“เสี่ยวลั่ว ผู้ชายแบบนั้น ไม่ควรค่าที่จะไปเสียใจอะไรด้วยหรอกนะ...” เป่าเจียปรับบุคลิกแข็งกระด้างของตัวเองลงพร้อมกับพยายามทำน้ำเสียงให้นุ่มนวลขึ้นกว่าปกติ
น้ำเสียงของเป่าเจียนั้นฟังดูนิ่มนวลแต่คิ้วทั้งสองของเธอกลับถูกยกสูงขึ้น ปากก็พร่ำพูดถ้อยคำปลอบประโลมหลินลั่วหราน ทั้งพยายามบอกให้เธอไม่ต้องไปใส่ใจอะไรเ้าผู้ชายไร้หัวใจคนนั้นความจริงแล้วในใจลึกๆ นั้นเป่าเจียคิดอยากจะเอามีดไปสับไอ้เ้าผู้ชายต่ำช้านั่นให้แหลกเป็ชิ้นๆแล้วเอาไปโยนให้หมากินเสียให้ได้!
เป่าเจียมองไปยังร่างเพื่อนรักของตัวเองบนโซฟาที่เอาแต่นั่งเหม่อลอยมองตรงไปยังโทรทัศน์อย่างไร้สติ
หลินลั่วหรานปีนี้อายุ 27 ปี แก้มที่เคยผุดผ่องใสฉ่ำน้ำในสมัยสาวๆ นั้นบัดนี้กลับไม่ผ่องใสเหมือนอย่างเก่าอีกแล้ว ผมยาวสีดำที่ถูกปล่อยยาวมาเกือบถึง่เอวเองก็ไม่ได้รับการดูแลอย่างที่ควร จนทำให้ปลายผมแห้งเสียแตกปลายไปหมด
บวกกับแววตาอันเหม่อลอยไร้ชีวิตชีวาและเสื้อผ้าที่รวมหมดทั้งตัวแล้วยังไม่ถึงพันห้านั่น มีตรงไหนที่ยังเหมือนสาวน้อยคนสวยในสมัยมัธยมปลายคนนั้นอยู่บ้างนะไม่ว่าอย่างไรนี่มันก็ยัยป้าอายุเกือบจะสามสิบชัดๆ...
อยู่ๆเป่าเจียก็รู้สึกราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างปะทุขึ้นในใจของเธอ รู้สึกเ็ปจนน้ำตาแทบจะไหลรินออกมาเธอขบฟันแน่น “ฉันจะไปหาผู้ชายเฮงซวยนั่น!” เธอพูดขึ้น พร้อมทั้งคว้ากระเป๋าถือขึ้นมาจากบนโซฟาสอดเท้าลงไปสวมรองเท้าส้นสูงเกือบสิบนิ้วที่อยู่บนพื้น ก่อนจะหมุนตัวเตรียมจะตรงไปที่ประตู
อยู่ๆมือคู่หนึ่งก็คว้าตัวของเธอเอาไว้
มือที่ขาวซีดแถมยังผอมแห้งจนเห็นเส้นเืปูดขึ้นมาแบบนี้ เพียงแค่ชำเลืองมอง เป่าเจียก็รู้ได้ทันทีเ้าของมือคู่นี้คือใคร
นอกจากคนผอมแห้งบอบบางอย่างหลินลั่วหรานแล้วในห้องนี้มันยังจะมีใครได้อีกล่ะ?
