บทที่ 9: คมมีดบนโต๊ะอาหาร
เมื่อซูเยว่มาถึงเรือนหมู่ตาน ภาพที่เห็นก็คือความสงบสุขอันจอมปลอมที่ถูกจัดฉากขึ้นอย่างประณีต บ่าวรับใช้กำลังสาละวนอยู่กับการจัดวางอาหารเลิศรสหลากชนิดลงบนโต๊ะไม้ขัดมันวาววับ กลิ่นหอมของดอกโบตั๋นในสวนผสมผสานกับกลิ่นกำยานราคาแพงที่จุดไว้ในกระถางทองเหลือง สร้างบรรยากาศที่ดูสูงส่งและผ่อนคลาย ทว่าสำหรับซูเยว่แล้ว อากาศที่นางสูดเข้าไปกลับให้ความรู้สึกหนักอึ้งและแฝงไว้ด้วยไอสังหารจางๆ
หลิวซือและซูชิงนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ทั้งสองแต่งกายด้วยอาภรณ์ผ้าไหมเนื้อดีสีสันสดใสราวกับกำลังประชันความงามกันอยู่ รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าของพวกนางนั้นงดงามไร้ที่ติ แต่ดวงตาที่จ้องมองมายังซูเยว่นั้นคมกริบราวกับใบมีดที่ผ่านการลับคมมาอย่างดี
"พี่หญิงใหญ่ มาแล้วหรือเ้าคะ" ซูชิงรีบลุกขึ้นเดินมาต้อนรับอย่างกระตือรือร้น "ท่านแม่เป็ห่วงท่านมากเลยนะเ้าคะ รีบมานั่งเถิด อาหารกำลังร้อนๆ เลย"
"เยว่เอ๋อร์ วันนี้สีหน้าของเ้าดูดีขึ้นมากจริงๆ" หลิวซือกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน "ดูท่าการไปไหว้พระที่วัดคงจะได้ผลบุญกลับมาไม่น้อยเลยสินะ"
"ขอบพระคุณท่านแม่ที่เป็ห่วงเ้าค่ะ" ซูเยว่ย่อกายคารวะอย่างงดงาม ก่อนจะนั่งลงในตำแหน่งที่จัดไว้ให้ "เป็เพราะท่านแม่ดูแลเอาใจใส่ลูกเป็อย่างดีต่างหากเ้าค่ะ ลูกถึงได้ฟื้นตัวเร็วเช่นนี้"
การสนทนาเริ่มต้นขึ้นอย่างราบรื่นราวกับไม่มีสิ่งใดในใจ อาหารรสเลิศถูกคีบส่งให้กันและกัน แต่ทุกถ้อยคำที่เอ่ยออกมาล้วนแฝงไว้ด้วยกับดัก
หลิวซือเริ่มต้นก่อน "เ้าไปวัดกวงจี้มาคนก็เยอะแยะ น่าจะบอกแม่สักคำนะ จะได้จัดทหารองครักษ์ติดตามไปด้วยเพื่อความปลอดภัย ความปลอดภัยของคุณหนูใหญ่แห่งจวนสกุลซูเป็เื่สำคัญยิ่งนัก"
นี่คือการหยั่งเชิงครั้งแรก เป็การทดสอบข้อแก้ตัวของนาง พร้อมกับกล่าวหาเป็นัยว่านางทำตัวเสี่ยงอันตรายและไม่รู้จักคิด
