ตอนที่ 5 วิหคเพลิงในเถ้าถ่าน
ข่าวชัยชนะของจิ้นอ๋องจ้าวเฟิงที่ด่านเยี่ยนเหมิน เปรียบเสมือนก้อนหินที่ถูกโยนลงไปในบึงน้ำที่สงบนิ่งของวังหลวง มันก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมที่มองไม่เห็น แต่กลับสั่นะเืไปถึงรากฐานอำนาจของทุกฝ่าย บรรยากาศภายในนครต้องห้ามแปรเปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน
บนผิวหน้านั้นคือความปรีดาปราโมทย์ องค์จักรพรรดิมีพระราชดำรัสยกย่องพระอนุชาในท้องพระโรงไม่เว้นวัน เหล่าขุนนางฝ่ายทหารต่างเดินยืดอกด้วยความภาคภูมิใจ เสียงซอและเสียงพิณในยามค่ำคืนดังยาวนานขึ้นกว่าเดิมราวกับเป็การเฉลิมฉลองล่วงหน้า แต่สำหรับผู้ที่อ่านกระแสลมแห่งอำนาจออก เยว่หลิงััได้ถึงความเย็นเยียบที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความรื่นเริงนั้น
ในตำหนักบูรพาขององค์รัชทายาท บรรยากาศเงียบสงัดและหม่นหมองลงอย่างเห็นได้ชัด ในตำหนักอวี้ชิงกงของจ้าวอ๋อง (องค์ชายรอง) แม้จะยังคงมีการจัดงานเลี้ยงรื่นเริง แต่สายตาของเหล่าขุนนางที่มาเข้าเฝ้ากลับแฝงไว้ด้วยความลังเลและชั่งใจ ทุกคนต่างรู้ดีว่าการกลับมาของจิ้นอ๋องในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การกลับมาของแม่ทัพผู้มีชัย แต่คือการกลับมาของพยัคฆ์ร้ายที่ทรงพลังยิ่งกว่าเดิม พยัคฆ์ที่จะเปลี่ยนสมดุลของอำนาจบนกระดานหมากแห่งต้าเยี่ยนไปตลอดกาล
สำหรับเยว่หลิงแล้ว ข่าวนี้ทำให้หัวใจของนางเต้นระรัวด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปกันอย่างน่าประหลาด ส่วนหนึ่งคือความตื่นเต้นยินดีที่เขายังมีชีวิตอยู่และกำลังจะกลับมา แต่อีกส่วนหนึ่งคือความหวาดหวั่นต่อคำประกาศิตที่เขาได้ทิ้งไว้... “เ้าจะเป็ของข้า”
บัดนี้นางไม่ได้เป็เพียงนางกำนัลไร้ชื่ออีกต่อไปแล้ว แต่นางก็ยังคงเป็เพียงหิ่งห้อยที่ริบหรี่อยู่ใต้แสงจันทร์ จะมีค่าพอให้พญาัเช่นเขาชายตามองอย่างจริงจังได้อย่างไร?
ความคิดนี้ผลักดันให้นางต้องทำงานหนักยิ่งขึ้น ทุ่มเทสติปัญญาและความสามารถทั้งหมดที่มีให้กับตำแหน่งผู้ช่วยของหลี่ซ่างกง นางไม่เพียงแต่เรียนรู้เื่ผ้าและด้าย แต่ยังศึกษาไปถึงประวัติศาสตร์ของเครื่องแต่งกายในราชสำนัก กฎมณเฑียรบาลที่ว่าด้วยลำดับชั้นของลวดลายและสีสัน ไปจนถึงความหมายมงคลและอัปมงคลที่ซ่อนอยู่ในลายปักแต่ละแบบ ความรู้เหล่านี้คือกำแพงและอาวุธที่นางกำลังสร้างขึ้นเพื่อป้องกันตนเอง
แล้วในที่สุด ภารกิจที่ทั้งสำคัญและอันตรายที่สุดก็ถูกโยนมาอยู่บนบ่าของนาง
หลี่ซ่างกงเรียกนางเข้าพบเป็การส่วนตัวอีกครั้ง "เยว่หลิง องค์จักรพรรดิมีพระราชโองการให้ซ่างฝูจวี๋จัดทำ ฉลองพระองค์ชุดแม่ทัพ (ไข่เสวียนเผา) เพื่อต้อนรับการกลับมาของจิ้นอ๋อง" นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง "นี่ไม่ใช่แค่เสื้อผ้า แต่เป็หน้าตาของราชวงศ์ และเป็เกียรติยศสูงสุดของวีรบุรุษ ข้าจะมอบหมายให้เ้าเป็ผู้ดูแลโครงการนี้ทั้งหมด"
เยว่หลิงเบิกตากว้างด้วยความใ "ซ่างกงเ้าขา! แต่งานนี้นี่ นี่เป็งานที่สำคัญเกินไป ข้าเกรงว่า..."