ข้อมือบางๆแบบนี้ เป่าเจียแค่ออกแรงนิดหน่อย ก็คงจะหักออกเป็เสี่ยงๆ
อยู่ๆเธอก็ร้องไห้ออกมา “ทรมานตัวเองไปแบบนี้ แล้วมันได้อะไรเล่า? ไอ้เ้าผู้หญิงผู้ชายเลวๆ พวกนั้น ก็ยังใช้ชีวิตมีความสุขดีอยู่นี่!” น้ำตาไหลทะลักออกมาบดบังสายตาของเป่าเจีย ก่อนจะค่อยๆ ไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองของเธอ จนเครื่องสำอางสวยๆบนใบหน้า เลอะเทอะออกมา
แต่ตอนนี้เธอไม่สนใจอะไรอีกแล้วเพราะเธอรู้สึกสงสารลั่วหรานมากจริงๆ
หลินลั่วหรานที่เต็มไปด้วยอาการเหม่อลอยราวกับว่าโดนเสียงร้องไห้ของเพื่อนสนิททำให้ใเข้าแล้ว ความรู้สึกค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันว่างเปล่าของเธอ พร้อมทั้งดวงตาทั้งสองที่ค่อยๆมีการขยับเขยื้อนขึ้นมา จนเริ่มกลับมาดูมีชีวิตอีกครั้ง
“เป่าเจีย...” เธอพยายามที่จะเปล่งเสียงออกมา แต่เพราะว่าไม่ได้เปล่งเสียงออกมานานจึงทำให้เสียงของเธอนั้นฟังดูแหบแห้งไปหมด
ใบหน้าของเป่าเจียเต็มไปด้วยน้ำตาและอาการดีใจที่ปิดไม่มิด หลินลั่วหรานไม่ยอมพูดอะไรมาสามวันแล้ว! ในที่สุดก็ยอมเปิดปากพูดออกมาได้สักที
เป่าเจียรู้สึกว่ามือของตัวเองสั่นเทาไปหมดอยากจะยื่นมือเข้าไปััใบหน้าของหลินลั่วหรานสักหน่อย แต่ก็กลัวว่าจะทำให้เพื่อนใเอาแล้วก็กลัวว่านี่จะเป็เพียงแค่ความฝันของเธอด้วย
หลินลั่วหรานขยับดวงตาสีดำสนิทของเธอไปมารู้สึกว่าดวงตานั้นแห้งไปหมด นั่นคงเป็เพราะไม่ได้นอนหลับพักสายตามากว่าสามวันแล้วสามวันที่ไม่หลับไม่นอน ไม่ดื่มไม่กิน... ก็รู้ตัวมาตลอดว่าตัวเองเป็คนอดทน แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะทนได้ขนาดนี้หรือนี่จะเป็ชีวิตแบบคนจนๆ อย่างนั้นเหรอ?
อยู่ๆหลินลั่วหรานก็รู้สึกสมเพชตัวเองขึ้นมา เมื่อเธอมองช้อนสายตาขึ้นมา ก็พบกับสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็ห่วงของเป่าเจีย
เมื่อเห็นว่าเป่าเจียมองมาที่เธอด้วยความกังวลหลินลั่วหรานจึงพยายามบังคับตัวเองให้เผยรอยยิ้มออกมา แต่นั่นกลับเป็รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความขมขื่นเสียจริงๆ “เป่าเจีย หิวแล้ว” มือบางๆ ของเธอ จับเข้าที่ตัวของเป่าเจียโดยที่ไม่รู้ว่าไปเอาแรงมาจากไหน
เป่าเจียสูดลมหายใจเข้าลึกๆพยายามทำให้ตัวเองใจเย็นลง นี่อาจจะเป็แผนของหลินลั่วหรานก็ได้ ถ้าเธอออกห่างออกไปแล้วอยู่ๆ หลินลั่วหรานคิดสั้นขึ้นมาจะทำอย่างไร?
“เดี๋ยวสั่งน้ำเต้าหู้ย่งเหอที่เธอชอบจากข้างนอกมาให้แล้วกัน!” เป่าเจียคิดอยู่สักพักก่อนจะนึกวิธีที่ดูประนีประนอมออกมาได้ เธอหยิบโทรศัพท์สีน้ำเงินเข้มเงาวับวาวออกมาจากกระเป๋าถือแล้วโทรไปยังร้านน้ำเต้าหู้ย่งเหอจริงๆ สั่งน้ำเต้าหู้ไปหนึ่งแก้ว โจ๊กผักอีกหนึ่งและยังไม่ลืมที่จะสั่งสาหร่ายของโปรดของหลินลั่วหรานมาด้วย
