ไอ้บ้าเอ๊ย เป็อาจารย์ลูกศิษย์สองคนนี้จริงๆ ด้วย!
แต่ครั้งนี้ยังไม่แน่หรอกนะว่าใครจะเป็คนเสียท่ากันแน่!
หลินเยว่แอบด่าในใจ ตอนนี้หลินเยว่ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว...การทดสอบส่วนแรก หลินเยว่จะใช้พลังพิเศษตาทิพย์ควบคู่กับสภาวะจิตสงบนิ่งไม่ว่อกแว่กโดยตรงก็แค่เครื่องเคลือบ 10 ชิ้นเท่านั้นเองไม่ใช่หรือก็แค่กวาดตามองให้ครบก็พอแล้ว
ส่วนการทดสอบส่วนที่สองและส่วนที่สามนั้นหลินเยว่ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเหมือนกัน เขาคงต้องค่อยๆคิดหาวิธีไปทีละขั้นแล้วล่ะ
เมื่อเห็นว่าหลินเยว่และเฮ่อฉางเหอเดินทางมาถึงแล้วเจี่ยเหวยเกิ่งและจางฮุยิก็เดินเข้ามาหาพวกเขาทันที
“เป็อย่างไรบ้าง? มั่นใจหรือเปล่า?”
เจี่ยเหวยเกิ่งมองหลินเยว่พร้อมส่งยิ้มน้อยๆมาให้ จากสายตาของเขาก็มองออกว่าเขาก็พอจะคาดเดาเื่บางอย่างได้อยู่เหมือนกัน
จางฮุยิก็มองมาที่หลินเยว่เช่นกัน หลังจากได้ไปมาหาสู่กับศิษย์น้องที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเขาคนนี้มา10 กว่าวัน คนคนนี้ก็สร้างความประหลาดใจให้กับเขามาไม่น้อยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะสามารถผ่านการทดสอบครั้งนี้ได้หรือไม่ เพราะการทดสอบนี้เหมือนสร้างขึ้นมาเพื่อโจมตีจุดอ่อนของอีกฝ่ายโดยเฉพาะ
หลินเยว่ได้แต่พูดยิ้มๆ“ก็ต้องลองสู้สักตั้งดูล่ะครับ เพราะยังไม่รู้รายละเอียดการทดสอบที่แน่ชัดก็คงไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าตัวเองจะทำได้หรือเปล่า”
เจี่ยเหวยเกิ่งพยักหน้ายิ้มๆ เขาตบบ่าหลินเยว่เบาๆ
และเวลานี้เองจวงตงเฟิงและจวงเมิ่งเตี๋ยก็เดินเข้ามา แต่เขาไม่เหมือนกับเจี่ยเหวยเกิ่งเพราะจวงตงเฟิงไม่ได้ถามหลินเยว่ว่ามั่นใจหรือเปล่า แต่เขากลับพูดขึ้น
“พยายามทำทุกอย่างให้เต็มที่ก็พอแล้วไม่ต้องไปยึดติดกับอะไรให้มากนัก เพราะคุณศึกษามาเพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น”
จวงตงเฟิงก็ไม่ได้รู้สึกมั่นใจในตัวหลินเยว่สักเท่าไรหากไม่มีอะไรผิดพลาด เมื่อผ่านการทดสอบทั้งสามส่วนนี้แล้วหลินเยว่ก็คงจะเป็ที่สุดท้าย ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงพยายามลดความกดดันให้กับอีกฝ่าย
ส่วนจวงเมิ่งเตี๋ยที่ยืนอยู่ด้านข้างนั้น เธอกลับมองหลินเยว่ด้วยสายตาเ็าหลังจากนั้นเธอจึงเบนสายตาออกไปทางอื่นราวกับว่าเธอไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตา
หลินเยว่พยักหน้ารับ “ผู้น้อยจดจำไว้แล้วขอบคุณครับท่านจวง”
จวงตงเฟิงพยักหน้าตอบเช่นกันหลังจากนั้นจึงหันหน้าไปถามเฮ่อฉางเหอที่มีสีหน้าราบเรียบ “รู้สึกไม่พอใจกับความไม่ยุติธรรมในครั้งนี้ใช่ไหมล่ะ?”