ซูเยว่วางตะเกียบลงอย่างช้าๆ แล้วตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่ไร้เดียงสา "ท่านแม่ห่วงใยลูกถึงเพียงนี้ ลูกซาบซึ้งใจจริงๆ เ้าค่ะ แต่ลูกเพียงแค่อยากจะเดินทางไปขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยใจที่สงบและเป็ส่วนตัว อีกอย่างเราก็เดินอยู่แต่บนถนนใหญ่ที่มีผู้คนพลุกพล่านตลอดเวลา ไม่ได้เข้าไปในที่เปลี่ยวเลยแม้แต่น้อย ลูกคิดว่าบารมีของพระโพธิสัตว์คงจะคุ้มครองเราอยู่เ้าค่ะ"
คำตอบของนางไร้ซึ่งช่องโหว่ ทำให้หลิวซือไม่อาจกล่าวโทษนางในเื่ความปลอดภัยได้อีก
ซูชิงจึงรีบเปลี่ยนแนวรบเข้ามาเสริมทัพ "อ้อ วัดกวงจี้หรือเ้าคะ! ข้าได้ยินมาว่า่นี้ดอกโบตั๋นที่นั่นกำลังบานสะพรั่งงดงามยิ่งนัก โดยเฉพาะพันธุ์ 'จานหยกขาว' ที่อยู่ข้างอุโบสถนั้นหาชมได้ยากยิ่งนัก ไม่ทราบว่าพี่หญิงใหญ่ได้แวะไปชมบ้างหรือไม่เ้าคะ"
นี่คือกับดักที่เน้นรายละเอียด หากซูเยว่ไม่ได้ไปที่นั่นจริง นางย่อมไม่อาจตอบคำถามนี้ได้อย่างแน่นอน
โชคดีที่ในความทรงจำชาติก่อนของซูเยว่ นางเคยถูกบิดาพาไปที่วัดแห่งนี้อยู่หลายครั้ง ภาพต่างๆ จึงยังคงแจ่มชัดอยู่ในหัว นางแสร้งทำหน้าระลึกถึงความหลังแล้วยิ้มออกมาบางๆ "อืม... โบตั๋นพันธุ์ 'จานหยกขาว' งดงามสมคำร่ำลือจริงๆ แต่ไม่รู้เหตุใด ข้ากลับรู้สึกชอบพันธุ์ ศิลาฝนหมึกของบัณฑิต ที่ปลูกอยู่ริมกำแพงด้านทิศตะวันตกมากกว่า สีม่วงเข้มของมันให้ความรู้สึกสงบนิ่งและลึกล้ำ เหมาะกับจิตใจที่้าสวดมนต์ภาวนาในวันนั้นของข้ายิ่งนัก"
คำตอบที่เจาะจงและเหนือความคาดหมายนี้ทำให้รอยยิ้มของซูชิงแข็งค้างไปเล็กน้อย นางคาดไม่ถึงว่าซูเยว่จะตอบได้ แถมยังให้รายละเอียดที่นางเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน ทำให้ข้อแก้ตัวของซูเยว่ดูน่าเชื่อถือขึ้นมาอีกหลายส่วน
เมื่อเห็นว่าการโจมตีแนวรบแรกไม่ได้ผล หลิวซือจึงเปลี่ยนเื่เข้าสู่ประเด็นที่นางกังวลใจที่สุดทันที
"พูดถึงเื่สุขภาพแล้ว... วันนี้ท่านพี่ดูมีสีหน้ากลัดกลุ้มพิกล" นางถอนหายใจเบาๆ พลางคีบกับข้าวให้ซูเยว่ "ท่านพี่บอกกับข้าว่า เขาตัดสินใจจะหยุดดื่มยาบำรุงที่ข้าอุตส่าห์ต้มให้ทุกวันเสียแล้ว... ข้าเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงเกิดความคิดพิลึกๆ เช่นนี้ขึ้นมาได้ ทั้งๆ ที่ข้าก็หวังดีอยากให้ร่างกายของท่านพี่แข็งแรง"
นางพูดจบก็จ้องตรงมาที่ซูเยว่ สายตาคมปลาบราวกับจะแทงทะลุเข้าไปให้ถึงหัวใจ นี่คือการกล่าวหาซึ่งหน้า!
