บทที่ 43 หลบหนี
ฉู่อวิ๋นเข้าสู่สภาวะจิตไหวกระบี่อีกครั้ง ดวงตาของเขาว่างเปล่า มองดูแผนที่กระบี่เหมือนเมื่อครู่ และกวาดกระบี่ชื่อยวนในมืออย่างเป็ธรรมชาติ
แน่นอนว่าด้วยประสบการณ์จากครั้งที่แล้วทำให้ครั้งนี้เขาเข้าใจได้ง่ายขึ้น ภายในครึ่งชั่วยาม ฉู่อวิ๋นได้รับอะไรมามากมาย
ตามแผนภาพกระบี่ คราวนี้ไม่มีการกระจายปราณกระบี่สามสิบหกมรรคาของประกายทมิฬอีก แต่ต้องบีบอัดให้เป็หนึ่งเดียวกันแทน ก่อให้เกิดแสงกระบี่สีรุ้งอันทรงพลัง
แม้ตอนนี้ความเข้าใจในเื่กระบี่ของฉู่อวิ๋นจะโดดเด่น แต่ก็ยังต้องใช้เวลามากในการรวมปราณกระบี่แสงดาวทั้งหมดให้เป็หนึ่งเดียว
เหวี่ยงกระบี่ชื่อยวนครั้งแล้วครั้งเล่า อากาศเต็มไปด้วยดวงดาราสดใส ปราณกระบี่ส่องแสงเปล่งประกาย เหงื่อกาฬอาบไหลชุ่มกายา
เมื่อยามเช้าที่พระอาทิตย์ขึ้นมาถึง เขาก็เริ่มเชี่ยวชาญทักษะนี้
ในเวลานี้ พระอาทิตย์ส่องแสงสาดลงมาบนเทือกเขาไป่หลิง เสียงสกุณาครึกครื้น ป่าไม้เขียวชอุ่ม และสัตว์ปีศาจบางชนิดก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
หลังจากพักผ่อนทั้งคืน นักรบที่เข้าร่วมการประลองเซี่ยหยางก็กลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง พวกเขาทั้งหมดเริ่มวิ่งครั้งสุดท้าย โดยมุ่งมั่นที่จะล่าแต้มสัตว์ปีศาจให้มากขึ้นก่อนเที่ยง
ในูเา ร่างมนุษย์กระทบแสงเปล่งประกาย สัตว์ปีศาจส่งเสียงคำราม และบางครั้งก็มีกลิ่นเืปนอยู่ในอากาศ
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ และยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยามก่อนจะสิ้นสุดการประลองรอบแรก
นักรบส่วนใหญ่เริ่มหยุดการล่าสัตว์ ทยอยออกจากเทือกเขาไป่หลิงและรีบกลับไปยังสถานที่นัดพบชานเมืองทางตะวันออก โดยไม่กล้าละเลยเวลา
เพราะหากไม่กลับมาตอนเที่ยงก็จะถูกตัดสิทธิ์จากการประลองทันที แม้แต่การนับแต้มสำหรับการประลองรอบแรกก็ไม่อนุญาตให้เข้าร่วม ความพยายามทั้งหมดก็จะสูญเปล่า
เทือกเขาไป่หลิงค่อยๆ กลายเป็ที่รกร้าง
ยามนี้ ในหลุมศพของบรรพบุรุษ ฉู่อวิ๋นยังคงทำความเข้าใจแผนที่กระบี่อีกภาพหนึ่ง ในขณะที่มู่หรงซินยังคงนอนหลับสนิท
หลังจากการฝึกฝนมาเป็เวลานาน ในที่สุดฉู่อวิ๋นก็เชี่ยวชาญกระบวนท่ากระบี่ลึกลับนี้
"สำเร็จ!"
ท่าทางของฉู่อวิ๋นดูเหนื่อยเล็กน้อย แต่ดวงตาเป็ประกาย เขามองไปที่กระบี่ชื่อยวนที่อยู่ในมือแล้วพูดกับตัวเอง "ต่อไป...เรามาลองใช้พลังของกระบวนท่านี้กันเถอะ"
"ย๊า!"
เขาจับกระบี่ชื่อยวนไว้แน่นด้วยมือทั้งสองข้าง ะโเสียงดัง และนำพลังปราณทั้งหมดในเส้นลมปราณถ่ายเทเข้าสู่ตัวกระบี่ จากนั้นก็ใช้ประกายทมิฬเพื่อหลอมรวมปราณกระบี่
"ควั่บ!"