เพราะพวกเขาเป็เพื่อนกันมาอย่างยาวนานเข้าใจซึ่งกันและกันดี แล้วเขาจะไม่เข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายได้อย่างไร ยิ่งแสดงสีหน้าไร้ความรู้สึกมากเท่าไรนั่นก็แสดงว่าอีกฝ่ายกำลังไม่พอใจมากเท่านั้น
แต่แล้ว เจี่ยเหวยเกิ่งก็พูดแทรกขึ้นมา“เื่นี้พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เลย แต่การโมโหจะเป็การทำร้ายสุขภาพของตัวเองโดยตรงสู้พยายามปล่อยวางยังดีเสียกว่า และไอ้หนุ่มหลี่เฉียนโจวอาจจะทำผลงานไม่ค่อยดีก็ได้”
แต่เขาก็พูดออกมาอย่างไม่มั่นใจสักเท่าไร เพราะเจี่ยเหวยเกิ่งก็รู้ดีถึงแม้ว่าหลี่เฉียนโจวจะแย่ขนาดไหนแต่เขาก็เป็คนที่ศึกษาเครื่องเคลือบมาสิบกว่าปีแล้วขอแค่ผลการแข่งขันของเขาดีกว่าหลินเยว่เฉินเฟยก็สามารถดูถูกเฮ่อฉางเหอและหลินเยว่ไปอีกนาน
วางแผนไว้ดีทีเดียวเพราะได้วางกับดักเตรียมรอเฮ่อฉางเหอและหลินเยว่อย่างแท้จริง
เฮ่อฉางเหอได้แต่ถอนหายใจ หลังจากนั้นจึงพูดขึ้น“เื่มาถึงขนาดนี้แล้ว คงต้องรอดูชะตาฟ้าลิขิตแล้วล่ะ”
ขณะที่พูด เขาก็เบนสายตาหันมามองหลินเยว่หลังจากนั้นจึงพูดต่อ “ทำผลงานให้ดีหน่อยถึงจะแย่ขนาดไหนก็ห้ามแย่มากเท่านั้นก็พอ”
หลินเยว่พยักหน้าอย่างหนักแน่นนี่เป็ครั้งแรกที่เฮ่อฉางเหอตั้งเป้าหมายให้กับเขา เขาจะต้องพยายามทำให้ถึงที่สุดเพื่อทำผลงานให้ดีที่สุดเขาจะไม่ทำให้อาจารย์ของตนต้องถูกคนอื่นดูถูกเพราะความโง่เขลาของตัวเขาเอง
ผู้าุโสามท่านและผู้น้อยอีกสามคน ณ เวลานี้พวกเขาทั้ง 6 คนไม่มีใครพูดอะไรออกมาบรรยากาศระหว่างพวกเขาดูเคร่งเครียด
สุดท้าย เฮ่อฉางเหอจึงหัวเราะ “เหอๆ”ออกมาเพื่อเป็การทำลายบรรยากาศที่ดูเคร่งเครียดนี้ออกไป หลังจากนั้นจึงพูดขึ้น“ไปกันเถอะ ไม่เจอกันมาตั้งหลายปีแล้ว ไปคุยกับพวกเขากันเถอะ”
เมื่อรอให้เจี่ยเหวยเกิ่งและลูกศิษย์ของเขา จวงตงเฟิงและจวงเมิ่งเตี๋ยเดินนำไปออกไปแล้วท่านเฮ่อฉางเหอจึงดึงตัวหลินเยว่ไว้ทางด้านหลังแล้วค่อยๆ เดินตามไปอย่างช้าๆและใช้ระดับเสียงที่คนทางด้านหน้าไม่ได้ยินพูดขึ้น “ไม่ต้องสนใจหน้าตาของอาจารย์หากครั้งนี้พลาดไปก็ต้องจดจำมันไว้ให้ดีกลับไปก็ไปศึกษาการพิสูจน์เครื่องเคลือบอย่างตั้งใจ เป็ลูกผู้ชายทั้งคนสิบปีค่อยล้างแค้นก็ยังไม่สาย อาจารย์กล้าพูดว่าคุณใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี คุณก็จะมีความรู้ความสามารถแซงหน้าทุกคนได้เลยเมื่อถึงตอนนั้นพวกเราค่อยล้างแค้นก็ยังไม่สายเกินไปหรอกนะ แต่ว่าสิ่งที่สำคัญคือคุณจะต้องจดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในจิ่งเต๋อเจิ้นไว้ให้ดี!”
