“บริหารทางนี้ค่ะ น้อง ๆ ปี 1 คณะบริหาร พี่ ๆ อยู่ทางนี้นะคะ!”
“ครุศาสตร์ทางนี้ครับน้อง!”
“วิศวะทางนี้ครับ มาทางนี้เลย!”
เสียงะโบอกชื่อคณะดังแข่งกับเสียงกลองที่ตีระรัว ถึงแม้ว่าในตอนเช้าตรู่วันนี้ฝนฟ้าอากาศจะไม่เป็ใจ แต่ถึงอย่างนั้นรุ่นพี่และคณาจารย์มหาวิทยาลัยชื่อดังยังคงไม่หวั่นเกรง ด้วยเพราะวันนี้เป็วันแรกของการเปิดภาคเรียน ไม่เพียงเท่านั้นยังเป็วันแรกของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 หรือที่เรียกกันว่าเฟรชชี่ รองเท้าผ้าใบสีขาวและคัทชูสีดำเป็มันเลื่อมย่ำลงกับพื้นถนนที่เฉอะแฉะเจิ่งนองไปด้วยน้ำฝน แต่ก็ไม่มีใครใส่ใจกับความสกปรกเ่าั้ ด้วยเพราะในตอนนี้มีแต่ความรู้สึกดีใจและตื่นเต้นกับบรรยากาศเปิดเทอมและสังคมใหม่ ๆ ในมหาวิทยาลัย
“สวัสดีค่ะ น้องชื่ออะไรคะ”
“สวัสดีครับ ชื่อม่านหยี่ครับ” เ้าของชื่อยกมือไหว้สวัสดีรุ่นพี่ตามมารยาท
“ชื่อ...อะไรนะคะ”
“ม่านหยี่”
“ม่านหยี”
“หยี่...ม่านหยี่ครับ มีไม้เอก”
“อ้อ! น้องม่าน...หยี่” รุ่นพี่คนนั้นพยักหน้ารับแล้วจรดปลายปากกาเคมีลงไปยังบริเวณที่ม่านหยี่ชี้ว่าต้องเติมไม้เอก มันมักจะเป็แบบนี้เสมอ คนอื่นชอบมีปัญหากับการเรียกชื่อของเขา ม่านหยีบ้างล่ะ มานหยีบ้างล่ะ บางทีก็เพี้ยนไปเสียจนไม่น่าฟังเลย ตลอดระยะเวลาสิบแปดปีม่านต้องคอยแก้ให้คนอื่นสะกดชื่อของเขาให้ถูกต้อง มันออกจะน่ารำคาญอยู่บ้าง ไม่หรอกถือเป็หนึ่งในเื่ที่น่ารำคาญของชีวิตเลยล่ะ
“น้องม่านหยี่รับกระเป๋าผ้าแล้วก็แผ่นพับแนะนำคณะแล้วเดินไปนั่งกับเพื่อน ๆ ตรงนั้นได้เลยนะคะ” ม่านพยักหน้ารับพลางมองไปที่ป้ายชื่อสีชมพูที่แขวนอยู่บนคอของรุ่นพี่ เขียนชื่อเธอเอาไว้ว่า “พี่เอ้” จากนั้นเขาก็เดินไปรับของตามที่รุ่นพี่บอกแล้วไปนั่งรวมกับเพื่อน ๆ คนอื่น รุ่นพี่หลายคนทั้งชายและหญิงกำลังตีกลองและร้องเพลงเพื่อสร้างบรรยากาศคึกคักให้กับน้องใหม่ “คณะบริหารธุรกิจ” รุ่นพี่บางคนถึงกับผูกเชือกฟางเป็กระโปรงแล้วเต้นสะบัดลืมโลกจนคนอื่น ๆ พากันหัวเราะไม่หยุด ม่านอมยิ้มน้อย ๆ แล้วนั่งมองอยู่เงียบ ๆ ด้วยเพราะเขาไม่เก่งในเื่เข้าสังคมสักเท่าไหร่ หรือที่คนอื่นชอบเรียกกันว่าเป็อินโทรเวิร์ต ม่านจะพูดก็ต่อเมื่อจำเป็ต้องพูด ม่านจะทำก็ต่อเมื่อจำเป็ต้องทำ เขาไม่มีสิทธิ์เอ่ยปากแย้งหรือถามหากว่าเขาไม่เต็มใจจะทำเื่นั้นหรือไม่ ด้วยเพราะถูกสั่งสอนมาแบบนี้ คำสั่งของบิดาถือเป็ที่สิ้นสุด ไม่มีใครสามารถขัดคำสั่งของพ่อเขาได้ ไม่แม้แต่ตัวม่านหยี่เอง...
