“ดอกบัวเหล่านี้ทำได้เหมือนนัก มองดูไกลๆ อย่างน้อยคงมีเป็หลายร้อยดอกเลยกระมัง สวยจังเลย มิน่าเล่าพี่แปดจึงยอมอยู่ในจวนเฉยๆ ไม่ออกไปไหน บรรยากาศงดงามขนาดนี้ เป็ข้าก็ไม่อยากไปไหนเหมือนกัน” แม้แต่คนที่เห็นสถานที่ยิ่งใหญ่อลังการมาจนชินตาเช่นองค์หญิงห้ายังพึงพำชมเปาะอย่างอดไม่ได้ สายตาทอดมอง ‘บงกชสิบลี้’ ซึ่งบานสะพรั่งท่ามกลางหิมะโปรยปรายอย่างตื่นตะลึงราวกับต้องมนตร์
ยามเหมันต์เช่นนี้ปทุมในสระย่อมไม่อาจเบ่งบานได้ บงกชที่งามสะพรั่งอยู่เบื้องหน้าย่อมเป็งานฝีมืออันสมบูรณ์แบบของมนุษย์ทำออกมาอย่างแน่นอน จากจุดนี้ทอดมองไป ไม่ว่าจะเป็รูปลักษณ์ จิติญญาหรือกลิ่นหอม ล้วนทำให้คนรู้สึกว่านี่คือทัศนียภาพอันงดงามของสระบงกชในยามคิมหันตฤดูอย่างแท้จริง กำแพงสูงที่ตั้งตระหง่านอยู่สองด้าน และต้นเฟิงขนาดใหญ่ริมสระช่วยกำบังลมได้เป็อย่างดี
สายลมจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดผ่านมาทางนี้จะถูกขวางด้วยกำแพงก่อนชั้นหนึ่ง และถูกต้นเฟิงขวางไว้อีกเป็ชั้นที่สอง จนเหลือเพียงกระแสลมโชยเบาคล้ายกับยามหน้าร้อน ความคิดเฉียบคมเช่นนี้ ทักษะฝีมือเลิศล้ำเพียงนี้ กำลังทรัพย์และความมั่งคั่งระดับนี้...
เฟิงเจวี๋ยเสวียนได้แต่รำพึงอยู่เงียบๆ น่าเสียดาย หากความคิด ความสามารถและความมั่งคั่งระดับนี้ ถูกนำมาใช้เพื่อ่ชิงการเป็ผู้สืบทอดราชบัลลังก์ ก็นับได้ว่าอนุชาแปดของเขาผู้นี้เป็คู่ต่อสู้ที่มีฝีมือทัดเทียมกันทีเดียว
แม้สีหน้าจะเผยความริษยาออกมาให้เห็น แต่ภายในใจของเฟิงเจวี๋ยเสวียนกลับรู้สึกผ่อนคลาย ดีแล้ว... ที่เฟิงเจวี๋ยหร่านเป็เพียงอ๋องเ้าสำราญรักแต่การกินดื่มร้องเล่น ตนเองก็ไม่ต้องเปลืองกำลังความคิดมากนัก เขาปรายสายตามององค์หญิงห้าที่ยังคงตื่นตะลึงไม่ได้สติ รอยยิ้มบนริมฝีปากยิ่งฉายแววอ่อนโยนขึ้นเรื่อยๆ
“หากน้องหญิงห้าชมชอบก็ให้น้องแปดช่วยจำลองสระบงกชสิบลี้เอาไว้ชมเล่นที่วังหลวงสิ น้องหญิงห้าจะได้ชมความงดงามอย่างเบิกบานใจได้ตลอดปี สี่ฤดูเช่นเดียวกับยามคิมหันต์ทีเดียว” หลังจากนึกชื่นชมด้วยความรู้สึกทึ่งอยู่ในใจ เฟิงเจวี๋ยเสวียนก็คลี่ยิ้มอ่อน พูดคุยกับองค์หญิงห้าพลางเดินไปยังเรือนกลางน้ำ
