เล่มที่ 9 บทที่ 254 ทำลายห้วงมิติ
จงซานคิดไม่ถึงว่า ผู้บำเพ็ญเพียงขั้นมิ่งหุนเคราะห์สอง จะมีฝีมือได้ถึงขนาดนี้…
หากเกิดตายไปละก็ ถือว่าน่าเสียดายเลยทีเดียว…
“ข้าขอเตือนอีกครั้ง อย่าเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่ เพียงเพราะเื่เล็กน้อยเช่นนี้เลย…”
แม้จะมีคัมภีร์โครงกระดูกอยู่ในมือ ทว่าพลังที่รุนแรงราวกับพลังจากฟ้าดินเช่นนี้ ก็ได้กดทับจนหลินเฟยแทบจะหายใจไม่ออกเป็เวลานานแล้ว ขณะที่ได้ยินจงซานกล่าว ก็ยังมิวายฝืนยิ้มออกมา
“ทำไมถึงคิดว่าข้าจะหนีออกไปไม่ได้เล่า?”
เมื่อสิ้นเสียง หลินเฟยก็ปลดปล่อยกล่องกระบี่เจิงหนิงและกระบี่ดาวอัปมงคลทั้งสี่ออกมาทันที หลังจากโคจรพลังเข้าใส่ ทันใดนั้นลำแสงของกล่องกระบี่เจิงหนิงและกระบี่ทั้งสี่ก็พวยพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง!
“รอดูแล้วกันว่าข้าจะทำลายห้วงมิตินี้อย่างไร!”
ทันทีที่พูดจบ หลินเฟยก็โคจรเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่จูเทียนและปราณกระบี่ทั้งสี่ออกมาด้วย จากนั้นปราณกระบี่ไท่อี๋ อิ๋นเหวิน ทงโยวและซีรื่อก็ทะยานออกไปรวมกับกระบี่ดาวอัปมงคลทั้งสี่ทันที เพียงครู่เดียวก็เกิดเป็ลำแสงกระบี่สี่สายพวยพุ่งอย่างรวดเร็ว
ปราณกระบี่สายหนึ่งยิ่งใหญ่ศักดิ์สิทธิ์ สายที่สองร้อนแรงดุจดวงตะวัน สายที่สามก็หนาวเย็นจนเสียดกระดูก ส่วนสายที่สี่ก็ลึกลับยากจะจับต้อง…
ลำแสงทั้งสี่สาดส่องไปทั่วบริเวณนับพันจ้าง เมื่อกวาดตามองไป จะเห็นว่าห้วงมิติแห่งความเป็ตายมีลำแสงกระบี่ส่องสว่างไปทั่ว ส่วนกระแสคมกริบเข้มข้นก็แพร่กระจายออกมาด้วยเช่นกัน บัดนี้หลินเฟยกำลังยืนอยู่กลางอากาศ ชายเสื้อพลางโบกสะบัดเองโดยไร้ซึ่งแรงลม ยิ่งทำให้เขาดูแข็งแกร่งและลึกลับราวกับยอดกระบี่ที่ยังไม่ออกจากฝัก นับว่าเปล่งประกายจนฟ้าดินยังอับแสงเลยทีเดียว…
“จงแตกเสีย!”
หลังจากเสียงตวาดก้องดัง ทันใดนั้นลำแสงกระบี่ทั้งสี่สายก็ราวกับกระบี่ั์ทั้งสี่ ก่อนจะกระหน่ำลงมาอย่างหนักหน่วง…
จากนั้นภาพนิมิตูเาลำเนาไพรทั้งหลายก็พลันแตกออก ทว่าพลังของลำแสงกระบี่ที่น่าสะพรึงกลัวกลับไม่ลดทอนลงแม้แต่น้อย หลังจากสะบั้นลำแสงกระบี่ออกไป ทั่วทั้งห้วงมิติแห่งความเป็ตายก็ถูกลำแสงกระบี่ปกคลุม
“ครืน…”
ขณะที่ฟ้าดินกำลังสั่นะเื ูเาลำเนาไพรอันกว้างใหญ่ไพศาลก็ราวกับภาพวาดที่ถูกฉีกขาดั้แ่ท้องฟ้าจรดพื้นดิน…
“บ้าน่า…” เวินโหวที่ถูกลากเข้ามาในห้วงมิติแห่งความเป็ตายด้วยกัน เมื่อเห็นดังนั้นก็ตกตะลึงจนตาค้าง…
‘จะว่าไปก็ดูตลกไม่น้อย…’
เพราะั้แ่ที่ทั้งคู่รู้จักกัน ก็เอาแต่ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด หลายวันก่อนยังเที่ยวตระเวนปล้นชิงด้วยกัน แทบจะเรียกได้ว่าปล้นมาแล้วทุกสำนัก เช่นนั้นจึงถือว่าสนิทกันมากทีเดียว…
กระทั่งตอนนี้เวินโหวถึงเห็นเต็มตาว่าพลังที่แท้จริงของหลินเฟยนั้นร้ายกาจเพียงใด เสี้ยววินาทีที่ปราณกระบี่ทั้งสี่ปรากฏออกมา ถึงกับสะบั้นตัดห้วงมิติแห่งความเป็ตายของผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันได้เลยทีเดียว ‘ความร้ายกาจเช่นนี้จะไปจบลงตรงไหนกัน?…’
พลังแสนร้ายกาจของหลินเฟยจึงทำให้เวินโหวตกตะลึงจนอ้าปากตาค้างเลยทีเดียว...