"ไม่มีแต่!" หลี่ซ่างกงตัดบทเสียงเข้ม "ข้าเห็นฝีมือและความหลักแหลมของเ้าจากการทำฉลองพระองค์ของจ้าวอ๋องแล้ว ข้าเชื่อว่าเ้าทำได้ และที่สำคัญกว่านั้น" นางหยุดพูดไปชั่วครู่ สายตาที่มองมายังเยว่หลิงนั้นลึกล้ำราวกับหยั่งรู้ทุกสิ่ง "ข้าเชื่อว่าไม่มีใครที่จะเข้าใจความ้าของจิ้นอ๋องได้ดีไปกว่าเ้าอีกแล้ว"
คำพูดนั้นแทงทะลุเข้าไปในใจของเยว่หลิง มันคือการยอมรับโดยนัยว่าหลี่ซ่างกงรู้ความลับของนางแล้ว บัดนี้นางกับหลี่ซ่างกงไม่ได้เป็เพียงนายกับบ่าวอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็ผู้สมรู้ร่วมคิดที่ถูกผูกไว้ด้วยผลประโยชน์ร่วมกันไปโดยปริยาย
"น้อมรับคำสั่งเ้าค่ะ" เยว่หลิงตอบรับอย่างหนักแน่น ความลังเลในแววตาของนางหายไป ถูกแทนที่ด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้า นี่คือโอกาสที่นางจะพิสูจน์คุณค่าของตนเองให้ประจักษ์แก่สายตาของเขา
แน่นอนว่าการตัดสินใจของหลี่ซ่างกงได้สร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงให้แก่เหมยเซียงและนางกำนัลาุโคนอื่นๆ เสียงซุบซิบนินทาว่าร้ายดังกระหึ่มไปทั่วทุกมุมของซ่างฝูจวี๋ บ้างก็ว่านางใช้รูปโฉมยั่วยวนหลี่ซ่างกง บ้างก็ว่านางมีเื้ัที่ไม่ธรรมดา แต่เยว่หลิงก็ทำเป็หูทวนลม นางรู้ดีว่าผลงานเท่านั้นที่จะเป็เครื่องพิสูจน์และปิดปากคนพวกนี้ได้
นางเริ่มต้นการออกแบบด้วยความทุ่มเทชนิดที่ลืมวันลืมคืน นางปฏิเสธที่จะใช้ผ้าไหมสีแดงหรือสีทองซึ่งเป็สีมงคลตามธรรมเนียมปฏิบัติ เพราะนางรู้ว่าจิ้นอ๋องไม่ใช่คนที่จะปลาบปลื้มกับความโอ่อ่าฉาบฉวยเช่นนั้น
นางเลือกใช้ผ้าไหมซาทินเนื้อหนาหนักสีดำสนิทราวกับรัตติกาลที่ไร้ดาว สีดำคือสีแห่งน้ำ คือความลึกล้ำ หยั่งไม่ถึง และเป็สีที่แสดงถึงอำนาจอันเด็ดขาดในปรัชญาโบราณ จากนั้นนางได้ให้ช่างปักฝีมือดีที่สุดใช้วิชาปักแบบ "ผานจินซิ่ว" ซึ่งเป็การใช้ดิ้นทองคำแท้พันรอบเส้นไหมแล้วปักลงไปบนผืนผ้า ทำให้เกิดเป็ลวดลายสามมิติที่แวววาวและทรงพลัง
แต่จุดสุดยอดของการออกแบบไม่ได้อยู่ที่สีหรือเนื้อผ้า หากแต่อยู่ที่ลวดลาย
แทนที่จะเป็ลายัห้าเล็บซึ่งเป็สัญลักษณ์ขององค์จักรพรรดิ หรือลายกิเลนที่ใช้กันทั่วไปสำหรับแม่ทัพ เยว่หลิงกลับเลือกลาย "เฟิ่งหวง" หรือ "วิหคเพลิง"
"เ้าเสียสติไปแล้วรึ!" แม้แต่หลี่ซ่างกงก็ยังใเมื่อเห็นภาพร่าง "เฟิ่งหวงเป็สัญลักษณ์ขององค์ฮองเฮา เป็ตัวแทนแห่งหยิน เ้าจะนำมาใช้กับฉลองพระองค์ของแม่ทัพที่เป็ตัวแทนแห่งหยางได้อย่างไร! นี่มันผิดหลักการและอาจถูกมองว่าเป็การดูิ่เบื้องสูงได้!"