“โอ้ย! จิ๊!” ดวงหน้าสวยหันขวับไปมองคนที่พึ่งย่อตัวนั่งลงข้างหลังเขา ม่านหยี่น่ะเวลาไม่ชอบใจอะไรความรู้สึกมันจะออกทางสีหน้าและแววตา อย่างเช่นตอนนี้
“อะไร?”
“นายเตะเรา”
“ไม่ได้เตะ”
“เตะ เมื่อกี้นายเตะเรา!”
“เตะตอนไหน เตะอะไร ขี้ตู่ว่ะ!”
คนขี้ตู่ชักสีหน้ารุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ก็เมื่อกี้ไอ้ผู้ชายคนข้างหลังของเขาเดินมานั่งแล้วปลายเท้านั่นมาสะกิดที่สะโพกของม่านพอดี เขาจะไม่อะไรเลยถ้าหากไอ้ผู้ชายคนข้างหลังนี่ขอโทษ หรือจะไม่ขอโทษก็ได้แต่อย่างน้อยก็ไม่ทำเสียมารยาทใส่แบบนี้!
“ก็เตะ-...”
“เฮ้ยราม! เชี่ยแม่งมาเช้าว่ะ!”
“เฮ้ยมึง ดูแม่ง เชี่ยรามแม่งมาก่อนพวกเราเลย!”
“เออ ไอ้เหี้ย ถึงว่าวันนี้ฝนตก!” แล้วม่านหยี่ก็กลายเป็อากาศธาตุท่ามกลางกลุ่มวัยรุ่นผู้ชายสามคนที่เดินเข้ามาสมทบกันในแถว ม่านนั่งอยู่อย่างนั้น ไม่ได้อยากจะฟังเท่าไหร่หรอกนะ แต่สี่คนนี้คุยกันไม่หยุดเลย เสียงก็ดังกว่ารุ่นพี่ที่ร้องเพลงอยู่ข้างหน้าซะอีก ม่านอยากหันไปปรามแต่ก็นั่นแหละ ไม่อยากยุ่งด้วยแล้ว
“มันจะคุยอะไรกันนักกันหนานะ!” หลังจากพยายามเก็บอาการมานานกว่าสามสิบนาทีเขาก็ทนไม่ไหว ม่านบ่นออกมาเบา ๆ ใจก็หวังว่าอยากให้พวกคนที่กำลังคุยกันอยู่ด้านหลังได้ยินและตระหนักได้ว่ากำลังคุยกันเสียงดังรบกวนคนอื่นอยู่ ไอ้ผู้ชายชื่อรามกับเพื่อนคุยจ้อไม่หยุดั้แ่เช้าจนตอนนี้อธิการบดีคณะมาปฐมนิเทศแล้วก็ยังคงหาเื่มาคุยกันได้ไม่เว้น
“พูดว่าอะไรนะ” แรงสะกิดที่ข้อศอกทำให้ม่านต้องหันไปหาคนข้างหลัง
“ก็พูดว่าจะคุยอะไรกันนักหนา อาจารย์พูดอยู่ทำไมไม่ฟัง”
“...อ้อ ครับ ๆ ขอโทษครับ” แต่เขากลับรู้สึกว่าคำขอโทษนั่นมันไม่จริงใจเอาเสียเลย ม่านหยี่คลำหน้าตัวเองสำรวจดู หาว่ามีอะไรติดอยู่หรือไม่ เพราะไม่เข้าใจว่าผู้ชายชื่อรามนั่นจะหัวเราะทำไมกะอีแค่เห็นหน้าเขา
การปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ใน่เช้าผ่านไป ส่วนใน่บ่ายนั้นจะเป็การประชุมผู้ปกครองซึ่งใช้เวลาไม่นานสักเท่าไหร่ ส่วนตัวม่านหยี่ไม่มีผู้ปกครองมาด้วยจึงปลีกตัวออกจากกลุ่มเพื่อนใหม่ที่พึ่งทำความรู้จักกันเมื่อเช้าออกไปอย่างเงียบ ๆ
“อ้าว! คุณนาย สวัสดีค่ะ!”
“สวัสดีค่ะคุณนายช่อ”
“มาถึงนานแล้วเหรอคะ ไม่โทรมาบอกอิฉัน นั่งอยู่ม้านั่งใต้คณะตรงโน้น”
“พึ่งมาเลยค่ะ นั่งเครื่องจากญี่ปุ่นกลับมาถึงไทยชั่วโมงที่แล้วก็บึ่งรถมาเลย”
“เข้าไปข้างในกันเถอะค่ะ น่าจะเริ่มกันแล้ว”
ม่านหยี่ยืนกินไอศกรีมอยู่ระหว่างนั้นก็บังเอิญได้ยินบทสนทนาของหญิงวัยกลางคนสองคนที่ดูท่าจะเป็ผู้ปกครองของนักศึกษาใหม่ ดวงหน้าสวยเสมองเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะหันมาละเลียดไอศกรีมรสกะทิที่คณะแจกฟรี มือเรียวจ้วงไอศกรีมรสหวานใส่ปากคำสุดท้ายและหันกลับหลังโยนมันทิ้งถังขยะไป แต่ขึ้นชื่อว่าม่านหยี่แล้วนั้นมักจะพ่วงมาด้วยความโชคร้ายในชีวิตเป็เื่ปกติอยู่แล้ว
“ว้าย!!!”