เป็เวลานาน ก็ยังตั้งสติไม่ได้เสียที
“มัวยืนงงอะไรอยู่ รีบหนีเร็ว!” กระทั่งได้ยินเสียงของหลินเฟย เวินโหวถึงได้สติคืนมา จากนั้นก็รีบบงการเ้าปลาั์ให้ลากหัวัหายออกไปจากรอยแตกของห้วงมิติแห่งความเป็ตาย…
หลังจากออกมาจากห้วงมิติ เ้าปลาั์ก็เรียกใช้พลังของซวีคงเหยาทันที ไม่นานห้วงมิติก็เกิดบิดเบี้ยว ก่อนที่ลำตัวอันใหญ่โตของเ้าปลาั์จะหายวับไป…
และสิ่งที่หายไปด้วยกันก็คือกลไกหัวั…
เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แม้แต่จงซานที่เป็ผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันก็ยังตั้งสติไม่ทัน เพียงชะงักไปครู่เดียว เ้าปลาั์กับกลไกหัวัก็หายไปเสียแล้ว ขณะที่กำลังจะไล่ตามก็พบว่ามีผู้บำเพ็ญหนุ่มชุดเขียวคนหนึ่ง กำลังยืนขวางอยู่เบื้องหน้า…
พอกวาดตามองไปก็เห็นว่าหลินเฟยกำลังเหาะอยู่กลางอากาศด้วยปราณกระบี่ ชายเสื้อโบกสะบัดจนเกิดเสียงผ้ากระทบกัน เหนือหัวก็มีกล่องกระบี่เจิงหนิงและกระบี่ดาวอัปมงคลทั้งสี่รายล้อมไว้อยู่ ส่วนที่ใต้ฝ่าเท้ายังมีคัมภีร์โครงกระดูกรองรับไว้อีกด้วย แถมด้านหลังยังมีภาพนิมิตเจดีย์โครงกระดูกปรากฏขเลือนราง…
จึงดูราวกับเทพมารมาจุติก็ว่าได้ มีแรงกดดันน่าเกรงขามออกมามากมาย ลำแสงกระบี่ก็พวยพุ่งขึ้นฟ้าไม่น้อยหน้าไปกว่าจงซานเลยทีเดียว
ส่วนจงซานเองก็ยืนอยู่กลางอากาศเช่นกัน สีหน้าที่มองหลินเฟยแปรเปลี่ยนไปมา เป็เวลานานกว่าจะเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“คิดไม่ถึงเลยว่า ตัวข้าที่อายุปูนนี้แล้ว จะถูกคนหนุ่มอย่างพวกเ้า่ชิงของไปต่อหน้าต่อตา…”
เมื่อพูดจบ จงซานก็โบกมือขึ้น ทันใดนั้นตราหมื่นนทีธารก็ลอยกลับมา ก่อนที่จะมีแสงเจิดจ้าปกคลุมไปทั่วทั้งตัว เพียงครู่เดียวก็หายวับไป…
หลินเฟยยืนนิ่ง จ้องมองจงซานที่จากไปโดยไม่พูดอะไรออกมา ทว่าเวลานี้ใบหน้ากลับซีดขาวจนน่ากลัว กลิ่นอายรอบตัวก็อ่อนแรงจนถึงขีดสุด หลังจากกระอักเืออกมาสามครั้งติดก็ไม่อาจยืนหยัดได้อีก สุดท้ายก็ร่วงตกจากฟ้าทันที…
ไม่นานก็ได้ยินเสียงดังสนั่นขึ้นมา บัดนี้หลินเฟยได้ร่วงกระแทกพื้นอย่างรุนแรง หลังจากตะเกียกตะกายลุกขึ้นได้ เ้าตัวก็กระอักเืออกมาอีกครั้ง หลินเฟยในตอนนี้อ่อนแรงเป็อย่างมาก จนไม่อาจลุกขึ้นนั่งได้ด้วยซ้ำ…
“เกือบไปแล้ว…” เป็นานกว่าหลินเฟยจะถอนหายใจอย่างหนักหน่วงออกมา และพยายามยันตัวลุกขึ้นมาอีกครั้ง…
