ั้แ่วันที่เกิดเื่ที่ห้องประชุมใหญ่ของคณะรามกลับกลายเป็จุดสนใจของคนอื่นมากยิ่งขึ้น ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่าแต่ไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนม่านมักจะเจอรามสูรอยู่ตลอดเวลา มันอาจเป็แค่การบังเอิญเจอกันที่โรงอาหารกลางของมหาวิทยาลัย หรือการที่รามบังเอิญเข้าเรียนห้องเรียนเดียวกันกับเขาเกือบทุกวิชา อาจเป็การบังเอิญเจอกันที่ร้านข้าวหน้ามหาวิทยาลัย หรืออาจเป็ความบังเอิญว่าเราไปซื้อขนมร้านเดียวกัน ไม่เพียงเท่านั้นม่านกับรามเกือบได้อยู่กลุ่มทำงานเดียวกันอีกด้วยเพราะรหัสนักศึกษาของทั้งสองคนใกล้กัน การได้พบเจอกันด้วยความบังเอิญนั้นน่าจะเป็เพราะรหัสนักศึกษาใกล้กันอย่างนั้นแน่ ๆ เพราะม่านก็คิดหาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้แล้วเหมือนกัน
“ขอยืมปากกาหน่อยดิ”
“ไม่มี มีแท่งเดียว”
“แท่งเดียวก็จะยืม”
“แล้วเราจะใช้อะไรอะ”
“ดินสอไง”
“งั้นนายก็เอาดินสอไปสิ!”
“ไม่เอา อยากใช้ปากกา” ม่านเหลือบตามองเพดาน้าด้วยความเหนื่อยหน่าย รามสูรน่ะไม่มีปากกาก็จริงแต่มีไอแพดราคาแพงวางตั้งอยู่ข้างหน้า แต่คนกวนประสาทคนนั้นกลับเลือกที่จะมาแย่งปากกาแท่งเดียวของเขากับกระดาษเอสี่หนึ่งแผ่นจดเนื้อหาที่เรียนทั้งคาบ อะไรกัน ผู้ชายคนนี้...แปลกคน
“ยังเข้าเชียร์อยู่อีกเหรอ”
“อืม”
“...ชอบเหรอ”
“เปล่า แค่เข้าไปงั้น” ม่านลดเสียงลงในขณะที่อาจารย์กำลังอธิบายเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมตะวันตกสมัยใหม่ รูปพระราชวังสวยงามขนาดใหญ่ถูกฉายขึ้นบนจอแสดงผลที่บริเวณด้านหน้าเวทีของห้องเรียนรวม วิชานี้เป็วิชาตัวนอกหรือวิชาเลือกที่ซึ่งจะมีนักศึกษาหลากหลายคณะเข้าเรียนพร้อมกันเป็คลาสเรียนขนาดใหญ่ และเป็อีกหนึ่งวิชาที่ม่านเจอกับรามสูร อาจารย์ผู้สอนตัวเล็กจนเกือบจะกลืนหายเข้าไปกับโต๊ะขนาดใหญ่ เพื่อนในคณะบริหารนั่งกระจัดกระจายกันไปในห้องประชุมกว้างขวางแห่งนี้
“เฮ้ยแชมป์ มึงว่าวันนี้กูจะเข้าเชียร์ดีมั้ยวะ”
“เข้าไปหาพ่อมึงเหรอ”
“อ้าว...เหงา ๆ ไง เข้าไปกวนตีนคนเล่น ๆ”
“เออมึงเข้าไปเหอะ เดี๋ยวได้โดนยำตีนออกมากูไม่ช่วยนะ”
“ม่านเข้าม่านยังไม่โดนเลย เนอะม่านเนอะ”
“ม่านไหนวะ”
“ม่านไง ม่านหยี่อะ” หลังจากเรียนเสร็จทุกคนทยอยเดินออกจากห้อง ม่านหยี่สาวเท้าก้าวเดินลงบันไดอย่างเร็วรี่ด้วยเพราะรำคาญรามสูรเต็มทน เขาไม่อยากเข้าไปเป็ส่วนหนึ่งของบทสนทนาของคนอื่นโดยเฉพาะการที่โดนกล่าวถึงทั้ง ๆ ที่ตัวเขายังอยู่ตรงนี้ ม่านหยี่น่ะ...พยายามทำตัวให้ลีบแบนไปกับฝูงชนแล้วแท้ ๆ
“แล้วรู้ได้ไงว่าเขาชื่อม่าน”
“ก็ถามไง”
“ไอ้นี่กวนตีนเขาไปทั่วอะมึง”
“ไม่กวนหรอก ใช่มั้ยม่าน”
“...”