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารพลันเย็นเยียบลงทันที ซูเยว่รับรู้ได้ถึงแรงกดดันมหาศาล แต่นางยังคงสงบนิ่ง นางวางตะเกียบลงอีกครั้ง สีหน้าเปลี่ยนเป็กังวลใจอย่างสุดซึ้งตามแบบฉบับของลูกสาวที่ห่วงใยบิดา
"แย่จริง! ท่านพ่อตัดสินใจเช่นนั้นหรือเ้าคะ" นางอุทานออกมาเบาๆ "เมื่อครู่นี้ลูกเพิ่งจะพบกับท่านพ่อ ท่านก็เปรยๆ ให้ลูกฟังเหมือนกันว่า ท่านรองเ้ากรมหลี่ได้แนะนำให้ท่านลองพักจากการดื่มยาบำรุงดูสักหน่อย... บางที... ของดีๆ หากมีมากเกินไปก็อาจจะไม่ส่งผลดีต่อร่างกายก็เป็ได้นะเ้าคะ"
นางปัดข้อกล่าวหาทั้งหมดไปให้บุคคลที่สามคือรองเ้ากรมหลี่อย่างแเี พร้อมกับให้เหตุผลที่ฟังดูเป็กลางและไม่เป็การกล่าวโทษผู้ใดว่า "ของดีมีมากไปก็ไม่ดี"
จากนั้นนางก็ถอนหายใจแล้วกล่าวเสริมด้วยท่าทีที่ดูเจียมเนื้อเจียมตัว "ลูกเองก็ไม่ค่อยรู้เื่หลักการแพทย์ที่ลึกซึ้งอะไรนักหรอกเ้าค่ะ เมื่อวานนี้ลูกเพียงแค่พูดกับท่านพ่อไปตามประสาคนโง่เขลาว่า ท่านพ่อควรจะเชื่อฟังเหล่าท่านหมอในกรมแพทย์หลวงให้มากๆ เพราะท่านเ่าั้คือผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง ลูกดีใจจริงๆ ที่ท่านพ่อรับฟังคำพูดโง่ๆ ของลูกแล้วไปปรึกษาท่านรองเ้ากรมหลี่"
นางหยุดเล็กน้อยแล้วหันไปมองหลิวซือด้วยแววตาที่จริงใจที่สุด "ท่านแม่เ้าขา ความรักและความห่วงใยที่ท่านแม่มีต่อท่านพ่อนั้นไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้ แต่สุขภาพของท่านพ่อย่อมเป็สิ่งที่สำคัญที่สุด การที่ท่านพ่อรู้จักระมัดระวังตัวเช่นนี้ถือเป็เื่น่ายินดีอย่างยิ่งนะเ้าคะ"
คำตอบของนางช่างแยบยลยิ่งนัก! มันทำให้นางกลายเป็เพียง "ผู้จุดประกาย" ให้เกิดเื่ดีๆ (คือการที่ท่านพ่อรู้จักระมัดระวังตัว) โดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งยังยกย่อง ความรัก ของแม่เลี้ยงไปในขณะเดียวกัน...แต่กลับสนับสนุนการตัดสินใจหยุดยาของบิดาไปในตัว ทำให้หลิวซือตกอยู่ในสถานะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก...หากนางยังยืนกรานจะให้สามีดื่มยาต่อไป ก็จะกลายเป็ว่านางไม่ห่วงใยสุขภาพที่แท้จริงของเขา
หลิวซือแค้นจนแทบกัดฟันกรอด แต่นางต้องรักษาภาพลักษณ์ของฮูหยินผู้ใจดีเอาไว้ รอยยิ้มของนางจึงยังคงประดับอยู่บนใบหน้า หากแต่มันดูแข็งกระด้างขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
นางพยายามใช้ไม้แข็งเป็ครั้งสุดท้าย "เยว่เอ๋อร์... เ้าพูดถูก" นางกล่าวช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ "ั้แ่เ้าหายป่วยครานี้ เ้าดู... รู้ความและรู้จักคิดขึ้นมากจริงๆ" นางจ้องเขม็งมาที่ซูเยว่ "แต่คนเราต้องรู้จักระมัดระวัง บางครั้ง... การรู้เพียงเล็กน้อยอาจจะอันตรายกว่าการไม่รู้อะไรเลยก็ได้นะ การตัดสินใจที่ผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อาจจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่เลวร้ายอย่างคาดไม่ถึง"
นี่คือคำขู่! คำขู่ที่เตือนสติว่าอย่ามายุ่งเื่ของนาง!