หลินลั่วหรานเองก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรนอกจากจะยังคงจับมือของเพื่อนรักเอาไว้แน่น เธอดูเงียบไป แต่ก็สลัดหมอกครึ้มๆ ที่อยู่บนใบหน้ามากว่าสามวันของเธอทิ้งออกไปแล้ว
หลังจากผ่านไปยี่สิบนาทีเสียงกริ่งก็ดังขึ้น ของที่สั่งไว้มาส่งแล้ว
หลินลั่วหรานดื่มน้ำเต้าหู้ร้อนๆด้วยความใจเย็น และไม่ยอมให้อาหารเสียเปล่าเลยแม้แต่น้อย เมื่อเธอกินเสร็จเรียบร้อยกระเพาะของหลินลั่วหรานก็ค่อยๆ เริ่มทำงาน มือเท้าที่เย็นเฉียบก็ค่อยๆ กลับมามีแรงอีกครั้งเธอเงยหน้ามองตรงไปยังเป่าเจีย “ไม่ต้องห่วง ฉันยังมีพ่อแม่ต้องเลี้ยงดู ไม่มีทางคิดสั้นไปได้หรอก”
เมื่อได้ยินหลินลั่วหรานพูดออกมาแบบนั้นสุดท้ายเป่าเจียก็ถอนหายใจออกมา
เหมือนทั้งสองคนได้กลับไปตอนที่อยู่ด้วยกันสมัยเรียนมหาวิทยาลัยอีกครั้งที่เป่าเจียมักจะมานอนที่ห้องเช่าของหลินลั่วหรานอยู่เสมอ
รอจนได้ยินเสียงหายใจที่ดังสม่ำเสมอเบาๆของเพื่อนรัก ที่แสดงให้เห็นว่าเป่าเจียนั้นหลับไปแล้วจริงๆ หลินลั่วหรานที่ควรจะหลับไปตั้งนานแล้วก็ลืมตาขึ้นมา
แสงจันทร์อันงียบสงบสาดส่องลอดม่านเข้ามาทางหน้าต่างนี่เป็เพียงห้องที่มีขนาดเพียงไม่กี่สิบตารางเมตรในตึกเก่าๆ แห่งหนึ่ง เพื่อผู้ชายคนนั้น...เธอถึงยอมอดทนอยู่ในที่แบบนี้
ทั้งสองคนนั้นเป็เด็กนอกเมืองทั้งคู่ตอนเรียนอยู่ปีสาม บ้านของหลี่อันผิงก็มีเื่ขึ้นมา แม่ของเขาคุกเข่าลงต่อหน้า ขอร้องให้หลินลั่วหรานช่วยลูกชายของเธอ
ดวงตาแดงก่ำของหลี่อันผิงมองตรงมาที่เธอ พ่อแม่ของเธอเองก็พูดว่า ทั้งสองคนหมั้นหมายกันแล้ว จะใครที่เรียนจบออกมาก็เหมือนกันพ่อแม่ที่มีเพียงจิตใจอันบริสุทธิ์ของหลินลั่วหรานจึงยกโอกาสเรียนต่อให้กับหลี่อันผิงส่วนหลินลั่วหรานก็ลาออกมาหางานทำ ไม่เพียงแต่ส่งเงินกลับไปให้ทางบ้าน แต่ยังส่งหลี่อันผิงเรียนจนจบปริญญาโทอีกด้วย
หรือแม้แต่ที่หลี่อันผิงได้เข้ามาทำงานในบริษัทแห่งนี้เองก็เป็เพราะเพื่อนรักของหลินลั่วหรานอย่างเป่าเจียช่วย
มาถึงตอนนี้คิดย้อนกลับไปแล้ว ฉันเป็คนที่โง่มากจริงๆ ใช่ไหม?
ลั่วหรานมองไปยังรูปถ่ายบนชั้นข้างๆเตียง ใบหน้าคมคายของหลี่อันผิง สวมใส่ชุดกีฬาไซส์พอดีตัว ดูเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ดูไม่ออกเลยสักนิดว่าเป็เด็กผู้ชายชนบทซื่อๆ คนนั้น
นี่เหรอเด็กบ้านนอกที่เข้าเมืองมาทำงานจนได้ดี แบบที่ในอินเทอร์เน็ตชอบพูดถึงกัน
นกฟีนิกซ์ที่โบยบินออกมาจากหุบเขาก็ควรจะได้คู่กับหญิงสาวฐานะดี เราก็คงเป็เพียงแค่แผ่นหินให้เขาเหยียบย่ำ ไปสู่ความร่ำรวยเท่านั้นแหละ
หลินลั่วหรานเบิกตาโตขึ้นก่อนที่น้ำใสๆ จะไหลรินลงมาจากตาคู่โต โดยปราศจากเสียงใดๆ
เธอกำมือของตัวเองเอาไว้แน่นยังมีพ่อกับแม่ ยังมีเป่าเจีย ใช่ว่าเราจะไม่เหลืออะไรเลยสักหน่อย!