“เออนี่ม่าน-”
“ม่านไปกินข้าวกับเรามั้ย”
“ไป!” ไม่ต้องลังเลเลยสักวินาที ม่านตอบตกลงไปโดยไม่คิดเมื่อเนยเพื่อนร่วมชั้นชวนเขาไปทานข้าวเที่ยงด้วยกัน ม่านไม่อยากเป็ส่วนหนึ่งของบทสนทนาของใครอีกแล้ว จึงใช้โอกาสนี้ปลีกตัวออกไปให้เร็วที่สุด
อาทิตย์ที่สี่ของการเปิดภาคเรียน ชีวิตของเหล่านักศึกษาใหม่ล้วนแล้วแต่มีเื่ราวให้เรียนรู้เพิ่มขึ้นมากมาย นั่นรวมถึงการแบ่งเวลาที่เรียกได้ว่า ‘เละเทะ’ เนื้อหาการเรียนเข้มข้นขึ้นมักจะพ่วงมาด้วยการบ้าน รายงาน และสอบเก็บคะแนนที่ถี่ขึ้น ม่านหยี่ต้องนั่งทำรายงานวิชาเลือกซึ่งเป็งานกลุ่มจนถึงเที่ยงคืน ในตอนเช้าของอีกวันก็ต้องตื่นขึ้นมาถ่ายคลิปและตัดต่อวิดีโอซึ่งเป็อีกของวิชาหนึ่ง เสาร์อาทิตย์มีกิจกรรมน้องใหม่ของมหาวิทยาลัยที่เขาต้องเข้าร่วม แล้วยังมีการไล่ขอลายเซ็นรุ่นพี่ที่รู้จักให้ครบตามจำนวนที่รุ่นพี่ในห้องเชียร์ระบุเอาไว้อีก ม่านคิดอยากเลิกให้ความสนใจกับหน้ากระดาษล่าลายเซ็นเปล่า ๆ นั้นไปแล้ว มันไม่มีอะไรสมเหตุสมผลซักอย่างเลย
“อ้าว! วันนี้น้อง ๆ ไม่เข้าห้องเชียร์เหรอครับ ระวังพี่ ๆ ดุเอาน้า” แล้วก็ยังเป็รามสูรเช่นเคยที่คอยเดินมาพูดกวนประสาทม่าน หรือบางทีผู้ชายนิสัยเสียคนนั้นอาจพูดกวนประสาททุกคนไม่ใช่แค่เขา บางทีม่านอาจสำคัญตัวเองผิดไปว่ามีตัวตนในสายตาเพื่อน
“ม่านไม่เข้าห้องเชียร์เหรอ” ก็จะไม่ให้ม่านคิดว่ารามสูรพูดกวนประสาทเขาได้ยังไง ขนาดตอนที่ม่านยุ่งหัวหมุนนายคนนั้นยังยื่นหน้าเข้ามาพูดใกล้ ๆ เขาแบบนี้อยู่อีก อยากเอาปากกาทิ่มตาชะมัด!
“ไม่เข้า หลบหน่อย”
“อ้าว จะไปไหนอะ”
“รำคาญ!”
“หูยยยยย โดนไปดอก สมควร” แชมป์สมน้ำหน้าคนโดนด่า ไอ้รามมันชอบกวนประสาทคนอื่นไปเรื่อยทั้ง ๆ ที่ตอนอยู่โรงเรียนเขาไม่เคยเห็นมันเป็แบบนี้สักครั้ง พึ่งจะมาเป็ก็ตอนนี้
“เดี๋ยวสิม่าน ไม่เข้าเชียร์จริง ๆ หรอ”
“ก็รู้แล้วว่าไม่เข้า ยังจะถามอีก!” ม่านแหวให้คนที่เซ้าซี้กวนใจ นายรามนั่นก็รู้ทั้งรู้ว่าตอนนี้เพื่อนในภาคทุกคนกำลังยุ่งวุ่นวายด้วยเพราะต้องทำงานส่งให้ทันเวลาหกโมงเย็น แต่ตอนนี้เป็เวลาห้าโมงเย็นแล้วและทุกคนที่อยู่ที่นี่ยังไม่ทันส่งงานอาจารย์สักคน ทุกคนที่ว่าคือคนที่ต้องเข้าห้องเชียร์ในเวลาห้าโมงเย็นของวันนี้ด้วย ม่านไม่รู้จะโทษใครระหว่างอาจารย์ที่ให้งานมาเยอะจนทำไม่หวาดไม่ไหว หรือโทษการประชุมเชียร์และพี่ ๆ ที่เอาแต่เรียกเข้าไปนั่งเรียงแถวแล้วร้องะโใส่หน้า หรือโทษที่ตัวม่านเองว่าไม่พยายามหาเวลามาทำงานให้เสร็จ อย่างนั้นก็เลยต้องหัวหมุนอยู่อย่างนี้ เอาเป็ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวมาข้างต้นมันมีส่วนผิดทั้งหมดเลยละกัน รามสูรก็ด้วย
“โถ่ม่าน เรามีเฉลยนะเอามั้ย”
“ไม่”
“ไม่เอาจริงเหรอ แน่ใจนะ”
“...”