ตากลมเบิกโพลงเมื่อเห็นว่าไอศกรีมส่วนที่ละลายเป็น้ำในแก้วพลาสติกนั่นมันกระฉอกลอยข้ามอากาศไปเปื้อนอยู่บนเสื้อสูทราคาแพงของคุณนายที่ยืนคุยกันอยู่เมื่อสักครู่ เธอกรีดร้องเสียงหลงทำอะไรไม่ถูก ผู้หญิงสองคนนั้นละล่ำละลักหันรีหันขวาง ส่วนคนก่อเหตุก็ได้แต่ยืนมองดูเหตุการณ์ทุกอย่างด้วยอาการใสุดขีด ม่านพึ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเขาควรหากระดาษทิชชูมาช่วยซับทำความสะอาดเสื้อของเธอ!
“ผมขอโทษครับ ๆ” เด็กหนุ่มไหว้ปลก ๆ พร้อมกันนั้นก็ใช้กระดาษทิชชูที่คนตักไอติมแถมมาซับเสื้อสูทสีดำราคาแพงของคุณนายคนนั้นไปด้วย
“นี่ อย่ามาแตะฉัน เด็กนิสัยเสีย ไม่มีตารึไงสาดมาได้ยังไงเนี่ย!” คุณนายรุ่งฤดีแหวเข้าให้ เธอกำลังคุยกับเพื่อนเก่าอย่างออกรสออกชาติ ไม่คิดว่าอยู่ ๆ จะมีเด็กนิสัยเสียสาดไอศกรีมใส่เสื้อ
“ไม่ดูตาม้าตาเรือ! รีบขอโทษคุณนายเขาสิ!”
“ขอโทษครับ ๆ” ม่านได้แต่ไหว้ขอโทษอยู่อย่างนั้นไม่อาจทำอะไรได้อีก ด้วยเพราะพอจะเข้าไปช่วยเธอทีไรก็ถูกผลักออก คุณนายคงกลัวว่าเขาจะทำให้เสื้อเธอเปื้อนกว่าเดิมหรือเขาอาจไปทำให้สถานการณ์ตรงหน้าตอนนี้แย่ลงถึงขั้นเลวร้าย
“ผมขอโทษ ขอโทษจริง ๆ ครับ”
“ฮึ่ยยย! เธอรู้มั้ยว่าสูทตัวนี้ราคาเท่าไหร่! เวลาเดินให้หัดดูทางซะมั่ง”
“ไม่ทราบครับ ผมขอโทษครับ ขอโทษจริง ๆ” คราแรกคิดว่าเื่มันจะจบถึงแม้ว่าในใจลึก ๆ ไม่ได้เป็อย่างนั้น ทว่าตอนนี้ความกลัวเริ่มกัดกินหัวใจของเขา ด้วยเพราะพอคุณนายคนนั้นถามถึงราคาสูทตัวนี้ขึ้นมาเขาก็พึ่งคิดได้ว่าตนเองนั้นคงไม่มีปัญญาหาเงินมาจ่ายสูทราคาแพงตัวนี้แน่นอน
“เด็กสมัยนี้นี่นะ! เป็อะไรกันนักกันหนา ไม่มีใครสั่งใครสอนรึยังไง” ม่านอยากเถียงสุดใจว่าอย่างน้อยมารดาก็สั่งสอนเขาให้เป็คนดี ไม่ขาดตกบกพร่องหรือยิ่งหย่อนไปกว่าใคร เื่นี้มันผิดที่เขาเอง ไม่ได้เกี่ยวกับมารดาหรือใครอื่น แต่นั่นแหละ หากอ้าปากพูดอีกรอบเขาคงได้เดือดร้อนไปมากกว่านี้แน่ ๆ
“ไปเถอะค่ะคุณนายรุ่ง เด็กมันขอโทษแล้ว เดี๋ยวใช้ผ้าคลุมเอาไว้นะคะ” เพื่อนของคุณนายคนนั้นดูเหมือนจะผ่อนปรนและสงบสติอารมณ์ได้แล้ว การที่เธอกำลังบอกให้คู่กรณีให้อภัยกับการกระทำอันประมาทเลินเล่อในครั้งนี้ถือเป็ผลดีต่อเขา
“ฉันจะถือว่าวันนี้เป็วันดีของลูกชายฉันนะ ไม่อย่างนั้นเราไม่จบกันแค่นี้แน่ล่ะ!”