เยว่หลิงอธิบายอย่างใจเย็น "เรียนซ่างกง นี่ไม่ใช่เฟิ่งหวงธรรมดา แต่เป็ เฟิ่งหวงเนี่ยผาน หรือ วิหคเพลิงที่เกิดใหม่จากกองไฟ เ้าค่ะ"
นางชี้ไปยังภาพร่าง "โปรดสังเกตเถิดเ้าค่ะ ข้าออกแบบให้ตัววิหคไม่ได้อยู่ในท่าที่ร่ายรำอย่างงดงาม แต่เป็ท่าที่กำลังสยายปีกทะยานขึ้นจากเปลวเพลิงที่ลุกโชนอยู่บริเวณชายเสื้อ ขนแต่ละเส้นปักด้วยดิ้นทองสลับกับดิ้นเงินและไหมสีแดงชาด ทำให้ดูเหมือนว่าปีกของมันยังคงมีเถ้าถ่านจากกองไฟเกาะติดอยู่ มันสื่อถึงการผ่านสมรภูมิที่นองเื การเผชิญหน้ากับความตาย และการฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ที่แข็งแกร่งและรุ่งโรจน์ยิ่งกว่าเดิม มันคือเื่ราวของจิ้นอ๋องในการรบครั้งนี้ไม่ใช่หรือเ้าคะ?"
หลี่ซ่างกงถึงกับนิ่งอึ้งไป นางมองภาพร่างนั้นสลับกับใบหน้าของเยว่หลิง นางเห็นความหลักแหลมที่น่าทึ่งและความกล้าหาญที่น่าหวาดหวั่นในตัวเด็กสาวคนนี้ การตีความที่ลึกซึ้งและท้าทายขนบเดิมๆ เช่นนี้ มันคือการเดิมพันที่สูงลิบลิ่ว
"และที่สำคัญที่สุด" เยว่หลิงกล่าวต่อ "การใช้สัญลักษณ์ของหยินบนฉลองพระองค์ของหยาง ยังเป็การสื่อถึงความสมดุล การที่อำนาจทางการทหารอันแข็งกร้าวของพระองค์นั้น อยู่ภายใต้การควบคุมของสติปัญญาและความสง่างามดุจวิหคเพลิง มันไม่ใช่การดูิ่ แต่เป็การยกย่องในระดับที่ลึกซึ้งที่สุดต่างหากเ้าค่ะ"
ในที่สุด หลี่ซ่างกงก็พยักหน้าช้าๆ "ข้าจะอนุมัติแบบของเ้า แต่ชีวิตของพวกเราทุกคนในซ่างฝูจวี๋ ก็แขวนอยู่บนเส้นด้ายแห่งการตีความนี้เช่นกัน"
งานปักดำเนินไปอย่างเร่งรีบทั้งวันทั้งคืนภายใต้การควบคุมของเยว่หลิงทุกขั้นตอน นางกินและนอนอยู่ที่ห้องปักผ้า ตรวจสอบความตึงของเส้นไหมทุกเส้น กำกับตำแหน่งของดิ้นทุกเส้นด้วยตนเอง นางไม่ยอมให้เกิดความผิดพลาดใดๆ ขึ้นได้แม้แต่น้อย
ทว่า ในขณะที่ทุกอย่างกำลังจะเสร็จสมบูรณ์ หายนะก็คืบคลานเข้ามาในความมืด
คืนหนึ่งก่อนที่จะถึงกำหนดส่งมอบงานเพียงสามวัน เยว่หลิงรู้สึกเหนื่อยล้าจนเผลอหลับไปที่โต๊ะทำงานของนางเป็เวลาสั้นๆ อาจูซึ่งเป็ห่วงจึงนำผ้าห่มมาคลุมให้และอยู่เป็เพื่อนเงียบๆ
ทันใดนั้นเอง นางกำนัลรับใช้คนหนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา "คุณเยว่หลิง! แย่แล้วเ้าค่ะ! เกิดเื่ใหญ่แล้ว!"