“ไหนขอดูหน่อยซิ!”
“นี่! เอาคืนมานะ!” ใบงานสีขาวถูกฉกออกจากมือ เ้าของมันพยายามะโดึ๋ง ๆ ตามกระดาษแผ่นบางเ่าั้ไป ทว่าก็เอื้อมไม่ถึงด้วยเพราะรามตัวสูงกว่าม่านไปเกือบคืบ แขนขายาวปานเสาไฟฟ้าพึ่งก้าวเท้าวิ่งหนีม่านหยี่ไม่กี่ก้าวก็หนีพ้นแล้ว ส่วนม่านน่ะเหรอ หอบแฮกรู้สึกเหมือนลมจะหมดปอดเข้าไปทุกที
“ข้อนี้ทำไมตอบอย่างนี้ล่ะ”
“เอา แฮก ๆ ๆ เอาคืนมา”
“ตอบเรามาก่อน” สองคนวิ่งไล่กันมาจนถึงเงาไม้บริเวณหน้าคณะที่ซึ่งเป็ทางเดินปูด้วยอิฐแดงเป็แนวยาวไปตลอด นักศึกษาก็เดินกันให้ควัก อายก็อาย อยากได้ใบงานคืนก็ปานนั้น วิ่งแค่ไม่เท่าไหร่ม่านกลับหอบเหนื่อยเหมือนคนแก่ เหงื่อออกตัวเปียกซก ยืนแทบไม่ไหวจนต้องใช้สองมือเท้าเข่าสองข้างของตนเองเอาไว้
“ก็มันตอบอย่างนั้น”
“อืม...จะว่าอะไรมั้ยถ้าเราจะอธิบายให้ฟัง”
นี่อาจเป็หนึ่งในร้อยที่รามสูรพูดแบบนี้กับเขา แบบนี้ที่ว่าหมายถึง พูดด้วยความเกรงใจ เข้าหาอย่างถูกวิธีและไม่ทำให้ม่านอารมณ์เสียชักสีหน้าใส่อย่างเช่นทุกครั้ง แต่ก็นั่นล่ะด้วยเพราะความอคติมันบังตา
“ไม่”
“ไม่ว่า”
“หมายถึงไม่ต้องอธิบาย ไม่ฟัง!”
“โถ่...ม่านหยี่ นี่นะ ข้อนี้มันผิดจริง ๆ” ม่านจิ๊ปากทำตาขวางใส่คนตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนที่จะถอนหายใจหนัก ๆ แล้วยกแขนเรียวสองข้างขึ้นมากอดอกตัวเองไว้พร้อมกับพยักหน้าให้รามสูรอธิบายคำตอบข้อนี้ให้ฟังอีกที ม่านยอมรับว่าตนเองนั้นเป็คนมีน้ำอดน้ำทนล้นเหลือ ก็เลยคิดซะว่าถ้าหากเขาทนรามสูรที่สุดแสนจะเอาแต่ใจคนนี้ได้ ก็ไม่มีอะไรที่ม่านหยี่ทนไม่ได้อีกแล้ว
เริ่มจากรามอ่านทวนคำถามและอธิบายให้ม่านเข้าใจคำถามอีกรอบ มันไม่ใช่คำถามที่ยากเพียงแต่ต้องใช้ความคิดซับซ้อนนิดหน่อย เป็เสมือนปัญหาเชาวน์เสียมากกว่า ม่านตอบในสิ่งที่ตนเองเข้าใจ แต่รามก็พยายามเสริมให้กลายเป็ว่ายังมีคำตอบที่ม่านทำตกหล่นไปไม่ได้เอามาตอบในใบงานนี้
“เข้าใจรึยังทีนี้”
“อืม เข้าใจแล้ว”
“ไม่ต้องขอบใจหรอกนะ”
“ก็ไม่ได้จะพูด”
“ใจร้ายว่ะ” ชายหนุ่มจ้องหน้าเพื่อนร่วมชั้นที่ตอนนี้นำใบงานไปส่งยังห้องพักของอาจารย์ประจำรายวิชาเรียบร้อยแล้ว ม่านหยี่ยังดูเหมือนโกรธเขาอยู่เลย