“พี่ใหญ่ช่างล้อเล่นนักเชียว หากข้าไปสร้างอะไรแบบนี้ในวังหลวง ทั้งเสด็จพ่อ เสด็จแม่ต้องไม่ละเว้นข้าแน่ นี่ต้องใช้เงินทองมากเท่าใดกันหนอ...” องค์หญิงห้าหดคอลงมา ไม่รู้ว่าเป็เพราะอากาศหรือรู้สึกหนาวเพราะคำพูดของเฟิงเจวี๋ยเสวียน ใบหน้าเล็กย่นยู่ ทำปากจู๋บ่นกระปอดกระแปดอย่างน่าสงสาร เฟิงเจวี๋ยเสวียนเห็นแล้วก็หัวเราะขบขัน
ทั้งสองจึงยุติบทสนทนาหัวข้อนี้ไป เื่นี้เฟิงเจวี๋ยหร่านอาจทำได้ แต่พวกเขาหรือคนอื่นๆ กลับไม่สามารถ
ดูท่าเสด็จพ่อคงจะโปรดให้น้องแปดเป็อ๋องเ้าสำราญ ที่พอใจเพียงการเสพสุขภายใต้สายลมแสงจันทร์ทุกคืนวันเท่านั้น หาไม่แล้วจะทรงมองเขาใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเยี่ยงนี้ได้อย่างไร วันนี้ก็แค่ส่งพวกเขาสองคนมาช่วยตักเตือนนิดๆ หน่อยๆ พอเป็พิธี แต่ไม่มีพระราชโองการชี้โทษลงมาอย่างเปิดเผย
ขณะที่องค์หญิงห้ามองบงกชสิบลี้อยู่ พลันรู้สึกว่าการเป็องค์ชายเ้าสำราญก็ไม่เลวเหมือนกัน แต่เมื่อนึกถึงสถานะสตรีของตนเองก็ได้แต่ทอดถอนใจ นึกตัดพ้อในความไม่ยุติธรรม
นางไม่ได้อยากเป็องค์ชายเพื่อหมายแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดราชบัลลังก์ เพียงแค่คิดว่าหากตนเองเป็บุรุษ ทั้งยังเป็พระโอรสที่เกิดจากฮองเฮา แค่ได้เป็องค์ชายว่างงานกินดื่มเที่ยวเล่นไปวันๆ ก็พอใจแล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่มีภัยคุกคามต่อองค์ชายอื่นๆ ต่อไปไม่ว่าผู้ใดจะขึ้นเป็จักรพรรดิ ก็ย่อมจะไม่มีผู้ใดมาสนใจกับอ๋องสำมะเลเทเมาคนหนึ่งเป็แน่ ไหนเลยจะเหมือนกับตนเองยามนี้ ถูกเสด็จแม่เร่งเร้าให้ออกเรือนอยู่ทุกเช้าค่ำ บุรุษที่เสด็จแม่เลือกให้ไม่มีถูกใจสักคน
คิดแล้วก็อึดอัด ถอนหายใจเสียหลายเฮือกเพื่อระบายความกลัดกลุ้ม แม้ว่าสระบงกชที่อยู่เบื้องหน้าจะงดงามตระการตา แต่ยามนี้เห็นแล้วกลับหงุดหงิดใจ จึงบ่ายหน้าหลบไม่มองอีก แล้วเดินตามเฟิงเจวี๋ยเสวียนไปยังเรือนกลางน้ำ
แต่นางกลับไม่คิดว่าหากตนเองเกิดมาเป็องค์ชายจริงๆ และยังเป็พระโอรสที่เกิดจากฮองเฮา มีหรือที่จะไม่ถูกดึงเข้าไป่ชิงความเป็ใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าองค์ชายพระองค์ใดจะได้ขึ้นสืบราชสมบัติ ย่อมมีใจหวาดระแวงต่อพระโอรสที่เกิดจากฮองเฮา ไหนเลยจะได้เป็อ๋องเ้าสำราญอยู่สุขสบายดังใจนึก
การก้าวสู่ตำแหน่งสูงอันโดดเดี่ยว มีใครบ้างมิได้เหยียบย่ำกองเถ้ากระดูกของพี่น้องตนเองขึ้นไป!
แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ผู้เป็พระราชธิดาเช่นองค์หญิงห้าย่อมไม่มีทางรู้ จึงเพียงรู้สึกน้อยใจในสถานะองค์หญิงที่ไม่อาจทำในสิ่งที่ตนเองปรารถนาได้เท่านั้นเอง
เนื่องจากเรือนกลางน้ำถูกจำลองเป็เวทีใหญ่กั้นด้วยม่านหนาหลายชั้น ลมไม่อาจลอดผ่านเข้าไปได้ ภายในยังปูพรมจึงให้ความรู้สึกอบอุ่น ทันทีที่เฟิงเจวี๋ยเสวียนและองค์หญิงห้าก้าวเข้าไป กลิ่นหอมละมุนก็โชยมาปะจมูก เฟิงเจวี๋ยหร่านกำลังนอนเอนกายอยู่บนตั่งที่ตั้งอยู่ในตำแหน่งหลัก อาภรณ์สีม่วงขับร่างให้ดูทรงเสน่ห์เย้ายวนอย่างร้ายกาจ เกศายาวสยายทิ้งตัวลงมาอย่างอิสระ บดบังใบหน้าหล่อเหลาไปเสียครึ่งหนึ่ง ในมือถือด้ามพัดที่มิได้กางออกเคาะเป็จังหวะสอดรับกับท่วงทำนองมโหรี ดวงตาหงส์เรียวสวยเปิดปรืออยู่กึ่งหนึ่ง ท่าทางกำลังสำราญใจเป็อย่างยิ่ง
สตรีที่กำลังร่ายรำอยู่เบื้องหน้าคือเหล่านางคณิกาโฉมงามเพริดพริ้ง เรือนร่างอรชรภายใต้อาภรณ์บางเบาทำให้อากาศยามต้นเหมันต์ร้อนระอุขึ้นมา มีสตรีสวมอาภรณ์แพรโปร่งยืนเรียงขนาบสองด้าน ด้านหน้าของวงมโหรีมีหญิงสาวหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรากำลังขับขานบทเพลงอันไพเราะ
เมื่อได้ยินเสียงคนประตู เฟิงเจวี๋ยหร่านก็ลืมตาขึ้น แต่ก็มิได้หยัดกายลุกขึ้นมานั่ง เพียงแค่กล่าวต้อนรับอย่างอบอุ่น
“พี่ใหญ่ น้องหญิงห้า วันนี้มีสิ่งใดเป็พิเศษหรือ พวกท่านจึงมีเวลามาเยี่ยมเยียนข้าได้ หรือว่า... เสด็จพ่อทรงมีคำชี้แนะอันใดลงมาอีก สองวันนี้สุขภาพของข้าไม่ค่อยดีนัก เกรงว่าไม่อาจตามพี่ใหญ่กับน้องหญิงห้าเข้าไปขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณได้”
ด้านนอกกับด้านในราวกับเป็คนละฤดูกาลโดยแท้ ขณะที่อยู่ข้างนอกลมหายใจพ่นออกมาเป็ไอ แต่เมื่อเข้ามาถึงด้านในความอบอุ่นพลันแผ่กำจายไปทั่วร่าง เฟิงเจวี๋ยเสวียนเดินเข้ามาก่อน กวาดสายตามองเงียบๆ จนไปหยุดอยู่ที่บั้นเอวที่กำลังบิดส่ายอยู่ในท่าทางยั่วยวนของนางรำ องค์หญิงห้าหยุดชะงักอยู่ที่ประตูครู่หนึ่ง ก่อนแข็งใจเดินเข้ามาอย่างไม่ให้น้อยหน้า
เมื่อเห็นเฟิงเจวี๋ยเสวียนเข้ามา หญิงงามก็ยิ้มส่งสายตาหวานเชื่อมมาให้เขา กลิ่นแป้งชาดหอมกรุ่นลอยมา