“ขอโทษครับ ผมขอโทษจริง ๆ”
ร่างบางยืนค้อมหัวให้หญิงวัยกลางคนทั้งสองเดินประคองกันออกไป ไม่พูดไม่จา ไม่มองหน้า ไม่สบตา ราวกับว่ากำลังสำนึกผิดและสำนึกบุญคุณกับการที่เธอไม่เอาความเขาในครั้งนี้ จนกระทั่งพวกเธอเดินก่นด่าด้วยความเคียดแค้นใจลับสายตาของเขาไป ม่านหยี่จึงถอนหายใจออกมายาวเหยียดด้วยความโล่งอก ไม่ได้ดี แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้แย่ไปเสียหมด เขาเคยคิดว่าโลกนี้อาจมีคนใจร้ายที่ทั้งใจร้ายด้วยความตั้งใจของตนเอง หรือใจร้ายเพราะความเผลอไผล แต่ไม่ว่ายังไงความใจร้ายเ่าั้ก็สมควรได้รับการให้อภัย ม่านหยี่ขอโทษคุณนายคนนั้นเพียงเพราะหวังว่าจะได้รับการให้อภัยและการที่เธอเดินจากไปโดยที่ไม่เอาเื่กับเขา นั่นคือการให้อภัยในแบบของเธอแล้ว ถึงแม้ว่าการพูดจากันในบทสนทนานั้นมันไม่ได้น่าฟังสักเท่าไหร่ แต่คนที่กำลังโกรธอยู่ก็แบบนี้แหละนะ
ผ่านไปมากกว่าหนึ่งอาทิตย์หลังจากวันปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ เพื่อน ๆ ในคณะบริหารธุรกิจมีมากมายจนเขาไม่รู้ว่าต้องเริ่มทำความรู้จักกับใครก่อน จนตอนนี้ม่านก็ยังไม่มีเพื่อน เขารู้จักกับเพื่อนผู้หญิงสองคน ชื่อออยและเนย แต่มันเป็การทำความรู้จักกันเพียงแค่ผิวเผินจนไม่อาจเรียกว่าเป็เพื่อนกันได้เต็มปาก ม่านหยี่พักอยู่หอพักนักศึกษาในกำกับของมหาวิทยาลัย อันที่จริงเขาต้องมีรูมเมทอีกหนึ่งคน แต่รูมเมทที่เป็รุ่นพี่คนนั้นเช่าหอในเอาไว้เพื่อเก็บของและอพยพตนเองออกไปอยู่หอนอกกับแฟนสาวเป็ที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นหากจะบอกว่าม่านใช้ชีวิตแบบตัวคนเดียวก็คงจะไม่เกินจริงสักเท่าไหร่
เสียงแจ้งเตือนแอปพลิเคชันในโทรศัพท์ของเพื่อนในชั้นเรียนหลายต่อหลายคนดังรัวขึ้น ม่านไล่สายตาอ่านข้อความในเครื่องมือสื่อสารของตนเองก็พบว่าเป็ข้อความที่ถูกส่งมาจากรุ่นพี่คนหนึ่ง
“ให้น้องปี 1 ทุกคนรวมตัวกันที่ห้องประชุม 3312 ของคณะภายในเวลา 5 โมงเย็นของวันนี้ แต่งกายสุภาพถูกระเบียบ ไม่ต้องเอาสัมภาระมาเยอะ สามารถนำโทรศัพท์เข้าได้แต่ต้องปิดเสียง”
“ขยันทำแต่เื่โง่ ๆ ไร้สาระ” ร่างสูงของเพื่อนคนหนึ่งนั่งลงที่โต๊ะเรียนข้าง ๆ เขา ทีแรกม่านไม่ทันได้สังเกตว่าคนที่มาใหม่เป็ใคร แต่เมื่อฟังจากเสียงทุ้มแสนคุ้นเคยและคิดให้ถี่ถ้วนดีแล้วนั้นอารามความเบื่อหน่ายและรำคาญก็ตีรวนฟุ้งขึ้นในอกของม่านหยี่ทันที
“เนอะว่ามะ”
‘เมิน’ นั่นคือการกระทำของม่านหยี่ในตอนนี้ เขาเมินไอ้ผู้ชายคนนั้น คนที่มันนิสัยไม่ดีเตะหลังเขาตอนวันปฐมนิเทศ
“เฮ้ย! นายยังไม่หายโกรธเราอีกเหรอ เราขอโทษแล้วไง”