หลินเยว่ได้ยินเช่นนี้ก็ถึงกับเกร็งไปทั้งร่างเขาฟังออกว่าท่านเฮ่อฉางเหอได้เตรียมใจไว้สำหรับผลการแข่งขันที่เลวร้ายที่สุดแล้วเมื่อคิดถึงความจนปัญญาของอาจารย์ของตน หลินเยว่ก็อดไม่ได้ที่จะกำหมัดไว้แน่นพร้อมกัดฟันไว้ดวงตาส่องประกายดุดัน
อาจารย์ครับ อาจารย์วางใจได้เลยศักดิ์ศรีของอาจารย์ที่ต้องสูญไปทั้งหมดในจิ่งเต๋อเจิ้นผมจะต้องทวงกลับคืนมาให้ได้!
หลินเยว่แอบสาบานอย่างดุดันอยู่ในใจ
เขาพบว่าตอนนี้เขาถอยไม่ได้อีกแล้วนับั้แ่เขากลายเป็ลูกศิษย์ของท่านเฮ่อฉางเหอ ณเวลานั้นเขาก็ไม่มีเส้นทางให้เขาได้ถอยหลังอีกแล้ว เขาต้องพุ่งตรงไปข้างหน้าหรือไม่ก็ต้องเลิกเป็ลูกศิษย์ของอาจารย์
ดังนั้นเขาจำเป็ต้องรับผิดชอบภาระหน้าที่ของลูกศิษย์นี้ไว้อย่างเต็มที่
เพื่ออาจารย์ของเขา และเพื่อตนเองครั้งนี้เขาต้องสู้สักตั้ง!
พยายามจนสุดความสามารถของตนเอง!
หลินเยว่พยักหน้ารับอย่างหนักแน่นสายตาที่เขามองอาจารย์เต็มไปด้วยความจริงจัง
ท่านเฮ่อฉางเหอยิ้มอย่างพอใจสีหน้าของเขามีแต่ความสบายใจ ในเมื่อมันเป็สิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วเขาก็ไม่ควรจะไปยึดติดกับมัน เขาควรจะยอมรับมันไว้อย่างสบายใจมากกว่า
ผู้าุโทั้ง 10 ท่าน และลูกศิษย์ทั้ง 10 คนรวมตัวอยู่ด้วยกัน
สายตาของทุกคนมักจะเหลือบมองไปทางหลินเยว่อยู่บ่อยๆมีทั้งสายตาเห็นอกเห็นใจ และก็มีสายตาที่เต็มไปด้วยความสะใจกับสถานการณ์อันย่ำแย่ของหลินเยว่
คนคนนี้จะต้องเป็ฐานให้กับทุกๆ คน
หลินเยว่รับรู้ถึงสายตาของคนรอบๆ ตัว เขาทำได้เพียงแอบเย้ยหยันอยู่ในใจคอยดูเถอะ ถึงแม้ว่าครั้งนี้เขาจะเป็ฐานให้กับทุกคนแต่ต้องมีสักวันที่เขาจะเหยียบทุกคนให้เห็นเป็ที่ประจักษ์
เฉินเฟยมองหลินเยว่ มุมปากของเขายิ้มอย่างร้ายกาจหลังจากนั้นเขาก็เบนสายตาหันไปมองเฮ่อฉางเหอ สีหน้าของเขาพลันเต็มไปด้วยความโเี้มากยิ่งขึ้นแต่ทว่าความโเี้นี้ก็หายไปอย่างรวดเร็วหลังจากนั้นเขาจึงเปลี่ยนเป็สีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม พร้อมถามขึ้น“การแข่งขันการพิสูจน์เครื่องเคลือบในครั้งนี้ ไม่ทราบว่าทุกท่านมีความเห็นอย่างไรบ้าง?”
