“ว่ามาสิ ถ้าวันนี้ฉันไม่โผล่มากะทันหัน จะได้เห็นฉากนี้ไหม? ฉันแค่อยากสร้างความประหลาดใจให้เธอ แต่เธอ โจวเฉิง เธอกลับทำฉันใมากนักนะ!”
เซี่ยเสี่ยวหลานทำหน้าตาเฉยเมย ทว่าโจวเฉิงกลับรู้สึกว่าท่าทางหึงหวงของเธอช่างน่ารักน่าเอ็นดูเหลือเกิน
ไม่ได้ ยิ้มไม่ได้ ถ้ายิ้มออกมาในเวลานี้ ภรรยาเขาจะโกรธแน่นอน
“ฉันไม่เคยมองเขาตรงๆ ด้วยซ้ำ นั่นคือแฟนของเหล่าฟางนะ เสี่ยวหลาน เธอจะหึงก็ได้ แต่ไม่ดึงฉันไปเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนอื่นได้หรือเปล่า ฉันปวดใจจะแย่แล้ว!”
เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็รู้ดีว่าตัวเธอดูไม่มีเหตุผลเท่าไรนัก
ทว่าในใจมันมีความขุ่นเคืองอยู่
“เธอปวดใจอะไรกัน มีผู้หญิงมาเอาใจใส่เธอ เธอคงจะดีใจแทบไม่ทันแล้ว”
“ไม่ดีใจ เขาไม่ใช่ภรรยาฉันเสียหน่อย สวยสู้เสี่ยวหลานของฉันไม่ได้ และใจกว้างไม่เท่าเสี่ยวหลานของฉันด้วย วันนี้เธอส่งแพะตั้งหลายตัวให้หน่วยงานฉัน ต่อไปใครยังจะกล้าขุดกำแพงเธออีก?”
โจวเฉิงถึงขั้นคิดไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้าเกาเฟยยังคิดแนะนำน้องสาวให้เขาอีก โจวเฉิงก็จะถามอีกฝ่ายกลับว่าส่งแพะได้กี่ตัว และส่งได้สักกี่วัน?
ส่วนผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา เมื่อรับประทานเนื้อแพะของเซี่ยเสี่ยวหลานแล้ว ในอนาคตจะจับตาดูโจวเฉิงแทน ‘พี่สะใภ้’ ไม่ให้คลาดสายตา อย่าว่าแต่มีหญิงสาวมาวนเวียนรอบกายโจวเฉิงเพื่อเอาอกเอาใจ เกรงว่ากระทั่งยุงเพศเมียก็ไม่สามารถเข้าใกล้โจวเฉิงได้
โจวเฉิงยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานน่ารัก ในห้องมีเพียงทั้งสองคนเท่านั้น เ้าก้างขวางคอรกหูรกตาไม่กล้าเข้ามารบกวน เซี่ยเสี่ยวหลานถูกพูดจี้จุดเื่ค้างคาใจจนแก้มแดงจัด โจวเฉิงยิ่งมองยิ่งชื่นชอบ เขาอดไม่ได้ที่จะก้มหน้าประทับจูบลงบนริมฝีปากแดงนั่นของเซี่ยเสี่ยวหลาน
การกระทำนี้ของโจวเฉิงกะทันหันยิ่งนัก ทำเอาเซี่ยเสี่ยวหลานตกตะลึง
นี่คือรสชาติของภรรยาเขา? เขาจูบเซี่ยเสี่ยวหลานแล้ว?
เซี่ยเสี่ยวหลานโดนเขาจู่โจมเสียจนทำอะไรไม่ถูก
โจวเฉิงใสซื่อไร้เดียงสา เธอเองก็ไม่ใช่ผู้ช่ำชองอะไรเหมือนกัน เป็เวลาพักใหญ่กว่าทั้งสองคนจะผละจากกัน เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกว่าหูร้อนหน้าไหม้ราวกับถ่านติดไฟ
โจวเฉิงยังคงหวนนึกถึงรสชาตินั่นอยู่ หวานฉ่ำจับใจ เจือไปด้วยรสส้ม
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้แต่งหน้า แต่ทาลิปมันรสส้มไว้เล็กน้อย
“เธอ!”
โจวเฉิงตื่นเต้นแทบทนไม่ไหว รวบเซี่ยเสี่ยวหลานเข้ากอดทันที
“ที่แท้นี่ก็คือจูบ! เสี่ยวหลาน ฉันชอบเธอมากเหลือเกิน ทำอย่างไรดีนะ?”
ภรรยาสาวหอมละมุนอ่อนนุ่มก็ควรโอบกอดไว้ไม่ปล่อยมือ โจวเฉิงอยากลืมตาขึ้นมาแล้วถึงวัยที่จะสมรสได้ในวันพรุ่งนี้ให้รู้แล้วรู้รอด เขาจะได้พาเซี่ยเสี่ยวหลานไปจดทะเบียนสมรส หลังจากนั้นถ้าเขาอยากจูบก็จูบ อยากกอดก็กอด เป็เื่ถูกกฎหมาย และเป็ไปตามทำนองคลองธรรม!