แสงดาวสามสิบหกมรรคาและปราณกระบี่พัวพันกันยุ่งเหยิงในคลื่นอากาศ แสงศักดิ์สิทธิ์สว่างไสว แสงสีม่วงส่องแสงเจิดจ้า และสุสานอันมืดมิดก็สว่างราวกับกลางวัน
ในชั่วพริบตา รุ้งศักดิ์สิทธิ์อันสดใสก็ปรากฏขึ้นบนกระบี่ชื่อยวนด้วยพลังอันท่วมท้น
ร่างกายของฉู่อวิ๋นเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ มือของเขาสั่นเล็กน้อย เขาควบคุมไม่ได้ พลังที่มีอยู่ในกระบวนท่ากระบี่นี้ยิ่งใหญ่เกินไป!
แม้จะสร้างด้วยจิตไหวกระบี่ แต่มันก็ค่อนข้างยาก
ทว่าฉู่อวิ๋นจะยอมแพ้ได้อย่างไร?
เขาเบิกตากว้าง กัดฟันและะโด้วยเสียงทุ้ม "เ้ากระบี่น่าตายนี่ ควบแน่นพลังปราณให้ข้าเดี๋ยวนี้!"
“วึ้ง——”
ทันใดนั้น ด้วยเสียงอันลึกลับ สายรุ้งศักดิ์สิทธิ์ก็กลายเป็ดวงดาวที่อัดแน่นไปด้วยพลัง และเสถียรอย่างสมบูรณ์
สนิมอีกครึ่งหนึ่งบนกระบี่ชื่อยวนหลุดออกไปแล้ว โดยมีแสงสีแดงเข้มจางๆ และเสียงกระบี่ดังขึ้นแ่เบา
“เจิง——”
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ดวงตาของฉู่อวิ๋นก็เป็ประกาย รู้สึกเหลือเชื่อมาก เขาเห็นกระบี่ชื่อยวนสีแดงเข้มราวกับเปลวไฟ ราวกับหุบเหวสีแดงชาด ทั้งพลังของกระบี่ก็น่าทึ่งนัก
“นี่น่าจะเป็รูปลักษณ์ดั้งเดิมของกระบี่เล่มนี้ เป็กระบี่ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ด้วย ย๊า!” ดวงตาของฉู่อวิ๋นหรี่ลง เขาะโเสียงดัง และเหวี่ยงกระบี่ชื่อยวนออกไป
"ชิ้ง!"
แสงสายรุ้งของดาวตกเปล่งประกายบนท้องฟ้าด้วยพลังทำลายล้าง แทบจะมองไม่เห็นวิถีของมัน มันเหมือนกับัสีม่วงที่อาละวาดในพื้นที่เล็กๆ และส่งเสียงคำรามกระแทกกระทั้น
ในสุสาน พื้นดินสั่นะเืและมีหินก็ร่วงหล่นลงมา ราวกับว่าพวกมันกำลังจะแตกสลาย
ท้ายที่สุด กำแพงหินเกือบทั้งหมดก็ถูกทำลายและแม้แต่ก้อนหินขนาดใหญ่ก็ตกลงมาจาก้าของห้องหิน แต่ก่อนที่พวกมันจะกระแทกพื้น ก็แตกสลายด้วยสายรุ้งจากกระบี่และสลายเป็ผุยผง
"ครืน ครืน!"
การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เช่นนี้ย่อมทำให้มู่หรงซินตื่นขึ้นโดยสัญชาตญาณ นางหวาดกลัวจนหน้าซีดและะโว่า "นี่ นี่ แผ่นดินไหว! หรือคุณหนูเช่นข้าผู้นี้จะถูกก้อนหินทับตายก่อนเช่นนั้นหรือ? ์ ท่านอิจฉาความงามของมนุษย์หรือย่างไร?!"
“เอ๊ะ ไม่สิ เหตุใดเ้าอันธพาลตัวเหม็นนั่นถึงได้ดูสงบขนาดนี้? เขาทำให้เกิดเื่นี้หรือเปล่า?” มู่หรงซินจับศีรษะตัวเองแล้ววิ่งไปหา เมื่อนางเห็นสีหน้าสงบและสนุกสนานของฉู่อวิ๋นก็เข้าใจในทันที
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้เกิดจากเขาอย่างแน่นอน!