“แล้วยังจะเข้าเชียร์อยู่มั้ย” ม่านหยี่เหลือบมองคนตรงหน้าก่อนที่จะมองเลยไปยังนาฬิกาแขวนผนังเรือนใหญ่ของตึกเรียน เขาเข้าเชียร์ช้ามาสามสิบนาทีแล้ว หากเข้าไปตอนนี้คงจะกลายเป็จุดสนใจของคนอื่นซะมากกว่า และการเป็จุดสนใจของคนอื่นนั่นคือสิ่งที่ม่านหยี่ไม่ชอบใจเอาเสียมาก ๆ
“ถ้าไม่เข้ามันจะเป็ไรมั้ย”
“ก็ไม่เป็ไร ไม่ตาย ไม่โดนตาม ไม่โดนด่า ไม่มีคะแนนจิตพิสัย ไม่โดนหักอะไรเลย”
“...อืม” ดวงหน้าสวยพยักหงึกหงักเป็อันเข้าใจกันดีทั้งสองฝ่ายว่าวันนี้ม่านหยี่โดดประชุมเชียร์
“ถ้าอย่างนั้น...หิวแล้วอะ ไปกินข้าวกัน”
“ไม่ไป”
“เลี้ยง”
“เลี้ยงก็ไม่ไป”
“อ้าว...” คนจะเลี้ยงยืนมองด้วยความสิ้นหวัง
ร่างบางสับเท้าก้าวเดินออกมาจากโถงคณะ เขาเกือบจะเดินลงบันไดไปแล้วทว่าก็ยังหยุดยืนเอาไว้อย่างนั้นก่อน ม่านหยี่ลังเล เขากำลังคิดอย่างหนักว่าตนเองควรจะหันกลับไปเอ่ยคำขอบคุณกับรามสูรดีหรือไม่ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ของรามในวันนี้ทำให้ม่านหยี่รู้สึกดีขึ้นกับเขาอีกเป็กอง แต่ก็อีกนั่นล่ะ ถ้าหากรามเข้าหาเขาด้วยวิธีที่มันปกติกว่านี้ คำขอบคุณจากปากของม่านหยี่อาจเอ่ยออกไปได้อย่างง่ายดาย
สุดท้ายแล้วม่านก็ตัดใจแล้วเดินจากไป
เก็บคำขอบคุณเข้ามาไว้ในชั้นตามเดิม
ม่านคิดว่าเขาอาจญาติดีกับรามสูรได้อยู่แล้ว แต่สุดท้ายความคิดนั่นก็เป็เพียงแค่ฝันลม ๆ แล้ง ๆ
รามกวนเขาหนักขึ้น
อาจเรียกได้ว่าถึงขั้นตามราวี
“ม่านหยี่ไปกินข้าวกัน”
“ไม่”
“ม่านหยี่ไปซื้อขนมเป็เพื่อนหน่อย”
“ไม่ไป”
“ม่านหยี่ไปซื้อของกัน”
“ไม่”
“ม่านหยี่...”
“ไม่”
“ยังไม่ได้พูดอะไรเลย...ชวนไปไหนก็ไม่ไป ทำไมอะ”
“แล้วมาชวนไปทำไม ก็รู้ว่าไม่ไป” คนเรามักจะไม่ชอบใจการโดนปฏิเสธ ยิ่งเป็การโดนปฏิเสธซ้ำ ๆ แล้วนั้น ความอยากชวนมันก็จะลดน้อยถอยลงเป็ธรรมดา แต่รามสูรกลับตรงกันข้าม ตลอดระยะเวลาสองเดือนมานี้รามเที่ยวชวนเขาไปกินข้าว ไปซื้อของ ไปดูหนัง ขนาดแค่การเดินไปเข้าห้องน้ำเพียงสิบเมตรผู้ชายบ้าชวนคนนั้นยังขอร้องให้เขาไปเป็เพื่อน ดูเอาเถอะคนเรา...แล้วม่านหยี่จะทำยังไงได้ล่ะ ถ้าไม่ไปก็จะเจอแบบนี้...