ตึกฝูหม่านโหลวแบรนด์แฟรนไชส์เครื่องประดับที่ใหญ่ที่สุดในเมือง R
เป่าเจียเป็นักออกแบบเครื่องประดับของที่นี่ส่วนหลี่อันผิงนั้นหลังจากเรียนจบปริญญาโท เป่าเจียก็แนะนำให้เขาได้เข้ามาเป็ผู้ช่วยผู้บริหารของที่นี่
หลี่อันผิงทำงานที่นี่มาได้ครึ่งปีแล้วเดือนก่อนเป่าเจียพูดล้อเอาไว้ว่า หัวหน้าของหลี่อันผิงเปลี่ยนเป็สาวสวยคนหนึ่งแล้วให้ระวังตัวเอาไว้ ตอนนั้นหลินลั่วหรานก็ได้แต่ฟังๆ ไป โดยไม่ได้สนใจอะไรมาก
ตลอดเจ็ดแปดปีที่ผ่านมาใช่ว่าจะไม่เคยมีคนเข้ามาจีบหลี่อันผิง แต่หลินลั่วหรานกลับไม่คิดว่า “คนสวย” จะน่ากลัวอะไรแต่สิ่งที่หลินลั่วหรานไม่รู้ก็คือ สาวสวยคนนี้ไม่ได้เป็เพียงหัวหน้าของหลี่อันผิงแต่ยังเป็ลูกสาวเพียงคนเดียวของผู้บริหารบริษัทแห่งนี้ด้วย
ดูเหมือนในละครมากเลยใช่ไหมล่ะ?
หลินลั่วหรานยืนอยู่หน้าตึกผู้บริหารของบริษัทฝูหม่านโหลวใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความสมเพชตัวเอง
เวลาเลิกงานมาถึงแล้วประตูกระจกบานใหญ่จึงถูกเปิดออก เมื่อเห็นเป่าเจียที่สวมรองเท้าส้นสูงเดินออกมาจากประตูหมุนของบริษัทหลินลั่วหรานจึงรีบหลบเข้าไปในเงา ก่อนจะหลบพ้นสายตาของเป่าเจียไปได้สำเร็จ
เวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงพนักงานต่างพากันออกมาจนเกือบจะหมดแล้ว ในที่สุดหลินลั่วหรานก็ได้พบกับร่างที่ดูคุ้นตาเดินออกมาจากประตูนั่น
ชุดสูทที่ถูกตัดมาพอดีตัวทรงผมที่ถูกเซ็ตมาอย่างดี หลี่อันผิงในตอนนี้มองดูแล้วช่างดูดี น่าเชื่อถือเสียจริงๆ
สาวสวยในชุดพนักงานเดินตามหลังเขาออกมาแบบติดๆนอกจากใบหน้าที่สวยงามแล้ว ยังประดับไปด้วยข้าวของแบรนด์หรูราคาแพง รวมทั้งเครื่องสำอางบนหน้านั่น
นี่คงเป็แฟนใหม่ของหลี่อันผิงสินะ
หลินลั่วหรานกัดริมฝีปากของตัวเองแน่นผู้หญิงที่ดูดีแบบนี้ ทำเอาคนอื่นดูตัวเล็กลงไปเลย แต่เธอจำเป็ที่จะต้องมาที่นี่ เพราะอย่างนั้นจะถอยหลังกลับไม่ได้เด็ดขาด
หลินลั่วหรานที่ดูแปลกแยกจากคนอื่นยืนอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ของบริษัท เธอดูไม่เข้ากับอะไรรอบตัวเลยสักนิด ทำให้เธอดูสะดุดตาผู้คนขึ้นมา
แต่คนที่หันมาเห็นเธอก่อนนั้นกลับไม่ใช่หลี่อันผิงแต่เป็คุณหนูผู้มีขนตางอนสวยของบริษัทฝูหม่านโหลวแทน เธอบุ้ยปากใส่หลี่อันผิง ก่อนจะพูดขึ้น“นู่น แฟนเก่านายมาน่ะ”
หลี่อันผิงหันมามองครู่หนึ่งที่แท้ก็ยัยโกโรโกโสหลินลั่วหรานนี่เอง
หลี่อันผิงแสดงสีหน้ารังเกียจออกมาชั่วครู่ก่อนจะรีบหันหน้ากลับไป ดวงตานั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “ไอลี่ ผมบอกไปแล้วไง ว่าที่บ้านเป็คนจัดการผมกับเธอไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันตั้งนานแล้ว...”