“เ้าอันธพาลตัวเหม็น เ้ากำลังทำอะไร?! อยากให้ข้าใตายหรือ?” มู่หรงซินหลบก้อนหินที่ตกลงมาและขยับเข้าหาฉู่อวิ๋นใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อสายรุ้งวิเศษที่ไหลอยู่รอบๆ หายไป สุสานก็กลับมาสงบอีกครั้ง
เมื่อเห็นใบหน้าที่น่าอับอายของมู่หรงซิน ฉู่อวิ๋นก็พูดประชด "อะแฮ่ม...ข้ากำลังทดสอบกระบวนท่ากระบี่อยู่ ไม่คิดว่ามันจะทรงพลังขนาดนี้ ขอโทษที่ทำให้เ้าตื่น"
“เ้าไม่เพียงแค่ปลุกให้ข้าตื่น มันคือการฆาตกรรม! หากคุณหนูเช่นข้ารู้ตัวไม่เร็วพอ ข้าก็คงโดนหินทับจนตายไปแล้ว” มู่หรงซินยื่นมือออกมาเช็ดฝุ่นออกจากใบหน้าแล้วกระทืบเท้าด้วยความโกรธ เ้าเมฆ[1]อันธพาลก้อนนี้สมควรถูกตีจริงๆ
แต่มู่หรงซินยังเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่านางไม่สามารถเอาชนะฉู่อวิ๋นในตอนนี้ได้อย่างแน่นอน
คนเขาถึงขั้นทะลวงผ่านระดับสองขั้นติดต่อกันและเอาชนะฉู่ป้าอยู่ระดับเจ็ดของขอบเขตควบแน่นพลังปราณได้ นางอยู่เพียงระดับหกขั้นสูงสุดของขอบเขตควบแน่นพลังปราณ ยังไม่เพียงพอจริงๆ
ดังนั้น นางจึงทำได้เพียงหยิกแขนของฉู่อวิ๋นเพื่อระบายความโกรธต่อไป ใบหน้าของนางแดงก่ำด้วยความโมโห
หลังจากนั้นไม่นาน ฉู่อวิ๋นก็บอกมู่หรงซินเกี่ยวกับแผนที่กระบี่และกระบี่โบราณชื่อยวน ซึ่งทำให้สีหน้านางดูดีขึ้น
ฉู่อวิ๋นพยายามโจมตีศิลาทลายัด้วยทักษะกระบี่นี้ แต่แม้ว่ากระบี่แสงรุ้งนี้จะทรงพลังอย่างน่าประหลาดใจอย่างไร แต่ก็ยังไร้ผล ดูเหมือนว่าหินก้อนใหญ่นี้จะได้รับการปกป้องจากวงกลมที่ส่องแสงสีเขียวจางๆ ป้องกันไม่ให้ถูกทำลายได้
“จบกัน! นี่มันจบแล้ว ข้าไม่อยากติดอยู่ที่นี่…” มู่หรงซินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เมื่อเห็นเช่นนี้ ฉู๋อวิ๋นก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เขาทำได้แค่ถอนหายใจยาวๆ แล้วมองไปรอบๆ สภาพแวดล้อมที่วุ่นวาย คิดกับตัวเอง "เฮ้อ ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ยังรู้สึกผิดที่ทำลายสุสานบรรพบุรุษแบบนี้..."
ฉู่อวิ๋นเดินช้าๆ มาถึงโครงกระดูกหิน เขาคุกเข่าลงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“บรรพบุรุษ ลูกหลานเป็คนอกตัญญู ไม่อาจปกป้องสมบัติต้องห้ามของตระกูลได้ ทั้งยังสร้างความวุ่นวายในสุสาน ทำให้พวกท่านนอนไม่สุขสงบ ขอท่านอภัยให้ข้าด้วย”
“แต่กระบี่ชื่อยวนได้รับการขัดเกลาแล้ว ตอนนี้ลูกหลานจะคืนให้ท่าน”
หลังจากนั้น ฉู่อวิ๋นก็วางกระบี่ชื่อยวนกลับเข้าไปในมือของโครงกระดูก รู้สึกไม่เต็มใจจะแยกจากมันเล็กน้อย
กระบี่ชื่อยวนเป็อาวุธทรงพลังจริงๆ แต่ถ้าไม่สามารถเอาออกไปได้ มันก็ไร้ประโยชน์ ยิ่งกว่านั้น เดิมทีกระบี่นี้เป็ของบรรพบุรุษ ฉู่อวิ๋นไม่คิดเอามันออกไปตามใจชอบ
“มาสำรวจสุสานกันต่ออีกหน่อยเถอะ ลองดูว่ามีกลไกอื่นใดอีกหรือไม่?”