“ว่าจะชวนไปเข้าห้องน้ำ”
“ข้างหน้านี่ ไปเองสิ”
“เหงาอะ กลัวผี กลัวตุ๊กแก ตัวใหญ่มากวันนั้นเห็นมั้ย”
“ไม่”
“โถ่ ไปเป็เพื่อนหน่อยนะ”
“ก็มัน...” ม่านกำลังจะบอกว่าก็ห้องน้ำมันตั้งอยู่ตรงนั้น ไม่ไกลและมีคนเดินผ่านไปมาอยู่ตลอดเวลา เื่ตุ๊กแกหรือเื่ผีที่รามกู่ขึ้นมันก็ไม่เป็ความจริง
แต่เชื่อไหมว่าไอ้ผู้ชายตรงหน้ามันก็จะหาเื่มารบเร้าเขาได้อีกอยู่ดี
ม่านจึงตัดสินใจลุกขึ้นแล้วเดินไปส่งรามสูรเข้าห้องน้ำให้เสร็จ ๆ ไป
“ม่าน วันนี้ไปกินอาหารเกาหลีด้วยกันมั้ย” พอเดินกลับมาที่ม้านั่ง ออยและเนยที่นั่งอยู่ก็เอ่ยปากชวนเขา
“...ขอคิดก่อนนะ”
“ไปด้วยสิ”
“โอ้ย! นี่ราม เขาจะไปไหนก็ขอเขาไปด้วยเป็เด็กรึยังไง”
“เอ้า! ก็อยากไปด้วยไม่ได้เหรอ” รามสูรทำหน้าหงอยลงเหมือนลูกหมาโดนดุ แต่ใคร ๆ ก็รู้ว่าหน้าตาน่าสงสารที่ทำอยู่นั่นมันไม่จริง
“นี่มาวนเวียนแถวนี้ ถามจริง ๆ เถอะ ชอบม่านหยี่เหรอ” คำถามนั้นทำเอาบุคคลที่สามที่ถูกกล่าวถึงตัวชาวาบ ม่านไม่ได้คิดถึงขั้นนั้นเลยว่าไอ้การที่มีอีกคนมาคอยวนเวียนกวนตากวนใจนั้นมันจะให้ความรู้สึกอย่างอื่นนอกเหนือจากความน่ารำคาญ
“ชอบ”
“ฮึ้ยยย!”
“ชอบกวน”
เห็นไหมล่ะ...รามไม่ได้ชอบเขาหรอก
มันไม่มีอะไรนอกเหนือจากนั้น
สุดท้ายแล้วนั้นทั้งเขา เพื่อนสาวอีกสองคน รามสูรและเพื่อนรามสูรอีกสองคนก็หอบกระเตงกันมายังร้านอาหารเกาหลีที่ตั้งอยู่บริเวณโซนร้านค้าด้านหลังมหาวิทยาลัย ในตอนแรกนั้นตกลงกันว่าจะนั่งรถยนต์ของรามและแชมป์ แต่สาว ๆ บอกอยากเดินออกกำลังกายก่อนที่จะลงมือกินอาหาร และรามก็บอกว่ารถของตนเสีย ดังนั้นทางเลือกเพียงทางเดียวที่เหลืออยู่คือการเดินเกาะกลุ่มกันไป
ไก่ทอดสีสวย ข้าวเปล่าและอาหารอีกหลายอย่างที่สั่งไปทยอยกันมาเสิร์ฟ แต่ก่อนที่จะได้ลงมือกินนั้นรามก็ไม่วายหันมากวนม่านอีกเช่นเคย
“เอาอันไหน”
“อันไหนก็ได้เอามาเถอะ” พูดตัดบทไปด้วยความน่ารำคาญ ช้อนส้อมที่ห่ออยู่ในซองพลาสติกยังไม่ถูกแกะใช้ จะอันไหนมันก็เหมือนกัน รามแค่อยากแกล้งกวนประสาทเขาเล่นเฉย ๆ ก็เท่านั้น
อากัปกิริยาทั้งหมดล้วนแล้วแต่ตกอยู่ในเป้าสายตาของเพื่อน ๆ ทุกคน ออยและเนยกระทุ้งศอกเบา ๆ ให้อีกฝ่ายมองไปยังม่านหยี่ที่นั่งทำหน้าบอกบุญไม่รับ ส่วนรามสูรก็แกว่งช้อนส้อมสองคู่สลับกันไปมา แชมป์และคอปเปอร์เลิกคิ้วมองเพื่อนที่ปกติแล้วอยู่โรงเรียนมันไม่เป็แบบนี้ คิดว่าตอนนี้รามสูรน่าจะไม่ปกติ
ไม่ปกติมาก ๆ เลยทีเดียว
“เออแล้วในนี้มีใครพักหอนอกบ้าง”
“ออยอยู่หอนอก แต่เนยอยู่หอใน ส่วนม่านก็อยู่หอใน”
“เหรอ น่าเสียดายจัง”
“เสียดายอะไรอะแชมป์”
“นี่ว่าจะชวนไปเที่ยวร้านเหล้า”
“เฮ้ย ๆ ๆ ไม่ได้ ไม่ดีนะ อายุพึ่งจะสิบแปดจะไปเที่ยวร้านเหล้าได้ยังไง”