แม้จะมีปราณกระบี่ทั้งสี่ แต่ตอนที่ประมือกับผู้อื่น อย่างมากหลินเฟยก็จะใช้เพียงปราณกระบี่สายเดียวเท่านั้น น้อยครั้งที่จะใช้สองสายพร้อมกัน และไม่เคยมีครั้งไหนที่เหมือนกับวันนี้ ที่เขาใช้กระบี่ดาวอัปมงคลทั้งสี่พร้อมกับปราณกระบี่ทั้งหมด พลังที่เกิดขึ้นจึงนับว่าร้ายกาจเป็ที่สุด ถึงขั้นสะบั้นห้วงมิติแห่งความเป็ตายของจงซานจนแตกออก…
กระบวนท่าสุดท้ายที่ดูรุนแรงที่สุด จึงถือว่าเกินขีดจำกัดของหลินเฟยไปมาก…
ขณะที่สะบั้นห้วงมิติแห่งความเป็ตาย ก็ไม่ต่างอะไรกับทำร้ายตัวเองไปด้วยเช่นกัน…
แม้เมื่อครู่ ตอนที่รับมือกับจงซานจะดูแข็งแกร่งไร้เทียมทาน ทว่าแท้จริงแล้วกลับถึงขีดจำกัดไปนานแล้ว
และสุดท้ายจงซานก็หนีไป…
หลินเฟยคาดว่าที่เป็เช่นนี้ ก็เพราะภายในของสำนักเชียนซานยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะจัดการกับซากกลไกหัวันี้อย่างไรมากกว่า ได้ยินว่าผู้าุโจงก็คือคนที่สนับสนุนไม่ให้ขนย้ายหัวักลับไป แถมยังเคยพูดไว้อีกว่า “เพื่อกลไกหัวัที่พังทลายไปแล้ว หากจะต้องสูญเสียศิษย์ในสำนักไปมากมายเช่นนี้ แล้วจะต่างอะไรกับพวกพรรคมารกัน?”
นอกจากนี้หลินเฟยยังสะบั้นห้วงมิติแห่งความเป็ตายของอีกฝ่ายจนแตก แล้วจงซานจะไม่เป็อะไรเลยอย่างนั้นหรือ?
ต่อให้จงซานจะรู้ว่าหลังจากสะบั้นห้วงมิติความเป็ตายแล้ว หลินเฟยเองก็จะต้องาเ็สาหัสเช่นกัน แต่จงซานก็ไม่กล้าเสี่ยง เพราะกลัวว่าหลินเฟยจะสามารถสะบั้นขึ้นมาได้อีกครั้ง…
จงซานไม่อาจรับได้เป็ครั้งที่สองอีกแล้ว…
หลินเฟยจึงเดิมพันด้วยชีวิต ในที่สุดก็ทำให้จงซานใจนหนีเตลิดไป…
แต่ผลตอบแทนก็นับว่าร้ายแรงทีเดียว…
หลินเฟยพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้น ก่อนจะล้วงเอายาลูกกลอนชุบชีวิตออกมา บัดนี้อาการของหลินเฟยสาหัสเป็อย่างมาก เขาจึงเทยาจำนวนมากเข้าปากไป โดยไม่คิดเสียดายยาลูกกลอนชุบชีวิตซึ่งมีราคาสูงถึงเม็ดละหลายหมื่นหินิญญาแม้แต่น้อย หลังจากกลืนกินยาเข้าไปแล้ว สุดท้ายก็สามารถระงับอาการาเ็เอาไว้ได้…
“ต้องรีบหนีก่อนแล้ว หากจงซานตั้งสติได้แล้ววกกลับมา จะยุ่งเอา…”
หลินเฟยกัดฟันแน่น ก่อนจะฝืนโคจรพลังปราณ เพื่อพาร่างกายอันบอบช้ำมุ่งหน้ากลับไปยังลานซากปรักหักพัง…
และหลินเฟยก็เดาไว้ถูกจริงๆ
เพราะหลังจากที่จากไปไม่ถึงหนึ่งเค่อ จงซานก็วกกลับมาพร้อมกับตราหมื่นนทีธารอีกครั้ง…
-------------------------------------------------------------------------------------