เหล่าขุนนางต่างพากันต่อแถวเดินตามกันเข้าไปในท้องพระโรง
การประชุมยามเช้าในทุกวันคือเื่ที่สำคัญที่สุดเื่หนึ่ง
ลำดับการเดินเข้าท้องพระโรงของเหล่าขุนนางสามารถบอกระดับตำแหน่งของขุนนางได้ ดังนั้นลำดับการเดินจึงต้องพิถีพิถันนัก
ตลอดแถวล้วนไม่อาจเลินเล่อได้
ทุกตำแหน่งของขุนนางในที่นี้เื้ัล้วนแต่เต็มไปด้วยคมหอกคมดาบและการต่อสู้
เมื่อจัดแจงตำแหน่งกันเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าของเหล่าขุนนางประดับไปด้วยความอบอุ่นเป็มิตรต่อกัน
พวกเขาทุกคนล้วนเป็ขุนนางคนสำคัญต่อแคว้นเชิน
แคว้นเชินคือแคว้นแห่งพิธีการ ดังนั้นจึงพิถีพิถันกับพิธีการเป็ที่สุด
ยามสนทนาก็ล้วนแต่สนทนากันด้วยหลักการหรือหลักคุณธรรม
ยามนิ่งเงียบก็ยังคงต้องอมยิ้มไว้สักสามส่วน
ยิ่งตำแหน่งสูงเท่าใด ก็ยิ่งต้องเดินไปด้านหน้ามากเท่านั้น ทั้งใบหน้าก็ยิ่งต้องแฝงความอบอุ่นไว้ด้วย
ฝั่งหนึ่งแฝงความสงบ ฝั่งหนึ่งแฝงความฉลาดเฉลียว
“พวกท่านได้ยินหรือยัง องค์หญิงอีประพันธ์บทกวีบทใหม่ให้ได้รับฟังกันอีกแล้ว”
“เอ กวีบทใดหรือ เมื่อวานข้าเอาแต่วุ่นกับงานเสียจนไม่มีเวลาฟัง ไม่คาดคิดว่าข่าวคราวของท่านซือหลางหลิวช่างรวดเร็วโดยแท้”
“ย่อมต้องเป็เช่นนั้น นี่เป็ถึงบทกวีที่องค์หญิงประพันธ์เชียว”
“เมื่อวานองค์หญิงทรงได้สดับเสียงพิณที่ท่านราชครูน้อยดีดแล้วเกิดความซาบซึ้ง จึงได้ประพันธ์กวีบทนี้ขึ้นมา”
“สุริยาแคว้นเชินทอแสงอร่าม
ผ่านน่านน้ำ ผ่านน่านฟ้า
บทเพลงเพลินควรค่าเมือง์
เมืองมนุษย์จะสดับได้กี่ครา!”
ซือหลางหลิวจากกรมครัวเรือนท่องไปก็โคลงศีรษะไปพร้อมทั้งเดินไปด้านหน้ากับขบวนที่เป็ระเบียบ
“บทเพลงเพลินควรค่าเมือง์ เมืองมนุษย์จะสดับได้กี่ครา กวีบทนี้เพียงแค่ได้ยินก็อดจะนึกชื่นชมไม่ได้”
เมื่อได้ยินกวีบทนี้ เหล่าคนทั้งขบวนก็ต่างกล่าวเช่นนี้ออกมา
แคว้นเชินได้ปัญญาชนบริหาร ขุนนางฝ่ายบุ๋นเหล่านี้ล้วนแต่เป็ยอดกวีผู้ไม่เป็สองรองใคร ทว่าพวกเขากลับนึกเคารพในพร์ขององค์หญิงอีนัก ไม่ต้องพูดถึงเื่ความคิดแปลกประหลาดเ่าั้ เพียงแค่เื่กวีก็นับว่าพระองค์ช่างเป็เลิศ
องค์หญิงนั้นควรค่าแก่การเป็อันดับหนึ่งนัก
บทกวีที่นางเพียงแค่ตรัสออกมาตามใจล้วนกลายเป็ยอดผลงาน
คาดว่าคงไม่มีใครชนะนางได้
เสียงเซ็งแซ่ดังออกมาจากขบวนขุนนางไม่ขาด ทว่าก็ไม่น่าแปลกใจนัก เพราะเหล่าขุนนางนั้นล้วนแต่มีเื่ราวมากมาย เช่นนั้นสิ่งที่ต้องพูดก็ย่อมมีมากเช่นกัน
“ไฉนท่านราชครูยังดีดพิณอยู่อีกเล่า ราชครูผู้มีเกียรติไม่ทำงานเพื่อชะตาของบ้านเมือง วันๆ เอาแต่ลุ่มหลงในเครื่องดนตรี เช่นนี้ใช้ได้หรือ!”