คำว่า “ขอโทษแล้วไง” มันไม่ใช่คำขอโทษสำหรับม่านหยี่ อย่างน้อยคนเราถ้าหากสำนึกผิดกันจริง ๆ การขอโทษมันก็ควรจะฟังดูจริงใจกว่านี้สิ
“ไม่เอาน่า หน้างออะไร เนี่ย เดี๋ยวเราต้องสามัคคีกันไว้นะ ตอนเย็นนี้มีศึกหนักรออยู่”
“...” ม่านหยี่ยังคงเมินไม่ว่าจะกับคำว่าเราต้องสามัคคีหรือศึกหนักอะไรที่รออยู่ในตอนเย็นของวันนี้ และที่ไม่เข้าใจที่สุดคือที่นั่งว่างมีตั้งหลายร้อยที่ ไอ้ผู้ชายนิสัยไม่ดีคนนี้กลับเลือกที่จะนั่งลงข้าง ๆ เขา
“ว่าแต่ชื่ออะไรขอดู...ม่านหยี่ คนอะไรชื่อม่านหยี่” คิ้วเรียวของเด็กหนุ่มขมวดมุ่น มือแกร่งถือวิสาสะยื่นออกมาคว้าเอาป้ายกระดาษที่ม่านแขวนไว้ไปดูใกล้ ๆ จ่อหน้าเข้าไปเสียจนเหมือนคนสายตาสั้น
“แล้วคนอะไรชื่อรามสูร” ม่านน่ะชอบชื่อตัวเองจะตาย ไม่ยอมให้มาว่ากันอยู่ฝ่ายเดียวหรอกนะ
“เอ้ยชื่อเท่ดีออก นี่นะ รามสูรคือชื่อของพายุหมุนเขตร้อนหนึ่งในสามซูเปอร์พายุไต้ฝุ่นระดับห้าเลยนะ” เ้าของชื่อพูดอวดด้วยความภาคภูมิใจ
“แล้วม่านหยี่อะ ม่านหยี่แปลว่าอะไร เป็ชื่อจีนเหรอ”
ม่านส่ายหน้า จ้องมองเข้าไปในแววตาของรามก็พบเพียงแต่ประกายแห่งความอยากรู้อยากเห็นอยู่เต็มไปหมด คิดว่าถ้าเขาไม่ยอมพูดรามสูรก็คงจะเซ้าซี้อยู่ได้ทั้งวัน
“ม่านหยี่เป็ชื่อพายุเหมือนกัน”
“เฮ้ย! จริงดิ!”
“อืม ม่านหยี่ก็เป็พายุหมุนเขตร้อนของแปซิฟิกตะวันตกฝั่งเหนือ”
“แต่รามสูรชนะ เพราะรามเก่งกว่า”
“ผมบอกพวกคุณว่ายังไง 5 โมงเย็น นั่นคือเวลาที่ทุกคนต้องรวมตัวกันแล้ว! ไม่ใช่คนนึงช้า! อีกคนก็สาย! เพื่อนไม่ครบ! มีระเบียบวินัยในตัวหน่อยสิ ให้คนอื่นเขารอแบบนี้มันดีแล้วหรือไง!”
“...”
“ผมถามทำไมไม่ตอบ”
“ไม่ดีครับ”// “ไม่ดีค่ะ”
“เสียงมีแค่นี้เหรอ?”
“ไม่ดีครับ!” // “ไม่ดีค่ะ!”
“เออ! ก็รู้หนิ!”
เบื้องหน้านั้นคือรุ่นพี่ผู้ชายตัวสูงใหญ่ มือสองข้างไพล่เอาไว้ที่ด้านหลังเดินไปเดินมาอยู่บนเวที พร้อมทั้งะโสั่งสอนและก่นด่านักศึกษาปี 1 ที่เข้าประชุมสาย นี่ไม่ใช่การรับน้องหรือประชุมวิสามัญธรรมดา ถ้าจะเรียกให้สุภาพหน่อยมันคือการเข้าประชุมเชียร์หรือที่ทุกคนรู้กันดีว่าว้ากน้อง ไทยบอกว่าตนเองเป็ประเทศกำลังพัฒนา ทว่าผู้มีการศึกษาเหล่านี้ยังคงยึดติดอยู่กับการใช้อำนาจและความรุนแรงกดขี่ข่มเหงคนอื่น ผู้ชายที่เดินไปมาอยู่บนเวทีนั่น รุ่นพี่นับสิบ ๆ คนที่ยืนเรียงกันอยู่ทางด้านหลังพร้อมกับถือธงคณะสีชมพูสด หรือแม้แต่รุ่นพี่คนอื่น ๆ ที่ยืนล้อมรอบพวกเขาอยู่นั้นล้วนแล้วแต่ติดหล่มอำนาจจอมปลอมที่แต่งตั้งกันขึ้นมาในรั้วมหาวิทยาลัยอันคับแคบแห่งนี้
“ตามเพื่อนคุณซิ เพื่อนคุณหายไปไหน!”