“ไม่มีความเห็นอะไร ควรจะแข่งอย่างไรก็แข่งไปอย่างนั้นอย่างน้อยลูกศิษย์ของผมก็ไม่มีทางเป็ฐานให้กับทุกคน ซึ่งจุดนี้ผมมีความมั่นใจมาก”
คนที่พูดก็คือผู้าุโที่ค่อนข้างสนิทกับเฉินเฟยเมื่อพูดจบเขายังหันไปสบตาส่งยิ้มกับอีกฝ่ายเสียด้วย
หลินเยว่มองผู้าุโเบื้องหน้าด้วยสายตาเ็าเขาจำได้ว่าตอนที่อาจารย์ของเขาแนะนำตอนนั้น อาจารย์พูดชื่อของอีกฝ่ายว่า
เว่ยจิ้นจง
ไอ้บ้าเอ๊ย ทำไมถึงไม่ชื่อว่าเว่ยเซิงจิน*เลยล่ะ!
คำพูดของเว่ยจิ้นจงสื่อความหมายอย่างชัดเจนว่าถึงลูกศิษย์ของเขาจะแย่ขนาดไหนแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางตกเป็อันดับสุดท้ายอย่างแน่นอนเพราะตำแหน่งนั้นมีเพียงคนเดียวที่จะต้องรับไป นั่นก็คือ หลินเยว่
“ไม่จำเป็จะต้องได้ที่หนึ่ง ผมหวังแค่ว่าลูกศิษย์ของผมจะพยายามทำอย่างเต็มที่ก็พอแล้ว”
ผู้าุโอีกคนก็พูดขึ้น
หลังจากนั้นแต่ละคนต่างพูดความคิดเห็นของตนออกมา
เมื่อมาถึงเฮ่อฉางเหอสายตาของทุกคนต่างจับจ้องมาที่ตัวเขา
เฮ่อฉางเหอส่งยิ้มพร้อมพูดอย่างราบเรียบ “ผมรู้ว่ามีบางคนคิดไว้แล้วว่าลูกศิษย์ของผมจะต้องเป็ที่สุดท้ายจะต้องเป็ฐานให้กับทุกคน แต่ว่าในเมื่อเหตุการณ์ยังไม่ได้เกิดขึ้น ดังนั้น ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าผลลัพธ์ของมันจะเป็อย่างไรกันแน่หากพวกคุณคิดว่าการแข่งขันในครั้งนี้มีความยุติธรรมแล้ว ผมก็ไม่มีความเห็นอะไรลูกศิษย์ของผมเพิ่งศึกษาด้านการพิสูจน์เครื่องเคลือบยังไม่ครบ 3 เดือนเต็ม เขาสามารถทำได้ขนาดไหนผมเองก็ยังไม่รู้แต่ว่าหากเป็ 3 ปีหลังจากนี้เขาจะต้องมีความสามารถเหนือพวกคุณทุกคน!”
ขณะที่เฮ่อฉางเหอพูดประโยคนี้ออกมา เขาก็แสดงความมั่นใจอย่างเต็มที่และท่าทีของเขาก็ดูจริงจังหนักแน่นมาก
เมื่อประโยคนี้ถูกเอ่ยออกมา คิ้วของคนอื่นก็ขมวดขึ้นทันทีมีเพียงจวงตงเฟิงเจี่ยเหวยเกิ่งรวมทั้งจางฮุยิที่รู้ว่าคำพูดของเฮ่อฉางเหอประโยคนี้ไม่ได้เป็การพูดเกินจริงเลยสักนิดพวกเขาเคยเข้าไปในห้องของอีกฝ่ายขณะที่เฮอฉางเหอกำลังอธิบายให้กับหลินเยว่และเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็ทำให้พวกเขาต้องตกตะลึงกับพร์ของหลินเยว่เฮ่อฉางเหอพูดอธิบายเพียงรอบเดียวเท่านั้น แต่หลินเยว่กลับสามารถจดจำได้ถึง 80– 90% คนที่มีพร์เช่นนี้นั้นมีน้อยมากจริงๆ
บางทีอาจจะไม่จำเป็ต้องใช้เวลาถึง 3 ปี อาจจะใช้เพียง 2 ปีเท่านั้น หลินเยว่ก็สามารถแซงหน้าลูกศิษย์ของทุกคนในที่แห่งนี้
* เว่ยเซิงจิน พ้องเสียงกับคำว่าผ้าอนามัย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้