“ตระกูลจ้งนั้นแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่สร้างประโยชน์ เพียงแค่ได้ครองตำแหน่งราชครู ทว่ากลับไม่เคยสร้างผลงานอันใด ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีใจคิดทรยศ ข้าว่าคนตระกูลจ้งมิคู่ควรแก่บรรดาศักดิ์นี้แม้แต่น้อย วันนี้ข้าจะยื่นฎีกาแด่ฝ่าาให้ริบบรรดาศักดิ์ของตระกูลจ้งเสีย”
เมื่อขุนนางฝ่ายตรวจการคนหนึ่งกล่าวขึ้นอย่างแน่วแน่ เพียงพริบตาเสียงรอบข้างก็พากันเงียบเสียง
ไม่กี่ปีมานี้ที่ความนิยมของราชสำนักเพิ่มขึ้น เหล่าผู้ตรวจการก็เรืองอำนาจจนน่าใเช่นกัน คิดอยากจะกล่าวหาใคร ก็เพียงหามาสักเื่เป็พอ จนราษฎรต่างก็คิดว่าเหล่าผู้ตรวจการนี้ช่างแข็งแกร่งไม่เกรงกลัวอำนาจใด
ทว่าสำหรับเหล่าขุนนางแล้วกลับมองว่าสิ่งที่ผู้ตรวจการเหล่านี้ทำล้วนแต่ทำเพื่อชื่อเสียงและตำแหน่ง ช่างไม่เกรงกลัวชีวิตจะหาไม่โดยแท้
มีเพียงขุนนางมากเล่ห์จริงๆ เท่านั้นจึงจะเข้าใจแจ่มแจ้งว่าผู้ตรวจการเ่าั้จะต้องมีคนคอยอยู่เื้ัเป็แน่ คนที่สามารถคาดเดาอารมณ์ของฝ่าาได้ ส่วนเหล่าผู้ตรวจการนั้นก็เป็เพียงแรงหนุนให้กล่าวโทษได้ถูกคนเท่านั้นเอง
เมื่อมองเหล่าขุนนางในราชสำนักจึงเห็นว่าคนตระกูลหลานในปีนั้น บัดนี้ก็ไม่เหลือแม้สักคนเดียว กระทั่งเครือญาติของตระกูลหลานก็ไม่เหลือแล้วเช่นกัน
บัดนี้เหล่าผู้ตรวจการก็เริ่มลับมีดแล้วพุ่งเป้าไปที่ตระกูลจ้งแล้ว
หากกล่าวว่าตระกูลหลานคือขุนนางเก่าแก่ของแคว้นเชิน ตระกูลจ้งก็นับว่าเป็ผู้อุ้มชูฮ่องเต้อย่างแท้จริง ทั้งจงรักภักดีต่อราชวงศ์มาทุกยุคทุกสมัย
แต่ในระยะนี้เหล่าผู้ตรวจการกลับคิดจะลงมือกับพวกเขา...กระทั่งเหล่าขุนนางมากเล่ห์ก็ยังพลอยใ ในใจลึกๆ ก็แอบกังวล แคว้นเชินเกิดอะไรขึ้น เหตุใดคนที่ยิ่งภักดีต่อฝ่าา จึงได้สิ้นชีพกันเร็วถึงเพียงนี้
ในไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ในราชสำนักมีใครบ้างที่จงรักภักดีต่อราชสำนักจริงๆ
ความเก่งกาจของเหล่าขุนนางมากเล่ห์นั้นก็ล้วนมีไว้เพื่อเอาตัวรอดเท่านั้น แม้ว่าจะรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง แต่ก็ไม่มีทางจะออกหน้าพาตัวเองไปเสี่ยงอย่างแน่นอน
ถึงอย่างไรก็ล้วนแต่เป็ศิษย์แคว้นเชิน ใครจะโง่กว่าใครได้สักเท่าใดเชียว
ขบวนขุนนางยังคงเคลื่อนตัวไปด้านหน้าอย่างเป็ระเบียบ ดวงตะวันยามเช้าเพิ่งจะลอยเด่น แสงตะวันสาดส่องให้เห็นความเจริญรุ่งเรืองของราชสำนัก