ตอนแรกเซี่ยเสี่ยวหลานอยากผลักโจวเฉิงออก แต่ทั้งสองคนแนบชิดแน่นเสียขนาดนั้น จนเธอััได้ถึงจังหวะหัวใจของโจวเฉิง
เสียงนั้นเร็วระรัวมาก
โจวเฉิงยังเด็กเกินไปจริงๆ ความชอบของหนุ่มสาวมักบริสุทธิ์และเร่าร้อนเสมอ
นี่คือจูบแรกของโจวเฉิง
เธอเป็รักแรกของโจวเฉิง!
ความรู้สึกแบบนี้ช่างสวยงาม เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่านี่คือรักครั้งแรกของตนเช่นกัน โจวเฉิงชอบเธอ และความชอบของเธอที่มีต่อโจวเฉิงก็ไม่ได้รวมปัจจัยในด้านผลประโยชน์อื่น เป็ความชอบที่เรียบง่าย ชวนใจเต้นโดยไร้สิ่งปะปน ทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานกลับไปยังอายุ 18 ปีจริงๆ
เธอจึงไม่รีบร้อนผลักโจวเฉิงออก
ทำไมต้องผลักออกเล่า เธอเองก็ชื่นมื่นมากไม่แพ้กัน
เพราะหนึ่งจูบ ความห่างเหินจากการไม่ได้พบกันนานถูกทำให้สลายไป ความเหนียวแน่นระหว่างทั้งสองคนมากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก
ตอนคังเหว่ยมาเคาะประตู โจวเฉิงรู้สึกเสียดายยิ่งนัก
แต่นี่คือกลางวันแสกๆ ทั้งสองคนเป็เพียงคู่รักและยังมิใช่สามีภรรยา อยู่ในห้องหับที่ปิดมิดชิดนานเกินควร คนอื่นอาจเกิดการคาดเดาที่ไม่เป็มิตรต่อเด็กน้อย โจวเฉิงไม่ใส่ใจอยู่แล้ว ทว่าเขาจะยอมให้คนอื่นมานินทาเซี่ยเสี่ยวหลานลับหลังได้อย่างไร?
ต่อให้ไม่สบอารมณ์แค่ไหน โจวเฉิงก็ต้องเปิดประตูอยู่ดี
คังเหว่ยระมัดระวังอย่างยิ่ง “พี่เฉิงจื่อ เมื่อครู่พี่สะใภ้คุยกับผมเื่หนึ่งระหว่างทาง ผมอยากใช้เวลานี้ปรึกษากับพี่เสียหน่อย”
“เข้ามาเถอะ นั่งคุยกันสิ”
โจวเฉิงอาศัยอยู่ในห้องเดี่ยวคนเดียว ห้องขนาดไม่ใหญ่ มีเตียงและเก้าอี้ บริเวณติดหน้าต่างยังมีโต๊ะหนังสืออีกด้วย บนโต๊ะนั้นมีโคมไฟดวงเล็ก เซี่ยเสี่ยวหลานนั่งขอบเตียง ส่วนคังเหว่ยนั่งบนเก้าอี้ สิ่งที่คังเหว่ยจะคุยก็คือเื่การร่วมลงทุนทำธุรกิจวัสดุก่อสร้างที่ตลาดสะพานเผิงเฉิงเหรินหมิน
คังเหว่ยอยากลองฟังความคิดเห็นของโจวเฉิง
เขาไม่ได้เสียดายเงิน 5 หมื่นหยวน เงินจำนวนนี้เขาลงทุนไหวอยู่แล้ว แต่เซี่ยเสี่ยวหลานจะขาดเงินทุน และโจวเฉิงมีเงิน
ต้องได้รับการยินยอมจากโจวเฉิง คังเหว่ยถึงจะสามารถติดตามเซี่ยเสี่ยวหลานทำธุรกิจหาเงินได้อย่างสบายใจไร้กังวล
ปฏิกิริยาแรกของโจวเฉิงก็คือเซี่ยเสี่ยวหลานมีเงินทุนไม่พอ
เงินทุนไม่เพียงพอ กลับคิดจะทำให้ยิ่งใหญ่มั่นคง แน่นอนว่าต้องดึงคนร่วมหุ้น อย่าว่าแต่หนึ่งแสนห้าหมื่นหยวน ต่อให้เป็เงินสองแสนหยวนโจวเฉิงก็ควักให้ได้ ถ้าเซี่ยเสี่ยวหลานอยากทำธุรกิจใหม่ ไม่จำเป็ต้องดึงผู้ร่วมลงทุนรายอื่นด้วยซ้ำ
ทว่าพอคิดอีกแง่มุมหนึ่ง พอเซี่ยเสี่ยวหลานกลับมาเรียนมหาวิทยาลัยในปักกิ่ง ก็ห่างไกลจากเผิงเฉิงมากไปหน่อย ปิดภาคเรียนฤดูร้อนและฤดูหนาวค่อยไปที่นั่นก็ไม่มีปัญหา แต่ปกติธุรกิจต้องมีคนคอยดูแล การร่วมลงทุนไม่ได้แปลว่าขาดเงินทุนเสมอไป แต่เป็เพราะ้าคนที่น่าไว้ใจคอยช่วยเหลือจัดการธุรกิจต่างหาก
โจวเฉิงไม่ได้ตอบคังเหว่ยทันควัน ทว่าสั่งคนเรียกไป๋จื้อหย่งมาแทน
“หัวหน้า คุณตามผมหรือ?”