“...”
“อย่างนี้จะดูแลกันได้ยังไง 4 ปีจากนี้คิดว่าจะอยู่ตัวคนเดียวรึไง!”
“...”
“ไม่มีพี่ ไม่มีน้อง ไม่มีเพื่อน ไม่เอาใครอย่างนั้นเหรอ!”
“...”
“เก่งนักรึยังไง”
“...”
“เอ้า! ตามเพื่อนมา เพื่อนคุณใครหายไปบ้าง!”
สิ้นเสียงคำสั่งเพื่อน ๆ ในคณะบริหารธุรกิจทั้งหญิงและชายต่างก็พากันล้อมกรูเข้ามาเป็วงกลม หลายคนกดโทรศัพท์ยิก ๆ เพียงครู่เดียวจากนั้นโทรศัพท์ของม่านหยี่ก็สั่นครืดคราด ข้อความจากเพื่อนที่ส่งเข้าไปในไลน์กลุ่มเป็การตามหาคนที่ไม่ได้อยู่ในห้องประชุมตอนนี้
“เพื่อนเรามีเท่าไหร่นะ”
“120 คน”
“ตอนนี้มีกี่คนแล้วอะ”
“117 คน”
“ใครหายไป”
ม่านหยี่พอจะรู้แล้วว่าใครหายไป แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปเพราะถึงไม่พูดเขาไม่ได้เดือดร้อน รุ่นพี่ในนี้คงทำอะไรไปไม่ได้มากกว่าการบ่น แต่ถ้าเขาพูดว่ารามสูรไม่เข้าประชุมเชียร์ รามอาจโดนเพื่อนทั้งรุ่นเกลียดไม่เผาผีเลยก็ได้
“แชมป์ล่ะ แชมป์อยู่มั้ย ราม คอปเปอร์ ก็ไม่อยู่ใช่มั้ย”
แล้วก็เกิดความวุ่นวายขึ้นอีกครั้งเมื่อเพื่อน ๆ ในคณะรู้แล้วว่าตอนนี้ใครหายไปจากการประชุมเชียร์บ้าง จึงเกิดการตามหากันอย่างจ้าละหวั่น
“ขออนุญาตไปตามหาเพื่อนได้มั้ยคะ” ผู้หญิงคนหนึ่งยกมือขวาขึ้นแนบใบหูอย่างที่รุ่นพี่เคยบอกไว้ เธอขออนุญาตอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“ไม่ต้องไป! เพื่อนคุณมันโตจนป่านนี้แล้วยังอ่านหนังสือไม่ออกหรือไง เพื่อนคุณมันไม่รู้เหรอว่าต้องทำอะไร!”
“เอ่อ...”
รู้สิ ทำไมนายรามสูรจะไม่รู้ เมื่อเช้าก็ยังบ่นอุบกับเขาอยู่เลย แต่ถึงอย่างนั้นถ้าความรับผิดชอบที่รุ่นพี่ว่าหมายถึงการมายืนนิ่งเป็หุ่นไล่กาไร้ชีวิตให้รุ่นพี่ก่นด่าและปรบมือร้องเพลงเข้าจังหวะไปวัน ๆ มันก็ไม่ใช่เื่ที่ควรเสียเวลามาทำซักหน่อย ยิ่งพอเปิดเรียนแล้วทุกคนต่างมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ทั้งการบ้านจากอาจารย์ผู้สอน ทั้งกิจกรรมการขึ้นทะเบียนนักศึกษาใหม่ของมหาวิทยาลัย สู้เขาเอาเวลาที่ต้องมานั่งร้องเพลงสร้างความสามัคคีปลอม ๆ ในคณะไปหางานพาร์ทไทม์ข้างนอกทำมันจะไม่ดีกว่าหรอกเหรอ
“หรือพวกคุณไม่ได้บอกเพื่อนคุณ หรือว่าเขาไม่รู้!”