ฉู่อวิ๋นยืนขึ้นอย่างช่วยไม่ได้และกำลังจะจากไป แต่ตอนนี้ กระดูกบนที่นั่งหินเปล่งประกายด้วยแสงสีเขียวไหม้ไฟจางๆ ทั้งลึกลับและแปลกประหลาด
“นี่ หรือบรรพบุรุษจะปรากฏตัวขึ้นมา? ไม่ร้ายแรงขนาดนั้นกระมัง?” จู่ๆ ฉู่อวิ๋นก็รู้สึกหนาวสั่นไปทั่วทั้งร่างและจ้องมองภาพที่อยู่ตรงหน้าเขา
"วูบ--"
มองเห็นแสงสีเขียวของกระดูกลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ค่อยๆ เหี่ยวเฉา และกลายเป็ควันจางๆ จากนั้นลอยไปยังกระบี่ชื่อยวนและโอบล้อมพันรอบมัน
ในไม่ช้า โครงกระดูกทั้งหมดก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ไม่ใช่กระมัง? ตอนนี้แม้แต่กระดูกของบรรพบุรุษข้าก็ทำลายลงไปแล้ว! บาปหนานัก บาปหนาจริงๆ!” ฉู่อวิ๋นใ ก่อนจะกุมหัวและะโออกมา
ในเวลานี้ กระบี่ชื่อยวนที่ล้อมรอบด้วยแสงสีเขียวก็ลอยขึ้นไปในอากาศอย่างช้าๆ เป็ที่แปลกใจมาก
ภาพดังกล่าวทำให้ร่างบอบบางของมู่หรงซินสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว นางร้องออกมา "ว้าก! ผี...ผี! คุณหนูเช่นข้ายังไม่ตื่นอีกหรือ? ยังฝันอยู่อีกหรือ?"
ทันใดนั้น มู่หรงซินก็หันหลังกลับและวิ่งหนีไป วิ่งไปที่ศิลาทลายัและทุบมันอย่างต่อเนื่อง พยายามจะออกไปจากที่นี่
แต่หลังจากนั้นไม่นาน นางก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของศิลาทลายั
“นี่ แสงสีเขียวบนพื้นผิวหินหายไปแล้วหรือ?”
ไม่นาน มู่หรงซินก็กลับมามีสติอีกครั้ง เผยให้เห็นสีหน้าประหลาดใจอย่างรวดเร็ว และะโ "นี่ เ้าอันธพาลตัวเหม็น มาดูนี่สิ แสงสีเขียวบนศิลาทลายัดูเหมือนจะหายไปแล้ว!"
“ฮะ?” ฉู่อวิ๋นมองไปที่ศิลาทลายัและพบว่าพื้นผิวของหินมืดมนและหมองคล้ำเหมือนหินธรรมดา เขาประหลาดใจ "เหตุใดศิลาทลายัถึงมืดลงหลังจากกระดูกของบรรพบุรุษหายไป? หรือว่า...ตอนนี้จะสามารถทำลายกำแพงหินได้แล้ว?”
ก่อนหน้านี้ เป็เพราะการขัดขวางของแสงสีเขียวที่ทำให้ฉู่อวิ๋นไม่สามารถทำลายศิลาทลายัได้
บางที ยามนี้อาจมีความหวังที่จะหลุดพ้นจากปัญหาแล้วก็ได้!
มู่หรงซินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองด้วยความดีใจและพูดด้วยรอยยิ้ม "คุณหนูเช่นข้าเข้าใจแล้ว กระดูกของบรรพบุรุษของเ้าก็คือจุดกำเนิดของค่ายกล หลังจากที่มันสลายไป สิ่งที่ปกป้องศิลาทลายัไว้ก็จะถูกทำลาย ตอนนี้น่าจะทำลายมันได้ง่ายขึ้นแล้ว!”