ในวันนี้ฮ่องเต้ฉลองพระองค์ด้วยอาภรณ์ขุนนางที่ฮองเฮาจ้าวส่งมาถวาย ฉลองพระองค์ชุดนี้ช่างเป็ที่น่าพอใจนัก ทว่าฮ่องเต้กลับตรัสว่า “อาจ้าว เ้านั้นมีค่าควรแผ่นดิน ต่อไปเื่เช่นนี้มิจำเป็ต้องลงมือเองอีก”
วันคืนล่วงเลยดั่งสายน้ำ ฮองเฮาน้อยรูปโฉมพริ้มเพราบัดนี้กลับดูอ่อนโยนตามแบบฉบับของสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทว่าพระนางก็ยังงดงามเฉิดฉายดั่งเคย เพียงแต่ดูอบอุ่นสบายตาขึ้นยิ่งกว่าเดิม
“เื่การแต่งตัวให้ฝ่าาเป็เื่ที่อาจ้าวต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว ทั้งหม่อมฉันยังชอบยิ่งนักเพคะ”
เมื่อนางกล่าวไปก็ช่วยฝ่าาติดกระดุมด้านหน้าไปด้วย ปลายฝ่ามือคู่เรียวของนางเย็นเล็กน้อย
ฮ่องเต้มีพระนามว่าเวิน เดิมทีเขาไม่ใช่รัชทายาทที่ถูกแต่งตั้ง เขาเป็เพียงพระโอรสองค์กลาง หากไม่ใช่ว่าเกิดเื่ขึ้นในปีนั้น ตำแหน่งฮ่องเต้ก็คงจะไม่ตกมาถึงเขา ทั้งตัวเขาเองเดิมทีก็ไม่ได้มีความทะเยอทะยานถึงเพียงนั้น แม้บางคราในใจก็แอบหวังอยู่บ้าง แต่ก็ไม่คาดคิดว่ามันจะกลายมาเป็ความจริง
เสด็จพ่อไม่ได้ตั้งนามที่มีความหมายยิ่งใหญ่ให้ตน ส่วนเสด็จแม่นั้นก็ไม่เคยสอนให้เขาวางตัวยิ่งใหญ่อย่างฮ่องเต้ สอนเพียงให้เขานั้นสงบเสงี่ยม เป็อ๋องที่มีชีวิตสงบสุขเท่านั้น
ทว่าแท้จริงแล้วเขาก็เป็เพียงคนใจโลเลคนหนึ่ง บางคราก็โมโหร้าย ทั้งยังใจโเี้ เช่นนั้นบางคราก็ยังรู้สึกเสียใจภายหลัง
เช่นเดียวกันกับนาม ‘เวิน’ ของเขา
บัดนี้ใน่วัยกลางคนของเขา ราชสำนักมีแต่เื่ซับซ้อน ทำให้่นี้เขาโปรดปรานการได้มาอ้อยอิ่งอยู่ในวังหลังนัก
เขาโปรดสตรีที่เชี่ยวชาญในการเดินหมากอย่างสนมฉี สนมฉีเดินหมากได้เป็เลิศ ทั้งนางยังช่างเจรจานัก ยามอยู่กับนางจึงรู้สึกปลอดโปร่งเหลือเกิน
เขายังโปรดสตรีที่เชี่ยวชาญด้านการวาดภาพอย่างสนมหรง สนมหรงวาดภาพได้งดงาม ทั้งท่วงท่ายังอ้อนแอ้น ยามได้มองนางก็รู้สึกสบายตาสบายใจไม่เบา
เขาโปรดสนมที่เชี่ยวชาญด้านการดนตรีเช่นสนมซู่ด้วยเช่นกัน เสียงยามนางเอื้อนเอ่ยช่างไพเราะ ยามสนทนากับนางก็รู้สึกว่านางราวกับกำลังขับลำนำอยู่ก็ไม่ปาน
ทว่าพวกนางแต่ละคนก็ล้วนแต่ค่อยๆ ทำผิดพลาดกันไปทีละคน จนในใจเขานั้นมีแต่โทสะสุมราวกับเพลิงพิโรธ จึงได้ทอดทิ้งพวกนางเสีย
สุดท้ายจึงกลับไปอยู่ข้างกายฮองเฮาอีกครั้ง จึงเพิ่งพบว่าฮองเฮาของตนนั้นเชี่ยวชาญด้านการร่ายรำ ทั้งบทกวีโฉมงามยังเข้ากับการร่ายรำของนางเหลือเกิน
ฮองเฮาดีต่อเขาเหลือเกิน ทว่ายามอยู่กับนาง เขาก็ยังรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