“มึงกล้าพูดนะไอ้ราม”
“กล้าสิ กูมันเด็กดี”
“ถ้ามึงดีกูก็พระแล้ว”
“โห...ม่านอย่าไปเชื่อมันนะ มันใส่ร้ายเรา” รามรีบหันมาอธิบายกับม่านหยี่ มือไม้พันกันมั่วไปหมด ทั้ง ๆ ที่คนที่นั่งข้าง ๆ ตอนนี้นั้นไม่ได้คิดอะไรเลยด้วยซ้ำ
วันนี้ม่านเข้าเรียนตามปกติ ความจริงแล้วนักศึกษาชั้นปีที่ 1 โดยเฉพาะคณะบริหารธุรกิจที่ม่านเรียนอยู่นั้น ไม่มีความจำเป็ต้องลงเรียนเยอะจนหน่วยกิตเกือบเต็มแบบดังเช่นที่เขาทำ แต่เพราะม่านคิดว่ายิ่งเขาเรียนจบเร็วเท่าไหร่มันยิ่งจะส่งผลดีต่อตัวเขาและแม่มากขึ้นเท่านั้น บรรยากาศในห้องเรียนเงียบไปไม่เหมือนเคย ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาม่านหยี่เป็เสมือนคนไร้ตัวตน ไม่ว่าจะในโรงเรียน ที่บ้าน หรือแม้กระทั่งมหาวิทยาลัย เขาพยายามทำตัวเองให้กลืนหายไปเป็อากาศธาตุทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็เพื่อใช้ชีวิตให้เรียบง่ายที่สุด แต่ว่าวันนี้ความเงียบงันในห้องเรียนกว้างมันกลับให้ความรู้สึกตรงกันข้ามกับหลาย ๆ วันที่ผ่านมา มันเป็ความเงียบเพื่อที่จะให้ม่านหยี่มีตัวตนชัดเจนขึ้นในสายตาทุกคน ซึ่งเขาไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย
“มาด้วยกันหน่อย”
“...อะไร”
“มาด้วยกัน แป๊บเดียว”
“ไปไหน ไม่ไป จะเรียนแล้ว” อยู่ ๆ รามก็พุ่งตัวมาจากไหนไม่รู้แล้วฉุดมือเขาพยายามลากให้เดินออกจากห้องไปด้วยกัน รามสูรมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก นั่นทำเอาม่านหวั่นใจไปด้วย ปกติแล้วคนตรงหน้ามักจะลอยหน้าลอยตาทำหน้าเหลอหลาไปวัน ๆ แต่พอตอนนี้ที่ั์ตาคมมันฉายแววที่ม่านอ่านไม่ออกมันก็ทำให้เขาสับสนอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
“ไปเถอะนะม่าน ขอร้อง”
“...”
ถึงขั้นขอร้องขนาดนั้นม่านหยี่คงทำอะไรไปไม่ได้มากกว่าการเก็บปากกาและสมุดจดเข้ากระเป๋าแล้วเดินตัวปลิวตามรามสูรออกมาจากห้องเรียน สองคนเดินสับเท้าด้วยความเร็วรี่ผ่านฝูงชนนับร้อยที่พากันเร่งฝีเท้าเพื่อเข้าเรียนคาบแรกของวันให้ทัน รามพาเขาเดินผ่านร้านเบเกอรี่เล็ก ๆ ของมหาวิทยาลัยที่กำลังอบขนมกลิ่นหอมฉุย ผ่านป้าแม่บ้านสองคนที่ยืนคุยกันอยู่ใต้พุ่มไม้สีเขียวสด เลาะผ่านสระน้ำกลางซึ่งมีน้ำพุสูงหลายเมตรเปิดโชว์เอาไว้ จนกระทั่งเราสองคนเดินเร้นหลบหายออกจากสายตาผู้คนนับสิบนับร้อยเ่าั้มาหยุดอยู่ที่ม้านั่งใต้ต้นไทรใหญ่แห่งหนึ่งไกลจากอาคารเรียนรวมไปมากโข แต่ที่ยังตามติดม่านอยู่ไม่ไปไหนคือความสงสัยว่ามีเื่อะไรรามสูรถึงได้ทำหน้าอย่างนั้น
“อะไรอะ ไม่เข้าใจ” เขาคิดว่าหากไม่เปิดปากถามวันนี้รามคงไม่เล่าอะไรให้เขาฟังเป็แน่
“ไม่มีอะไรหรอก แค่...”