เยว่หลิงสะดุ้งตื่นเต็มตา รีบวิ่งตามนางกำนัลคนนั้นไปยังแท่นที่ขึงฉลองพระองค์ไว้ เมื่อไปถึงหัวใจของนางก็แทบจะหยุดเต้น
บริเวณดวงตาข้างซ้ายของวิหคเพลิงที่ปักอย่างสง่างามนั้น ปรากฏรอยเปื้อนสีดำคล้ำเป็วงเล็กๆ ขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว!
มันไม่ใช่รอยเปื้อนธรรมดา แต่เป็รอยไหม้! ราวกับมีใครนำปลายธูปที่ติดไฟมาจี้ลงบนผืนผ้าอย่างจงใจ ดิ้นทองบริเวณนั้นละลายจนดำเป็ตอตะโก และผ้าไหมสีดำสนิทก็ถูกเผาจนเป็รูเล็กๆ แม้จะเป็จุดที่เล็กมาก แต่บนงานปักที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ มันกลับดูเด่นชัดและน่าเกลียดราวกับแผลเป็บนใบหน้าของหญิงงาม!
"นี่มันเกิดอะไรขึ้น!" เยว่หลิงตวาดถามเสียงสั่น
เหล่านางกำนัลที่อยู่เวรต่างคุกเข่าลงกับพื้นตัวสั่นงันงก ไม่มีใครรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ทุกคนยืนยันว่าไม่มีใครเข้าใกล้ฉลองพระองค์เลย
แต่เยว่หลิงรู้ในทันทีว่านี่คือฝีมือของใคร เหมยเซียง!
การกระทำนี้โเี้และเืเย็นอย่างที่สุด มันไม่ใช่การทำลายงาน แต่เป็การ "ทำลายความหมาย" ดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ การทำลายดวงตาของวิหคเพลิง ก็เปรียบเสมือนการสาปแช่งให้วีรบุรุษต้องมืดบอด หากจิ้นอ๋องทรงฉลองพระองค์ชุดนี้โดยที่มีตำหนิเช่นนี้ออกไป ก็ไม่ต่างอะไรกับการประกาศให้โลกรู้ว่าชัยชนะของพระองค์นั้นมีจุดด่างพร้อย!
ความสิ้นหวังเย็นเยียบแล่นเข้าจับขั้วหัวใจของเยว่หลิง เหลือเวลาอีกไม่ถึงสามวัน เป็ไปไม่ได้เลยที่จะเลาะผ้าส่วนนั้นออกและปักใหม่ทั้งหมด การทำเช่นนั้นจะทิ้งร่องรอยไว้และอาจทำให้ผ้าทั้งผืนเสียหายได้
"จบสิ้นแล้ว พวกเราจบสิ้นกันหมดแล้ว" นางกำนัลคนหนึ่งร้องไห้โฮออกมา
เยว่หลิงยืนนิ่งราวกับรูปสลัก สมองของนางหมุนเร็วจี๋ราวกับกังหันต้องลมพายุ ไม่! นางจะยอมแพ้เช่นนี้ไม่ได้! นางเดิมพันทุกอย่างลงไปในงานชิ้นนี้แล้ว นางจะยอมให้ความอิจฉาริษยาของคนผู้หนึ่งมาทำลายทุกสิ่งที่นางสร้างขึ้นมาไม่ได้!
นางเดินเข้าไปจ้องมองรอยไหม้นั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ ในหัวของนาง ความรู้ทั้งหมดที่ได้ร่ำเรียนมาถูกขุดคุ้ยขึ้นมาใช้อย่างบ้าคลั่ง วิชาการซ่อมแซมผ้าโบราณ เทคนิคการปะผ้า การปักทับ
แล้วนางก็คิดออก!
"อาจู!" นางหันไปสั่งเพื่อนสนิท "ไปที่หอเก็บสมบัติของซ่างฝูจวี๋ บอกหลี่ซ่างกงว่าข้าขอเบิก ไข่มุกราตรี ที่เล็กที่สุดหนึ่งเม็ด กับไหมหิมะ์ หนึ่งใจ!"