ไอลี่คว้ากระเป๋าไปจากหลี่อันผิงไม่สนใจคำอธิบายเ่าั้ของเขา ก่อนจะยกยิ้มบางๆ “ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันตั้งนานแล้ว? แบบนั้นหมายความว่าเมื่อก่อนมี...โอเค ฉันให้เวลาห้านาที ไปจัดการซะ”
คู่แข่งอย่างหลินลั่วหรานไอลี่ไม่ได้คิดจะสนใจอะไรั้แ่แรกอยู่แล้ว เธอรับกระเป๋ามาจากมือของหลี่อันผิง โดยไม่แม้แต่จะชายตามองก่อนจะเดินออกไปขึ้นรถออดี้ TT ที่เพิ่งออกมาใหม่โดยไม่พูดอะไรไม่ว่าจะเป็รถที่ราคาแพงเท่าไร ขอเพียงแค่ไอลี่ชอบมัน ก็เหมือนกับผู้ชายนั่นแหละ ไม่จำเป็ว่าจะต้องเกิดมาในตระกูลดีๆเพราะแค่เพียงแต่งเติมชื่อเสียงของเธอเข้าไป แค่นั้นก็ดูดีขึ้นมาแล้วไม่ใช่เหรอ?
สีหน้าของหลี่อันผิงไม่สู้ดีเท่าไรเขาเดินมาหยุดตรงหน้าหลินลั่วหราน โดยไม่ได้สนใจอะไรนัก
“ฉันคิดว่าฉันพูดชัดเจนแล้วนะลั่วหราน เราไม่เหมาะสมกันหรอก เรามันเข้ากันไม่ได้...” หลี่อันผิงพูดออกมาโดยไร้ซึ่งความอดทน เขาหวังว่าจะสามารถจัดการเื่ทั้งหมดให้จบลงได้ภายในห้านาที
หลินลั่วหรานเงยหน้าขึ้นในทันที“หลี่อันผิง นายคิดมากเกินไปแล้ว”
หลินลั่วหรานไม่ใช่คนตาบอดนะจะได้มองไม่เห็นสายตารังเกียจของหลี่อันผิง เธอไม่คิดจะเชื่ออะไรอีกต่อไปแล้ว และก็รู้ดีด้วยว่ามันเป็เื่ที่หลี่อันผิงคิดเอาไว้จนหมดแล้วต่อให้เสียใจมากแค่ไหน ก็ไม่มีทางจะมาปรากฏตัวอยู่หน้าผู้ชายเลวๆ คนนี้อีกแล้ว!
“ในเมื่อเลิกกันแล้ว ก็เอาของของที่บ้านฉันคืนมาเถอะ” หลินลั่วหรานพยายามให้ตัวเองดูนิ่งที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนจะชี้ไปยังสร้อยบนข้อมือของหลี่อันผิง
นั่นเป็สิ่งที่ตระกูลหลินส่งสืบทอดต่อกันมาไม่รู้ว่าส่งต่อกันมากว่ากี่รุ่นแล้ว มันเป็สร้อยข้อมือเงินสไตล์เรียบๆ ง่ายๆ เส้นหนึ่งไม่ว่าจะหญิงหรือชาย ก็ต่างใส่ได้ทั้งนั้น ้าเป็เส้นเงินเป็เกลียวพันเกี่ยวกันไว้และมีไข่มุกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสองเิเ ถูกใส่เอาไว้ภายในลูกบอลสานเส้นเงิน โดยไข่มุกนั้นสามารถกลิ้งไปมาได้อย่างอิสระ
นั่นเป็สร้อยที่แม่ของเธอใส่ให้หลี่อันผิงด้วยมือของเธอเองในตอนหมั้นหมาย
เมื่อได้ยินว่าหลินลั่วหรานตั้งใจมาเอาสร้อยข้อมือคืนไม่ได้ว่าขอร้องอ้อนวอนให้คืนดีด้วยอย่างที่คิดไว้ ใบหน้าของหลี่อันผิงก็เปลี่ยนเป็ซีดเผือดในทันที“หลินลั่วหราน นี่เธอจะไม่ขี้งกเกินไปหน่อยเหรอ ก็แค่สร้อยข้อมือพังๆ เส้นเดียวไม่ใช่หรือไงยังจะต้องมาเอาคืนอีกเหรอ!”