“...คือว่า”
“อย่างนั้นมันก็เป็ความผิดของพวกคุณใช่มั้ย!” ม่านกลอกตาพร้อมกับถอนหายใจออกมาหนัก ๆ เขาเบื่อหน่ายการโยนความผิดกับเื่ไร้สาระนี่เต็มทน แต่ก็ไม่อาจทำใจกล้าเป็แกะดำผู้แข็งแกร่งเดินออกไปจากสถานที่แห่งนี้ได้ ‘อดทนสิวะม่าน ขนาดหนักหนากว่านี้ยังผ่านมาได้เลย’
“อ้าว...ผมมาสายเหรอ?” ในระหว่างที่เหตุการณ์กำลังคุกรุ่นอยู่นั้น รามสูรและเพื่อนอีกสองคนก็โผล่หน้ามา เด็กวัยรุ่นสามคนสวมชุดนักศึกษาที่ดูไม่ค่อยจะถูกระเบียบสักเท่าไหร่ ชายเสื้อหลุดลุ่ยออกจากกางเกง ผมที่เคยเป็ทรงตอนนี้ก็ถูกยีให้ยุ่งฟู ราวกับว่าสามคนนี้พึ่งตื่นลุกออกจากเตียงแล้วเผ่นมาที่ตึกเรียนเลยเสียอย่างนั้น
“ใช่ครับ คุณมาสาย”
ม่านเห็นว่ารามลอบเบะปากให้กับประโยคนั้นของรุ่นพี่ ม่านหยี่ไม่ใช่คนที่กล้าแหกคอก เขาเป็ประเภทที่ว่ามีความอดทนทบท้นเป็ูเา คิดว่ากับแค่การโดนตะคอกหรือก่นด่าไม่ได้ทำให้ร่างกายเจ็บช้ำอย่างนั้น ก็แค่ทน ๆ ไปอีกนิดเดียวก็คงจบ แต่เมื่อมองดูผู้ชายร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้าทุกคนตอนนี้ รามสูรไม่ใช่อย่างนั้น เขาคงเป็ประเภทที่ห่างจากคำว่ามีน้ำอดน้ำทนไปไกลโข
“อ้อครับ...ผมทำรายงานส่งอาจารย์อยู่น่ะ ทำอะไรที่มันมีประโยชน์อย่างที่คนอื่นเขาทำกัน” รามสูรเริ่มต้นเปิดฉากาน้ำลายกับรุ่นพี่เป็คนแรก เพื่อน ๆ ในคณะต่างมองหน้ากันอย่างหวั่น ๆ ส่วนรุ่นพี่ที่ยืนอยู่บนเวทีนั้นก็เชิดหน้าขึ้นน้อย ๆ คงเพราะได้ฟังประโยคที่ไม่ชอบใจสักเท่าไหร่
“คุณกำลังหมายความว่าที่ผมกำลังทำอยู่นี้ไม่มีประโยชน์ใช่มั้ยครับ”
“ครับ คุณก็ทราบนี่” ดูเหมือนหลายคนอยากจะะโห้ามเอาไว้ไม่ให้รามพูดประโยคเ่าั้ออกมา แต่ก็มีหลายคนเช่นกันที่เอาใจช่วยรามอยู่ รวมทั้งม่านหยี่เองก็ด้วย...
“ไหนคุณลองบอกผมหน่อยซิว่าอะไรที่มันมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์” รุ่นพี่คนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงท้าทาย เหมือนรู้แน่นอนอยู่แล้วว่าตนเองต้องเป็ฝ่ายกุมชัยชนะในาน้ำลายครั้งนี้
“พอดีผมพึ่งเคยเข้าเรียนมหาลัย...และเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาอาจารย์ก็สั่งให้ทำพรีเซนต์เพื่อที่จะเตรียมนำเสนอในวันศุกร์นี้ ส่วนเมื่อวานนี้อาจารย์ก็สั่งการบ้านบทแรก ตัวนอกที่เรียนก็มีงานกลุ่ม วันนี้มีทำบททดสอบซึ่งต้องทำให้เสร็จก่อนเที่ยงคืนและพรุ่งนี้ก็มีควิซ ที่พูดมาทั้งหมดคือผมอยากบอกว่าผมกับเพื่อนต้องอ่านหนังสือครับ”
“...พูดจบแล้วใช่มั้ย”
“แล้วพี่อยากรู้อะไรอีกล่ะ” รามมองหน้าอย่างท้าทาย ทุกอย่างที่พูดมานั้นล้วนกลั่นกรองออกมาจากสมองเรียบร้อยแล้ว เขาไม่กลัวว่าคนอื่นจะคิดกับเขาว่ายังไง ไม่กลัวว่าจะมีเพื่อนในคณะหรือไม่ ไม่กลัวด้วยซ้ำว่ารุ่นพี่จะโกรธไหมหลังจากที่พูดแบบนั้นออกไป
รามสูรมันไม่สนใจใครนอกจากคนที่มันให้ความสำคัญจริง ๆ
“บอกผมหน่อยซิ คุณคิดว่าการประชุมเชียร์นี่ไม่มีประโยชน์ตรงไหน”
“มันเสียเวลาพวกผม แทนที่จะเอาเวลาไปอ่านหนังสือ กลับต้องมานั่งทำความรู้จักกับคนอื่น เล่นเกมอะไรก็ไม่รู้...ผมจะบอกให้นะ ถ้าคนมันอยากจะรู้จักมันอยากเป็เพื่อนกันจริง ๆ อะ มันก็หาทางทำความรู้จักกันได้เองแหละ”
“ถ้าคุณไม่พอใจก็เชิญออกไปครับ!”