“นี่ ถ้าจะลากกันมาตั้งไกลเพื่อที่จะพูดว่าไม่มีอะไรงั้นกลับนะ จะแกล้งกันอีกแล้วใช่มั้ย”
“ไม่คือ ไม่ได้แกล้ง” ตาเรียวจ้องมองไปยังผู้ชายที่ยืนหยัดอยู่ด้านหน้า รามตัวสูงใหญ่ผอมทว่าไม่ได้เก้งก้าง ดูสมส่วนอย่างที่ผู้ชายควรจะเป็ทุกอย่าง เรียกได้ว่าหล่อเหลาอาจถึงขั้นเพอร์เฟคเลยด้วยซ้ำหากเอาคำว่าฐานะที่บ้านเข้ามาคูณร่วมเข้าไป แต่ม่านหยี่ขอหักลบกลบหนี้กับนิสัยเสียของรามหน่อยแล้วกัน ไม่ชอบใจเลยจริง ๆ ที่เป็แบบนี้
“ถ้าไม่ได้แกล้งก็บอกมา มันเกิดอะไรขึ้น!”
“ม่าน ถ้าเรา...ถ้ารามถามไป ม่านสัญญาก่อนว่าจะไม่โกรธ” ม่านหยี่น่ะโกรธใครเป็ที่ไหนล่ะ กับเื่ที่คอยป่วนชีวิตเขาตลอดทั้งเทอมที่ผ่านมาเขายังไม่โกรธเลย มันจะมีอะไรเลวร้ายไปมากกว่านี้อีกเหรอ
“พูดมาราม!”
“คือ เขา เขาเล่าว่า...”
“รามอย่าลีลานักได้มั้ย!”
“สัญญามาก่อน”
“ไม่ เราสั่งให้เล่า เดี๋ยวนี้!”
“...เขาบอกว่าม่านเป็เด็กกำพร้า อยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า”
“...”
“แล้วบอกว่าม่านไม่มีพ่อแม่”
“...”
“มันคือเื่จริงมั้ย” รามสูรในตอนนี้ดูไม่เหมือนผู้ชายกวนประสาทขี้แกล้งที่คอยเอาแต่ก้อร่อก้อติกพูดไร้สาระกับเขาไปวัน ๆ หากแต่เป็รามสูรที่พูดโดยผ่านกระบวนการคิดกลั่นกรองและระมัดระวังคำพูดเ่าั้อย่างถึงที่สุด บางทีนี่อาจเป็ด้านดีด้านเดียวที่เขายังไม่เคยเห็นมันจากผู้ชายตรงหน้า รามสูรในยามจริงจังก็ดูไม่ได้น่ารำคาญอย่างที่คิด
“ใครพูด”
“เขา”
“เขาไหน”
“ไม่รู้ ได้ยินมาอีกที”
“แล้วเชื่อมั้ย”
“ไม่รู้ แต่ แต่ เขาก็รู้กันเยอะแล้ว ไม่รู้ว่าเื่จริงรึเปล่า” เื่ราวที่รามสูรพูดออกมาด้วยความระมัดระวังนั้นไม่เป็ความจริงอย่างแน่นอน ทว่าสถานการณ์ของม่านหยี่ในตอนนี้เสมือนคนน้ำท่วมปาก เขาทำอะไรไปไม่ได้มากกว่านี้ เขาต้องระมัดระวังอย่างถึงที่สุดหากคิดที่จะพูดหรือทำอะไรออกไป เพราะผลดีและร้ายเ่าั้มันไม่ได้สะท้อนเพียงแค่ตัวเขาคนเดียว มันอาจสะท้อนไปยังคนที่เขารักด้วยก็ได้
“...อืม”
“...คือ จริงเหรอ” ั์ตาคมฉายแววอ่อนโยนขึ้นอีก
“ใช่ เื่จริง” อย่างน้อยถ้าการกล่าวถึงเื่ครอบครัวเป็บทสนทนาที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการพูด ม่านหยี่ก็ขอใช้ประโยชน์จากตรงนี้เลือกโกหกรามสูรและทุก ๆ คนเพื่อที่จะเลี่ยงการตอบคำถามในเื่ครอบครัวของตนเอง
“ด้วยเพราะครอบครัวของม่านน่ะ ไม่ใช่ครอบครัวในแบบฉบับที่เรียกว่า ครอบครัวสุขสันต์สักเท่าไหร่”
อย่างนั้นถ้ามีทางเลี่ยงในการเล่าถึงเื่ราวของครอบครัวแล้วนั้น ม่านก็จะเลือกใช้เส้นทางนั้นไม่ว่าจะต้องโกหกเพื่อน ๆ ทุกคนหรือแม้กระทั่งรามสูรเองก็ตาม
“ที่ลากออกมาเพราะแบบนี้เองเหรอ”
