าเป็ทาสหลบหนี จึงถูกเ้าหน้าที่ทางการจับตัวไป” อวิ๋นโส่วกวงรีบดึงแขนเสื้อของผู้เฒ่าอวิ๋น แล้วรีบอธิบาย
ผู้เฒ่าอวิ๋นสะบัดแขนเสื้อของเขาออก พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ต่อให้น้องสี่ของเ้าทำผิด แต่พวกเขาก็เป็คนตระกูลอวิ๋น เป็พี่น้องกัน เขาทำผิด พวกเ้าที่เป็พี่ก็ควรจะตักเตือนสักหน่อย หากไม่ได้ผล ก็ยังมีข้าผู้เป็พ่อคอยสั่งสอน”
“เหตุใดต้องให้เ้าหน้าที่ทางการจับตัวน้องสี่ของเ้าไปด้วย? ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็เกวียนวัวของบ้านพวกเ้า ที่พาน้องสี่กับภรรยาไปส่งถึงที่ศาลาว่าการอำเภออีก!”
เถาซื่อ “ไอ้พวกใจดำอำมหิต! เหตุใดพวกเ้าไม่ตายอยู่ข้างนอกซะ พอกลับมาก็ทำให้ครอบครัววุ่นวาย!”
“เ้าสี่ไม่ผิด พวกแกทั้งครอบครัวก็เป็แค่ทาส ไม่ได้ขายตัวหรือ ไม่ได้ขายตัวแล้วใครเขาจะโง่ให้เงินทองข้าวของกับบ้านพวกเรา? ไม่ได้ขายตัวแล้วหัวหน้าตระกูลจะลบชื่อพวกเ้าออกจากบันทึกผังตระกูลได้อย่างไร?” ผู้เฒ่าอวิ๋นพูดจบ เถาซื่อก็เริ่มโวยวาย
อวิ๋นโส่วจงไม่แม้แต่จะชายตามองนาง เพียงแค่จ้องมองผู้เฒ่าอวิ๋นด้วยรอยยิ้มเ็า “เื่ที่ว่าข้าขายตัวเป็ทาสหรือไม่ ท่านพ่อน่าจะรู้ดีมิใช่หรือ? และตอนนั้นมีสัญญาขายตัวหรือไม่ ท่านพ่อก็น่าจะรู้ดีมิใช่หรือ?”
ผู้เฒ่าอวิ๋นพูดอย่างตะกุกตะกัก “พ่อรู้สิ แต่เื่นี้มันไม่สมเหตุสมผล แม่ของเ้าสงสัยก็มิใช่เื่แปลก”
อวิ๋นโส่วจงมองทะลุปรุโปร่งมานานแล้ว ตอนนี้จึงไม่รู้สึกผิดหวัง เขาเพียงแค่มองผู้เฒ่าอวิ๋นด้วยสายตาเ็า แล้วพูดทีละคำอย่างชัดเจน “ท่านพ่อ ท่านแม่ของข้าถูกฝังอยู่บนูเา เถาซื่อนับว่าเป็ใครกัน ถึงกล้ามาเป็แม่ของข้า?”
“เ้ารอง เ้า... เ้าพูดแบบนี้ได้ยังไง?” เห็นได้ชัดว่าผู้เฒ่าอวิ๋นไม่ได้คาดคิดว่าอวิ๋นโส่วจงจะพูดแบบนี้ เขานิ่งอึ้งไปพักใหญ่
“อวิ๋นโส่วจง! เ้าลูกอกตัญญู! ข้าจะสู้กับเ้า!” เมื่อได้ยินดังนั้น เถาซื่อก็กรีดร้อง พร้อมกับเตรียมพุ่งเข้าใส่อวิ๋นโส่วจงด้วยความเกรี้ยวกราด
ทว่าพอสบตากับแววตาเ็าของอวิ๋นโส่วจง นางก็ตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว สายตาของนางจึงหันไปมองร่างของอวิ๋นเจียว
คิดในใจว่า ฮึ! พวกแกรักและเอ็นดูเ้าเด็กนี่นักไม่ใช่หรือ? ข้าจะข่วนหน้าเ้าเด็กนี่ให้เสียโฉม!’ จากนั้นนางก็หันไปพุ่งเข้าใส่อวิ๋นเจียว
เชิงอรรถ
[1] กระดูกหักแต่เส้นเอ็นยังเชื่อมอยู่ (打断骨头还连着筋) หมายถึงความสัมพันธ์แตกหัก แต่ความผูกพันทางสายเืยังคงมีอยู่ ไม่สามารถตัดขาดกันได้