“อ้าว...นี่เรียกผมมาเพื่อเชิญออกหรอกเหรอ” รามสูรยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น ่ขายาวยังคงยืนหยัดไม่ก้าวถอยไปไหน เสมือนอยากพิสูจน์เพื่อให้ทุกคนในที่แห่งนี้ยอมรับว่าที่เขาพูดมาทั้งหมดมันถูกต้อง
“แล้วคุณจะเอายังไงครับ เพื่อนคุณทุกคนเขามาที่นี่ ตรงเวลา ตามระเบียบและตามที่เรานัดกันเอาไว้ พวกเราทุกคนที่อยู่ตรงนี้ล้วนแล้วแต่อยากทำความรู้จักกัน อยากเป็เพื่อนกัน คุณคิดว่าคุณจะผ่าน 4 ปีในมหาวิทยาลัยไปโดยไม่มีเพื่อนได้เหรอ!”
“ได้สิครับ ทำไมจะไม่ได้” ราวกับคำว่าลดราวาศอกนั้นไม่มีอยู่ในพจนานุกรมของคนที่ชื่อรามสูร ั์ตาคมดุแข็งกร้าวไม่สั่นไหว บ่ากว้างนั้นแบกความกล้าหาญเอาไว้มากมายเท่าไหร่ม่านก็ไม่อาจรู้ได้ ความรู้สึกเดียวที่ม่านหยี่มีอยู่ตอนนี้คือเขานับถือรามสูรอย่างสุดหัวใจ...
“จริง ๆ ผมคิดว่าเพื่อน ๆ ผมหลายคนในนี้อาจไม่ได้อยากทำอย่างที่พี่สั่งให้ทำอยู่ตอนนี้ก็ได้ กิจกรรมเชียร์มันไม่มีประโยชน์ใคร ๆ ก็รู้ มันมีหลายช่องทางในการทำความรู้จักกัน อะไรที่มันสร้างสรรค์กว่าการที่เรียกคนอื่นมาะโใส่หน้า”
“ถ้าคุณคิดว่ามันไม่ดีก็เชิญออกไปครับ”
รามสูรยืนนิ่งจ้องมองไปยังเบื้องหน้าพร้อมกับกระตุกยิ้มที่มุมปากแล้วส่ายหัวน้อย จากนั้นก็หันหลังเดินออกไปจากห้องประชุม เพื่อนสองคนที่ชื่อแชมป์กับคอปเปอร์ก็เดินจากไปเช่นกัน
แต่ไม่เพียงเท่านั้นนักศึกษาชั้นปีที่ 1 คนอื่น ๆ ต่างพากันทยอยเดินออกไปจากห้องประชุมเหมือนกัน จากหนึ่งเป็สอง จากสองเป็สาม และเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ กลายเป็ว่าคนเห็นด้วยกับรามมีจำนวนเยอะเหนือความคาดหมาย ม่านหยี่นิ่งคิดอยู่นาน มองดูเพื่อนร่วมชั้นหลายคนที่หันหลังเดินจากไป ถ้าหากเขาไปด้วยมันจะมีอะไรเกิดขึ้นไหมนะ เื่ทั้งหมดในวันนี้มันจะกระทบกับการเรียนของเขาไหม ถ้าแม่รู้เขาอาจแค่โดนบ่นอาจไม่เดือดร้อนอะไรมากมาย แต่ถ้าหากพ่อรู้เข้าเขาคงต้องเดือดร้อนละยิ่งไปกว่านั้นแม่คงต้องเดือดร้อนแน่ ๆ
คิดได้ดังนั้นม่านหยี่จึงตัดสินใจในเสี้ยววินาทีสุดท้ายเป็คนเพียงครึ่งหนึ่งที่ยังคงปักหลักไม่ไปไหน ภายในห้องประชุมขนาดใหญ่เงียบเสียงไม่เหมือนกับเหตุการณ์ชุลมุนก่อนหน้านี้ ที่ตีกันอยู่ในหัวของทุกคนตอนนี้คงเป็เสียงของรามสูรที่ดังก้องอยู่ท่ามกลางคนนับร้อย รุ่นพี่ที่ยืนอยู่บนเวทีนั่งมองหน้าพวกเราไล่ไปทีละคน ๆ ครู่เดียวจากนั้นรุ่นพี่ผู้หญิงอีกคนก็เดินขึ้นไปกระซิบกระซาบบางอย่าง ก่อนที่การประชุมเชียร์ในวันนั้นจะจบลงก่อนเวลาที่กำหนดไว้เกือบหนึ่งชั่วโมง