“ดูเหมือนว่าจะเป็เช่นนั้น!” จู่ๆ ฉู่อวิ๋นก็คิดได้และรู้สึกมีความสุขมาก หลังจากคิดถึงเื่นี้ เขาก็ยื่นมือประสานไปที่กระบี่ชื่อยวนแล้วพูดว่า "ขอบ...ขอบคุณบรรพบุรุษที่ออกแรงช่วยเหลือ ลูกหลานขอบคุณท่านมาก!”
ฉู่อวิ๋นคิดว่า นี่คือการปรากฏตัวของบรรพบุรุษตระกูลฉู่เพื่อช่วยพวกเขาทั้งสองคน
แต่การเรียกเขาว่าบรรพบุรุษต่อหน้ากระบี่ก็ทำให้เขารู้สึกพูดไม่ออกเล็กน้อย
"วิ้ง!"
ยามนี้เอง กระบี่ชื่อยวนก็ค่อยๆ เคลื่อนเข้าหาฉู่อวิ๋นพร้อมแสงที่ส่องสว่าง ทำให้เขาสะดุ้งเล็กน้อย
“บรรพบุรุษ ท่านอยากให้ข้าถือกระบี่หรือ?” ฉู่อวิ๋นถาม แต่ไม่มีการตอบสนอง ดังนั้นเขาจึงต้องเอื้อมมือออกไปถือกระบี่ชื่อยวน
"วิ้ง!"
ทันใดนั้น ข้อมูลที่ไม่ต่อเนื่องก็ไหลออกมาจากกระบี่เข้าสู่จิตใจของฉู่อวิ๋น
“วิชากระบี่ดาวตก ซึ่งเดิมเรียกว่าวิชากระบี่ดาราร่วงหล่น มีทักษะพิเศษสองประการ หลังจากเชี่ยวชาญแล้ว มันจะเป็เทคนิคกระบี่ระดับสูงสุดทางจิติญญา”
“กระบวนท่าป้องกัน ดวงดาราแปรเปลี่ยนตามกาลเวลา”
“กระบวนท่าสังหาร ดวงดาราร่วงหล่นไร้ร่องรอย”
“กระบี่โบราณชื่อยวน เป็นักรบกษัตริย์ของราชวงศ์เรา จงปกปักษ์รักษาไว้ให้ดี…”
ในที่สุด เมื่อเสียงโบราณนั่นหายไป แสงสีเขียวบนกระบี่ก็ค่อยๆ หายไปและกลับเป็สีแดงเข้ม
“นี่คือความคำนึงถึงของบรรพบุรุษ! เขาเลือกที่จะให้ข้าเก็บกระบี่ชื่อยวนไว้” ฉู่อวิ๋นตกตะลึง ไม่สามารถโต้ตอบได้ แล้วคิดกับตัวเอง "วิชากระบี่ดาวตกเป็ทักษะการต่อสู้ระดับสูงสุดทางจิติญญา และกระบี่โบราณชื่อยวนเป็นักรบกษัตริย์? นี่คืออะไร?”
ฉู่อวิ๋นยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเหม่อลอย สีหน้าเคร่งเครียดและเต็มไปด้วยคำถาม แต่ไม่มีใครตอบเขาได้
แน่นอนว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยินเสียงนี้
ในที่สุด ฉู่อวิ๋นก็เข้าใจ และความสงสัยในอดีตของเขาก็ได้รับคำตอบ "ไม่แปลกใจเลยที่ประกายทมิฬจะใช้พลังปราณเยอะเช่นนั้น ที่แท้ระดับของวิชานั้นสูงมาก แล้วนักรบกษัตริย์หมายถึงอะไร?"
“เ้าโรคจิตอวิ๋น! มัวยืนทำอะไรอยู่? รีบเข้ามาฟันเ้าศิลาทลายันี่เร็วๆ” เสียงกระตุ้นของมู่หรงซินดังมาจากระยะไกล ทำให้ฉู่อวิ๋นดึงสติกลับมาสู่ความเป็จริง
ใช่ สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการประลองเซี่ยหยาง ความลับของตระกูลไว้มาสำรวจในภายหลังได้
"รอสักครู่ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้" ฉู่อวิ๋นมองลึกเข้าไปในหลุมศพของบรรพบุรุษอีกครั้ง จากนั้นจู่ๆ ก็หันกลับมา ยกกระบี่ชื่อยวนขึ้นมา แล้วทำลายศิลาทลายั!
---------------------
[1] 云 แปลว่า ก้อนเมฆ มาจากชื่อของฉู่อวิ๋น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้