เซี่ยเสี่ยวหลานสำรวจพี่ชายของไป๋เจินจูด้วยความสงสัยทีเดียว
หน้าตาค่อนข้างเหมือนไป๋เจินจู แต่สิ่งที่น่าอายคือไป๋จื้อหย่งยังผิวขาวกว่าน้องสาวเล็กน้อยด้วยซ้ำ
“จื้อหย่ง ฉันจะคุยธุระกับนาย”
โจวเฉิงเล่าเื่เซี่ยเสี่ยวหลานและคังเหว่ยจะร่วมหุ้นทำธุรกิจกับไป๋เจินจูโดยคร่าว ไป๋จื้อหย่งทำความเคารพ “พี่สะใภ้ช่วยเหลือน้องสาวผมตั้งมากมายขนาดไหน ไป๋เจินจูก็เคยบอกในจดหมายแล้ว พวกเราบ้านไป๋ไม่มีคนใจเหี้ยมเนรคุณ ทุกอย่างจะเชื่อฟังพี่สะใภ้ทั้งหมด!”
“โจวเฉิง เธอไม่ต้องทำแบบนี้...”
เซี่ยเสี่ยวหลานคิดในใจ แค่ร่วมลงทุนทำธุรกิจ ทำไมต้องทำราวกับให้คำสัตย์ปฏิบัติภารกิจ
สำหรับการทำธุรกิจ ล้วนเป็เพราะทัศนคติใกล้เคียงและมีผลประโยชน์ร่วมถึงรวมตัวกัน ถ้าวันไหนเกิดความขัดแย้งทางแิของทุกคนและไม่สามารถประนีประนอมกันได้ ย่อมแยกจากกันไปคนละทิศทาง
โจวเฉิงกลับแน่วแน่มาก “จื้อหย่งสามารถตัดสินใจแทนบ้านไป๋ได้ เื่นี้ขึ้นอยู่กับเขา”
เซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกใ
ไป๋จื้อหย่งมีสิทธิ์อะไรตัดสินใจแทนไป๋เจินจู ในสังคมยุคใหม่ทุกคนมีความเสมอภาค ดูไม่ออกเลยว่าโจวเฉิงจะยังมีทัศนคติคร่ำครึเช่นนี้ ในใจเซี่ยเสี่ยวหลานเกิดความเคลือบแคลง และนึกถึงเื่ที่โจวเฉิงตัดสินใจไปหาจูฟ่างด้วยตนเองอีกครั้ง
ข้อดีของโจวเฉิงมีอยู่เยอะแยะ และมีเสน่ห์ดึงดูดเซี่ยเสี่ยวหลานมาก
แต่ในก่อนที่เธอจะไม่หลงใหลขนาดนั้น เซี่ยเสี่ยวหลานก็รู้สึกว่าความคิดยึดถือเพศชายของโจวเฉิงเข้มข้นพอสมควร
โจวเฉิงละเลยความตั้งใจของไป๋เจินจูไปเสียดื้อๆ ปัจจุบันทำกับคนไม่คุ้นเคยเช่นนี้ ในอนาคตเขาจะปฏิบัติกับเธอเช่นนี้ด้วยหรือไม่? ทว่าไม่ใช่เื่ง่ายกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะได้มาหาโจวเฉิงสักครั้ง จึงอดกลั้นความไม่สบายใจเล็กๆ นี้ไว้
ในส่วนของขั้นตอนบริหารจวบจนวิสัยทัศน์ต่อกิจการในภายภาคหน้าของเซี่ยเสี่ยวหลาน โจวเฉิงรับฟังทั้งหมดอย่างตั้งใจ
ความชื่นชมในสายตาของเขาไม่ใช่การเสแสร้ง เขาพบว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเหมือนจะสนใจด้านอสังหาริมทรัพย์จริงๆ ไม่เพียงแต่โน้มน้าวให้เขาซื้อบ้านเพิ่มในปักกิ่ง ยัง้าเข้าร่วมกิจการที่เกี่ยวข้องอีกด้วย
เซี่ยเสี่ยวหลานพูดไปเรื่อยๆ ขณะที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว กลิ่นหอมหวนของเนื้อแพะได้ลอยมาแล้ว ซุปเนื้อแพะที่ตุ๋นนานหลายชั่วโมงเสร็จเรียบร้อย แพะหันก็ย่างจนหนังด้านนอกกรุบกรอบเช่นกัน
“หัวหน้า พี่สะใภ้ แพะสุกแล้ว!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้