ผู้ชายที่พูดจาโหดร้ายตรงหน้านี้คือคนที่เราเคยชอบอย่างนั้นเหรอ? หลินลั่วหรานรู้สึกราวกับเป็คนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน และยังรู้สึกปวดหนึบๆ ขึ้นมาที่หน้าอก แต่นั่นเป็สิ่งที่ตระกูลหลินสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนไม่ว่าอย่างไรจะต้องเอาคืนมาให้ได้
เธอยิ้มเยาะออกมา“แค่สร้อยของมือพังๆ เส้นเดียวอย่างนั้นเหรอ หลี่อันผิง นายเปลี่ยนเป็คนปากอย่างใจอย่างแบบนี้ั้แ่เมื่อไรกัน?”
สีหน้าของหลี่อันผิงเปลี่ยนในทันทีจะบอกให้หลินลั่วหรานรู้ไม่ได้ ่นี้ใกล้จะถึงวันเกิดของไอลี่แล้ว เขาคิดไปคิดมาสร้อยข้อมือที่บ้านหลินลั่วหรานให้มาเส้นนี้ก็ถือเป็ของเก่าชิ้นหนึ่ง คงมีแค่สิ่งนี้ที่พอจะมีราคาสักหน่อยพอลองเอาไปให้ร้านสะสมของเก่าดู เ้าของร้านก็ให้ราคามากว่าแสนห้า บอกว่าตัวเองชอบสไตล์แบบนี้หลี่อันผิงมีเล่ห์เหลี่ยมในแบบของชาวบ้านอยู่แล้ว แค่เริ่มเ้าของร้านนั้นก็ให้ราคามาแสนห้าแล้วเขาจึงอยากจะเก็บเอาไว้เพิ่มราคาเสียก่อน เลยยังไม่ได้ขายไป... ตอนนี้หลินลั่วหรานบากหน้ามาทวงคืนแบบนี้แต่ถ้าให้คืนไป แล้วของขวัญที่จะให้ไอลี่ เขาจะไปหามาได้จากไหนกันล่ะ?
ในระหว่างที่หลี่อันผิงกำลังคิดอยู่นั้นเสียงแตรแหลมๆ ก็ดังขึ้น ฉุดเขาให้กลับมายังความจริง
รถออดี้TTสีแดงสดของไอลี่ถูกลดกระจกลง ใบหน้าที่ถูกแว่นกันแดดปกปิดไปกว่าครึ่งยกมุมปากขึ้นมา “อะไรกัน ยังรำลึกความหลังกันยังไม่เสร็จเหรอ?”
หลี่อันผิงได้ยินดังนั้นก็รีบตอบกลับไปทันที “ก็บอกแล้วไงว่าไม่มีอะไร เดี๋ยวผมจะไปแล้ว” เขาเดินไปขึ้นรถ โดยไม่ได้สนใจหลินลั่วหรานที่อยู่ตรงนี้เลยสักนิด
ไอลี่ปิดกระจกรถขึ้นในขณะที่กำลังจะเหยียบคันเร่งออกรถ ก็รู้สึกเหมือนเห็นเงาบางอย่าง
หลินลั่วหรานจับกระจกมองหลังของรถเอาไว้จนเส้นเืบนหลังมือปูดขึ้นมาชัดเจนก่อนที่เธอจะค่อยๆ พูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ฉันแค่้าสร้อยข้อมือของฉันคืน”
ไอลี่มองไปยังหลี่อันผิงเธอรู้ดีว่าหลี่อันผิงใส่สร้อยข้อมือเงินโบราณอันนี้มานานแล้ว แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะเป็ของหลินลั่วหราน!
หลี่อันผิงรับรู้ถึงความรู้สึกของไอลี่เขาเองใช่ว่าจะเป็คนไม่รู้อะไร ถ้าวันนี้เก็บสร้อยข้อมือเส้นนี้ไว้ จะต้องทะเลาะกับไอลี่แน่ๆเพราะแบบนั้น เขาจึงไม่มีทางยอมเสียเื่ใหญ่เพราะห่วงเื่เล็กอย่างแน่นอน...