ซูเยว่เข้าใจความหมายนั้นเป็อย่างดี นางสบตากับแม่เลี้ยงอย่างไม่เกรงกลัว ก่อนจะเผยรอยยิ้มที่สงบนิ่งและบริสุทธิ์ออกมา "ท่านแม่สอนได้ถูกต้องแล้วเ้าค่ะ ลูกจะจดจำคำสอนของท่านแม่ไว้ให้ขึ้นใจ" นางตอบกลับอย่างนอบน้อม "การก้าวพลาดเพียงก้าวเดียว สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของคนเราไปได้ทั้งชีวิตจริงๆ เ้าค่ะ... ด้วยเหตุนี้ ลูกจึงตั้งใจว่าจะพยายามทำตัวให้รอบคอบและกตัญญูให้มากยิ่งขึ้นนับจากนี้ไป"
คำตอบของนางสะท้อนคำขู่กลับไปหาหลิวซือได้อย่างงดงาม เป็การเตือนสติกลับไปว่า ทุกคน ควรจะต้องระวังการก้าวพลาดของตนเองเอาไว้ให้ดี...
มื้ออาหารกลางวันจบลงด้วยความพ่ายแพ้ทางจิตวิทยาอย่างย่อยยับของฝ่ายเ้าบ้าน หลิวซือไม่ได้ข้อมูลใดๆ เพิ่มเติม ไม่มีหลักฐานแม้แต่ชิ้นเดียว และกลับยิ่งเพิ่มความสงสัยและความขุ่นเคืองใจให้ตนเองมากขึ้นไปอีก ส่วนซูชิงก็นั่งเงียบไปตลอดมื้ออาหาร นางกำลังหวาดหวั่นกับการเปลี่ยนแปลงของพี่สาวต่างมารดาคนนี้
ซูเยว่ขอตัวลากลับเรือนด้วยกิริยามารยาทที่งดงามสมบูรณ์แบบ ทิ้งให้สองแม่ลูกนั่งอยู่ท่ามกลางอาหารเลิศรสที่บัดนี้ราวกับมีรสชาติขมขื่นดั่งยาพิษเมื่อลับร่างของซูเยว่ไปแล้ว... เปรี้ยง!
หลิวซือปัดถ้วยชาลงกับพื้นจนแตกกระจาย!"นังเด็กสารเลว!" นางสบถออกมาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน "มันไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว!ซูชิงหน้าซีดเผือด "ท่านแม่... แล้วเราจะทำอย่างไรกันต่อไปดีเ้าคะ"
ดวงตาของหลิวซือหรี่ลงจนเป็ประกายเย็นเยียบ "กระต่ายน้อยที่เคยอยู่ในกำมือ บัดนี้มันกลายเป็งูพิษไปเสียแล้ว..." นางกัดฟันกรอด "ในเมื่อไม้อ่อนใช้ไม่ได้ผล... ก็คงถึงเวลาที่ต้องใช้วิธีอื่น!"
นางตระหนักได้อย่างเยียบเย็นแล้วว่าตนเองได้ประเมินลูกเลี้ยงคนนี้ต่ำเกินไป... าแย่งชิงอำนาจในจวนสกุลซูได้เริ่มต้นขึ้นอย่างแท้จริงแล้วั้แ่วันนี้.!