่นี้เขาชักจะหลงใหลในตัวสนมขั้นเล็กๆ ของตนเข้าแล้ว ใบหน้ากลมๆ ของนางไม่มีอะไรเป็พิเศษ นางเดินหมากไม่เป็ วาดรูปก็ไม่เป็เช่นกัน หรือจะให้ขับลำนำก็ยิ่งแล้วใหญ่ ทั้งยังเซ่อซ่า บนหน้าก็ยังมีกระพราวราวกับดวงดาว เรือนร่างก็อวบอิ่มนุ่มนิ่ม
คืนหนึ่งหลังจากที่เขาให้นางปรนนิบัติแล้วก็รู้สึกราวกับได้ััรสชาติที่ตนไม่เคยััมาก่อน สนมนางนี้ของเขาแม้จะดูโง่งม แต่ยามอยู่บนเตียงกลับเหลือร้ายนัก ความสามารถของนางทำให้เขารู้สึกถึงความรู้สึกที่ไม่เคยได้ััมานานแสนนาน
ทว่าครั้งนี้เขาได้เรียนรู้แล้วว่าต่อให้เขาชอบนางมากเพียงใด ภายนอกก็ไม่อาจแสดงออกได้ ทั้งยังไม่อาจให้ความสำคัญกับนางเป็พิเศษได้
เมื่อหันกลับไปมองเหล่าสนมที่ผ่านมาอย่างสนมฉี สนมหรง สนมซู่ ความจริงแล้วในใจลึกๆ เขาก็อยากปล่อยพวกนางไป ทว่ายามที่พวกนางทำผิดกลับถูกจับตัวเอาไว้ได้ ดังนั้นต่อให้เขาอยากจะปกป้องก็ไม่อาจปกป้องได้
เขานั้นแม้จะสมองทึบ แต่ก็ยังััได้ว่า เื่นี้จะต้องมีคนคอยบงการอยู่
ในวังหลวงแห่งนี้คนที่สามารถทำเื่พวกนี้ได้ ย่อมมีเพียงฮองเฮาจ้าวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาเท่านั้น
ฮองเฮาผู้เป็เ้าของใบหน้างามประดับรอยยิ้มบางๆ และท่าทีแสนอ่อนโยน ทั้งแววตาก็ทอประกายราวกับว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักที่มีต่อผู้เป็สามี
ฮ่องเต้พลันรู้สึกหนักอึ้งจนรู้สึกหายใจไม่คล่องขึ้นมา
เขาเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดแม้แต่ยามอยู่ในวังหลัง ตนก็ยังต้องคอยระแวดระวังถึงเพียงนี้
เขาเป็ถึงฮ่องเต้
บางคราเขาก็ลอบทอดถอนใจ บางทีเขาอาจไม่เหมาะจะเป็ฮ่องเต้จริง ๆ กระทั่งเื่สตรีของตนก็ยังจัดการไม่ได้
“อาจ้าว ข้าไปประชุมก่อน เ้าวางใจเถิด เ้ามอบอีเหรินผู้มาพร้อมกับความเจริญรุ่งเรืองให้ข้า ข้าย่อมไม่มีวันทำร้ายเ้า ข้าสัญญาว่าเ้าจะได้เป็ฮองเฮาของข้าไปตลอดชีวิต”
ฮ่องเต้เมื่อฉลองพระองค์เรียบร้อยแล้ว ก็สวมหมวกของฮ่องเต้ ทันใดก็ปรากฏแววสง่างามสมกับเป็โอรส์ และในฐานะของโอรส์นี้ ฮ่องเต้ได้ให้คำมั่นสัญญากับฮองเฮาของตน
ขุนนางผู้รับหน้าที่บันทึกยังคงอยู่อีกฝั่ง คอยจดบันทึกคำที่ฝ่าาเพิ่งตรัสเอาไว้
หากว่าจำไม่ผิด อืม ความจำของเขาไม่มีทางผิดพลาด ขุนนางจดบันทึกเช่นพวกเขาที่สามารถจดบันทึกพระจริยวัตรของฝ่าาได้ ความจำย่อมต้องเป็เลิศกว่าใคร
ในปีนั้นยามฝ่าาอภิเษกกับบุตรสาวคนโตตระกูลหลานก็ตรัสเช่นนี้
“หลานซี ชาตินี้เ้าจะเป็ฮองเฮาของข้าตลอดไป”