“อืม...กลัวจะรู้สึกแย่” ไม่รู้ว่าเป็เพราะคำพูดที่ตรงเกินไปของรามสูรหรือเปล่าที่ทำให้หัวใจของเขาสั่น มันอาจเป็ประโยคที่รามพูดไปโดยไม่คิดอะไรแต่กับม่านหยี่แล้วนั้นการที่เราจะเป็ห่วงความรู้สึกของคนอื่นถึงขั้นนี้แสดงว่าคนคนนั้นน่าจะเป็คนสำคัญจริงๆ แต่ม่านอาจแค่คิดมากอยู่ฝ่ายเดียวก็ได้
“ไม่เห็นเป็ไรเลย ใครจะพูดอะไรก็พูดไปสิ แคร์เหรอ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น แค่...เรากลัวม่านรู้สึกไม่ดี”
เป็อีกครั้งแล้วที่รามย้ำเตือนประโยคนั้นกับเขาและก็เป็อีกครั้งเช่นกันที่หัวใจของม่านหยี่เต้นแรงขึ้น
“มันเป็ความจริง ต่อให้คนอื่นจะพูดอะไร เื่นี้มันก็เป็ความจริงอยู่วันยังค่ำ เราหนีความจริงไม่พ้นหรอกนะ” และเช่นเดียวกันนั้นความจริงที่ว่าเขากำลังแต่งเื่โกหกก็จะต้องตามหลอกหลอนม่านหยี่ต่อแต่นี้ไปจนตาย
“ว่างมั้ย ไปกินไอติมกัน เดี๋ยวเลี้ยง”
“ไม่มีเรียนรึไงคาบบ่าย”
“ไม่มี ว่างมาก” ม่านเกือบจะปฏิเสธคำขอของรามออกไปแล้วหากไม่เห็นว่าเมื่อครู่ที่ผู้ชายคนนี้ตั้งหน้าตั้งตาพาเขาหลบออกจากฝูงชนโดดเรียนคาบแรกมาเพื่อบอกว่าเป็ห่วงความรู้สึกของเขา วันนี้รามสูรไม่ได้สร้างความรำคาญ ในทางกลับกันรามทำให้ม่านเห็นว่าการมีตัวตนในสายตาของใครสักคนหนึ่งก็เป็เื่ที่ดีไม่น้อยเหมือนกัน
“เลี้ยงจริงนะ”
“ครับ”
“งั้นกินหน้ามอได้มั้ย ตอนบ่ายมีเรียน”
“ได้เลย” หมารามหูตั้งหางโผล่ ดีใจจนส่ายหน้าดุ๊กดิ๊ก เก็บอาการไม่ไหว ม่านอมยิ้มกับอากัปกิริยาเ่าั้ แต่ก็ต้องเสหน้ามองไปทางอื่นด้วยเพราะไม่อยากให้หมารามเห็น
สุดท้ายแล้ววันนี้ทั้งม่านหยี่กับรามสูรกลายเป็เด็กเกเรโดดเรียนทั้งวัน เริ่มจากที่โดดคาบแรกตั้งใจว่าจะไปกินไอศกรีมแต่จับพลัดจับผลูต้องไปช่วยลุงคนขายเปิดร้านเสียอย่างนั้น คุยกับลุงไป ๆ มา ๆ ลุงก็บอกว่าขาดพนักงานอยู่พอดี ม่านหยี่เลยตกลงว่าจะทำงานพาร์ทไทม์ใน่เย็นหลังจากเรียนเสร็จ ถึงแม้ว่ารามไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่แต่เขาก็ไม่สนใจหน้าตาบูดบึ้งนั้น ต่อมาใน่บ่ายรามก็บ่นว่าอยากดูหนังโดยให้เหตุผลว่าไหน ๆ ก็ออกมาแล้ว ถ้าจะโดดก็โดดให้ครบทั้งวันไปเลย ส่วนม่านหยี่น่ะเหรอ ยังไม่ทันอ้าปากพูดก็โดนฉุดแขนเดินตัวปลิวเข้าไปซื้อตั๋วหนังเป็เพื่อนนายรามแล้ว พอเดินออกจากโรงหนังยังไม่เท่าไหร่รามสูรก็บ่นว่าหิว ยังไม่ทันที่ม่านจะได้สติดีเขาทั้งสองคนก็เข้าไปนั่งอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่นแล้ว...เอาเถอะ ม่านหยี่จะทำตัวเป็ตุ๊กตาไร้ชีวิตสักวัน จะฉุดกระชากลากถูไปไหนก็เชิญเลยตามสบาย วันพรุ่งนี้ค่อยเอาคืนแล้วกัน
ทว่าเมื่อวันพรุ่งนี้มาถึง รามสูรกลับไม่เข้าเรียนในคาบเช้า
รามสูรไม่เข้าเรียนในคาบบ่าย
และรามสูรก็หายตัวไปทั้งวัน
...