“น้องแปด ให้พวกนางถอยออกไปก่อนได้หรือไม่ พวกเราพี่น้องจะได้คุยกันสะดวกหน่อย” เฟิงเจวี๋ยเสวียนมุ่นคิ้วเล็กน้อยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ก่อนหย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ไม้หนานมู่ตัวใหญ่ด้านข้าง
“พี่ใหญ่ไม่ชอบหรือ แต่ข้ากลับชอบนัก” เฟิงเจวี๋ยหร่านกล่าวด้วยน้ำเสียงเอ้อระเหย ดวงตาคู่งามเลื่อนมายังใบหน้าที่ดูอึดอัดเล็กน้อยของเฟิงเจวี๋ยเสวียน ริมฝีปากพลันยกยิ้ม ยกมือขึ้นปรบมือเบาๆ “เมื่อพี่ใหญ่ไม่โปรด ผู้เป็น้องย่อมไม่ฝืนใจ แต่หากพี่ใหญ่สนใจของสวยๆ งามๆ ของข้าเมื่อไร แค่ส่งคนมาบอกก็พอ ข้าต้องคัดเลือกของชั้นเลิศส่งไปให้พี่ใหญ่แน่นอน”
คำพูดประโยคสุดท้าย เฟิงเจวี๋ยหร่านจงใจกดเสียงต่ำเป็พิเศษและกระซิบข้างหูเฟิงเจวี๋ยเสวียน หลังจากนั้นก็ยิ้มกริ่มอย่างเป็ที่รู้กัน เมื่อถูกเฟิงเจวี๋ยหร่านหยอกเย้าต่อหน้าองค์หญิงห้า เฟิงเจวี๋ยเสวียนก็ไม่อาจประคับประคองใบหน้าอ่อนโยนต่อไปได้อีก หันหลบไปกระแอมไอด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน แก้มแดงขึ้นเล็กน้อย ทำตัวไม่ถูก
เมื่อได้ยินสัญญาณให้ออกไป เหล่าสตรีก็ย่อกายคำนับต่อเฟิงเจวี๋ยหร่าน ก่อนเดินเรียงกันออกจากประตูที่มีเสื้อคลุมกันลมตัวใหญ่หนาวางอยู่กองหนึ่ง แต่ละนางต่างเข้าไปหยิบมาห่อร่างของตนเอง แล้วอุ้มพิณบ้าง กลองบ้าง รวมถึงขลุ่ยตี๋ซุกเข้าไปในเสื้อคลุม แล้วเดินออกจากเรือนกลางน้ำไปทีละคน
“พี่ใหญ่ น้องหญิงห้า ดื่มชาก่อน ที่นี่ไม่มีพิธีรีตองอะไรมากนัก อยากกินอะไรก็ตามสบาย ถึงอย่างไรเสด็จพ่อก็ห้ามแต่เท้า มิได้ห้ามมาถึงปากของข้าด้วย แม้ว่าข้าจะกระดุกกระดิกบ้าง ก็ไม่พ้นหุบเขาห้านิ้ว[1] ของพระองค์หรอก”
เฟิงเจวี๋ยหร่านอารมณ์ดีไม่น้อย ใบหน้าหล่อเหลาผลิยิ้มเบิกบาน หยิบขนมบนโต๊ะส่งเข้าปาก ทางด้านเฟิงเจวี๋ยเสวียนกับองค์หญิงห้าก็มีบ่าวยกน้ำชาเข้ามาให้
“น้องแปด เ้าทำแบบนี้เดี๋ยวเสด็จพ่อก็กริ้วอีก จากกักบริเวณหนึ่งเดือนไม่แน่ว่าอาจจะขยายออกไป หากไม่มีธุระอะไรก็อ่านตำหรับตำราให้เยอะๆ หน่อย วันนี้เสด็จพ่อให้ข้ากับน้องหญิงห้ามาทดสอบความรู้ของเ้านะนี่” เฟิงเจวี๋ยเสวียนถอนใจเฮือกหนึ่งก่อนจะพูดเกลี้ยกล่อม