อาจูเบิกตากว้าง "ไข่มุกราตรี! ไหมหิมะ์! นั่นมันของล้ำค่าสำหรับถวายฮองเฮานะ! ซ่างกงจะยอมให้เราเบิกได้อย่างไร!"
"ไปบอกท่านว่า วิหคเพลิง้าดวงดาวมาประดับตา!" เยว่หลิงกล่าวเสียงเฉียบขาด "เร็วเข้า! เราไม่มีเวลาแล้ว!"
เมื่อได้ของที่้ามา เยว่หลิงก็ลงมือทำงานด้วยตนเอง นางไม่ได้พยายามซ่อมแซมรอยไหม้ แต่กลับใช้เข็มเล่มที่เล็กที่สุดค่อยๆ ขยายรูนั้นออกอย่างประณีต จากนั้นนางจึงนำไข่มุกราตรีเม็ดเล็กจิ๋วที่ส่องแสงสีเงินนวลเรืองรองในความมืดมาฝังลงไปในรูนั้นพอดีพอดิบพอดี
จากนั้นนางจึงใช้ไหมหิมะ์ ซึ่งเป็ไหมที่ขาวบริสุทธิ์และเหนียวที่สุดในแผ่นดิน ค่อยๆ ปักทับขอบรอยไหม้และยึดไข่มุกไว้ด้วยลายปักรูปเปลวไฟสีเงินเล็กๆ ที่โอบล้อมดวงตาของวิหคเอาไว้
ความมหัศจรรย์ได้บังเกิดขึ้น...
จากรอยตำหนิที่น่าเกลียด บัดนี้มันได้กลายเป็จุดที่งดงามและเปี่ยมด้วยพลังที่สุดบนฉลองพระองค์! ดวงตาข้างขวาที่ปักด้วยดิ้นทองนั้นดูสง่างามและน่าเกรงขาม แต่ดวงตาข้างซ้ายที่ประดับด้วยไข่มุกราตรี กลับส่องประกายลึกลับราวกับดวงดาวบนฟากฟ้า ทำให้วิหคเพลิงตัวนี้ดูราวกับมีชีวิตขึ้นมาจริงๆ! มันไม่ได้มีเพียงสายตาของเทพ แต่ยังมีสายตาที่มองทะลุความมืดมิดได้อีกด้วย!
เยว่หลิงได้เปลี่ยนหายนะให้กลายเป็ผลงานชิ้นเอกที่เหนือความคาดหมาย!
เช้าวันส่งมอบงาน เมื่อหลี่ซ่างกงได้เห็นผลงานที่เสร็จสมบูรณ์ นางถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ นางเดินเข้ามาลูบไล้ไข่มุกราตรีที่ดวงตาของวิหคเบาๆ ก่อนจะหันมามองเยว่หลิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความทึ่งและยำเกรงอย่างแท้จริง
"เ้า ไม่ใช่แค่นางกำนัลอีกต่อไปแล้ว เยว่หลิง" นางกล่าวเสียงเรียบ "เ้าคือศิลปินและเป็นักสู้"
เยว่หลิงค้อมกายลง แต่ไม่ได้พูดอะไร นางรู้ว่านางได้ก้าวข้ามเส้นแบ่งที่สำคัญมาแล้ว
ในขณะเดียวกัน ที่มุมหนึ่งของห้องปักผ้า เหมยเซียงยืนตัวแข็งทื่อราวกับถูกสาป ใบหน้าของนางซีดเผือดไร้สีเื นางจ้องมองฉลองพระองค์ชุดนั้นด้วยความไม่อยากจะเชื่อ นางไม่ได้แค่พ่ายแพ้ แต่นางได้กลายเป็ผู้ที่ช่วยส่งเสริมให้ศัตรูของนางเปล่งประกายเจิดจ้ายิ่งขึ้นไปอีก
เยว่หลิงเหลือบมองนางแวบหนึ่งด้วยหางตาที่เ็า นางยังไม่คิดบัญชีกับเหมยเซียงในตอนนี้ นางจะเก็บหมากตัวนี้ไว้รอวันที่จะได้ใช้ประโยชน์จากมันในอนาคต
บ่ายวันนั้นเอง เสียงกลองศึกและแตรเขาสัตว์ก็ดังกึกก้องมาจากนอกกำแพงวัง
กองทัพของจิ้นอ๋อง ได้เดินทางกลับมาถึงนครหลวงแล้ว.