ดวงตาหงส์เลิกสูงขึ้นมองไปที่เฟิงเจวี๋ยเสวียน ก่อนเอนร่างลงไปนอนตะแคงอีกครั้ง แล้วเอ่ยถามอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “พี่ใหญ่รู้สึกว่าข้าอยู่แบบนี้ไม่ดีหรือ”
“มันก็ไม่ใช่ไม่ดี แต่เสด็จพ่อ...” ท่าทางเกียจคร้านตัวเป็ขนของเฟิงเจวี๋ยหร่าน ทำให้เฟิงเจวี๋ยเสวียนรู้สึกหมดอารมณ์ไม่อยากจะยุ่งด้วย แต่ไม่อาจไม่พูดเกลี้ยกล่อมชี้แจงให้เข้าใจ วันนี้เขามาเป็ตัวแทนของเสด็จพ่อ จะปล่อยให้เฟิงเจวี๋ยหร่านทำตามใจไม่ได้ แม้ว่าเขาจะไม่สนใจชิงตำแหน่งรัชทายาท แต่ผู้เป็เชื้อสายราชวงศ์ก็ต้องรักษาภาพลักษณ์ที่ดีงาม ไม่อาจให้ชาวบ้านเอาไปลือกันได้ว่าจอมเสเพลไม่เอาไหนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือคนในราชวงศ์
“หรือว่า... หากข้าเริ่มตั้งใจร่ำเรียนวิชาตอนนี้ เสด็จพ่อจะทรงปลื้มปีติ?”
รอยยิ้มที่มุมปากของเฟิงเจวี๋ยหร่านยิ่งหยักลึกขึ้นเรื่อยๆ หันไปกะพริบตาปริบๆ กับองค์หญิงห้าจนนางอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“พี่ใหญ่ อ่านตำราข้าก็อ่านได้อยู่ แต่ขออีกสักสองวันเถอะนะ ข้าเพิ่งถูกเสด็จพ่อสั่งกักบริเวณได้ประเดี๋ยวเดียว ช่วยปล่อยให้ผู้อื่นอยู่สบายๆ สักสองวันก่อนค่อยอ่านได้หรือไม่ ท่านไปบอกกับเสด็จพ่อว่าไม่ต้องทรงวิตกกังวล น้องชายกินอิ่มนอนหลับสบายดี อีกสองวันข้าค่อยเชื่อฟังพระองค์ ตั้งใจอ่านตำรา”
แม้คำพูดประโยคหลังฟังดูเหมือนว่าจะตอบตกลงแล้ว แต่ก็ยังมีหน้าขอยืดเวลาออกไปอีก ฟังอย่างไรก็ไม่มีความจริงใจสักนิด จะอ่านตำรายังต้องดูอารมณ์ หากอารมณ์ดีก็จะอ่าน อารมณ์ไม่ดีก็ผัดวันไปก่อน เฟิงเจวี๋ยเสวียนฟังแล้วก็หมดวาจา ไหนเลยจะอดทนกับท่าทางเกียจคร้านแบบนี้ของเขาได้ แม้ตอนมาจะคิดคำพูดไว้แล้วเป็อย่างดี แต่ยามนี้กลับรู้สึกว่าถึงจะหยิบยกถ้อยคำเ่าั้ออกมาพูดก็เปลืองน้ำลายเปล่าๆ
ด้วยท่าทางไม่สนใจสักอย่าง ใครจะไปจัดการอะไรเขาได้ ยามนี้เฟิงเจวี๋ยเสวียนเริ่มเข้าใจความรู้สึกของจักรพรรดิจงเหวินตี้ ด่าไปก็เท่านั้น ตีไปก็เท่านั้น ไม่ศึกษาหาความรู้ซ้ำยังมีเหตุผลมาอ้าง เช่นนี้แล้วผู้ใดจะสั่งสอนเขาได้
่ก่อนได้ยินว่าเขาไปช่วยคนจัดการเื่หนึ่งที่อุทยานหลวง ตอนนี้ดูไปคงจะเป็เพราะเห็นว่าสตรีผู้นั้นหน้าตาสะสวยกระมัง มิเช่นนั้นก็คงไม่เป็เดือดเป็ร้อนแทนใคร ครั้นนึกถึงใบหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ พริ้มเพราอ่อนหวานดวงหน้านั้น หัวใจของเฟิงเจวี๋ยเสวียนก็เต้นแรงขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน
ในที่สุดเฟิงเจวี๋ยเสวียนกับองค์หญิงห้าก็ต้องคว้าน้ำเหลวกลับวัง เฟิงเจวี๋ยหร่านไปส่งพวกเขาถึงหน้าประตูอย่างอบอุ่น มองส่งพวกเขาขึ้นรถม้าจนลับตาไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นจึงหมุนตัวกลับมา สั่งคนให้ปิดประตู แล้วเดินเข้าไปในจวน ยามนี้เขายังถูกกักบริเวณอยู่ ย่อมไม่มีผู้ใดมาหา
“ท่านอ๋อง องค์หญิงห้ากับฉู่อ๋องมีประสงค์ใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” เฟิงเยวี่ยเดินตามเฟิงเจวี๋ยหร่านเข้ามา กดเสียงต่ำเอ่ยถาม
“แค่มาดูเปิ่นหวางว่ากำลังทำอะไรอยู่ คงรู้สึกไม่ไว้วางใจกระมัง” เฟิงเจวี๋ยหร่านหันศีรษะไปตอบเสียงเนิบ แต่มิได้ชะลอฝีเท้าลง เขาเดินกลับตำหนักของตนมิได้ย้อนไปที่เรือนกลางน้ำอีก เมื่อมาถึงก็เดินขึ้นไปชั้นสามของเรือนจิ่นเวย ซึ่งบัดนี้กลายเป็ห้องนอนของตนเองไปเสียแล้ว ปากก็พร่ำบอกว่าไม่ชอบให้คนตามเยอะๆ เหล่าข้ารับใช้ที่รอปรนนิบัติอยู่ต่างยืนทึ่มทื่อ งงเป็ไก่ตาแตกอยู่ชั้นล่าง มีเพียงเฟิงเยวี่ยที่ตามขึ้นไปด้วย
“ความหมายของท่านอ๋องก็คือ... ฉู่อ๋องกับองค์หญิงห้ามาสอดแนมหรือพ่ะย่ะค่ะ” เฟิงเยวี่ยถามอย่างร้อนใจ
“ไม่ไว้วางใจเปิ่นหวางก็ไม่เป็ไร หากพวกเขาว่างแล้วมาหาเปิ่นหวางได้ทุกวันก็ยิ่งดี เปิ่นหวางจะได้ขาวสะอาดขึ้นอีก” เฟิงเจวี๋ยหร่านหยิบรายงานม้วนหนึ่งที่หัวโต๊ะขึ้นมาอ่าน แล้วกล่าวไปตามความรู้สึก
“แล้วตอนนี้...”
“ตอนนี้ย่อมวางใจได้ พี่ใหญ่ผู้แสนดีของข้ากับน้องหญิงห้าเห็นด้านเหลวไหลของข้าแล้ว อีกประเดี๋ยวกลับเข้าวังไป พวกเขาย่อมต้องช่วยกระพือข่าวแทนข้าอย่างเต็มที่แน่นอน เสด็จพ่อคงพอพระทัยแล้วกระมัง” เฟิงเจวี๋ยหร่านผลิยิ้มอย่างไม่แยแส แม้แต่ศีรษะก็ไม่เงยขึ้นมามอง
……………………………………………………………………………………………………….....
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] หุบเขาห้านิ้ว มาจากตำนานซุนหงอคง หุบเขาห้านิ้ว คือหุบเขาที่กักขังซุนหงอคงไว้ก่อนที่จะพระถังซัมจั๋งจะมาปลดปล่อย ดังนั้นจึงมีความเปรียบหมายถึงการถูกควบคุมกักขัง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้