วันแรกของปีใหม่เต็มไปด้วยความสุขสนุกสนาน เนื่องจากถูกปลุกตอนกลางดึกให้ไปคุกเข่ากราบไหว้ที่โถงบรรพชน เคี่ยวกรำอยู่นานมาก เช้านี้เฉียวเยว่จึงนั่งสัปหงก ไม่ค่อยสดชื่นเท่าไรนัก เด็กเล็กนอนไม่พอล้วนเป็เช่นนี้ มองไปที่คนอื่นๆ ล้วนหน้าซีดเซียว แต่เฉี่ยวเยว่กลับมีเฉลียวฉลาดใช้การแต่งหน้าช่วยปกปิด
ใช่ว่าเฉียวเยว่จะคิดวิธีนี้ไม่ออก แต่นางยังเด็ก มารดานางไม่ให้ใช้ของจำพวกแป้งชาดอยู่แล้ว จึงล้มเลิกความคิดนี้เสีย
มีคนมาเยี่ยมเยียนมิได้ขาดแต่เช้าตรู่ เฉียวเยว่กับฉีอันสวมอาภรณ์สีแดงสด เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายความเป็มงคล
ไม่ว่าพบเจอผู้ใดก็ล้วนกล่าวอวยพรแสดงความยินดีขอให้ร่ำรวย
จนกระทั่งถึงยามเย็น เด็กทั้งสองก็เหนื่อยจนแทบไม่ไหวแล้ว ผู้คนมามากมาย พวกเขาจะไม่เหนื่อยได้อย่างไร เมื่อพบผู้าุโก็ต้องคุกเข่าโขกศีรษะอวยพรปีใหม่ หากเป็คนอื่นๆ ก็ต้องโค้งคำนับอย่างมีมารยาท
ดวงหน้าของเฉียวเยว่อ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด ดูน่าสงสารมาก "ท่านแม่ ข้าเหนื่อยจังเลย"
ยามนี้ไท่ไท่สามกำลังถูหลังให้เฉียวเยว่ แม่หนูน้อยอ้วนกลมนั่งอยู่ในถังน้ำขนาดใหญ่ ถังใบใหญ่เกินไป นางต้องนั่งบนเก้าอี้เตี้ยที่ตั้งอยู่ในถัง
ไท่ไท่สามเห็นนางตาปรือก็เอ่ยเสียงเบา "ประเดี๋ยวอาบน้ำเสร็จขยี้ผมแห้งแล้ว เ้าก็รีบเข้านอนให้เร็วหน่อย"
เฉียวเยว่ตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล "เ้าค่ะ"
ไท่ไท่สามใช้ผ้าผืนใหญ่ห่อตัวนางขึ้นมา หลังจากนั้นก็อุ้มไปวางข้างเตียงเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เสร็จเรียบร้อยก็เช็ดผมให้นาง
"ท่านแม่ พรุ่งนี้พวกเรามีสิ่งใดต้องทำอีกบ้าง?" เฉียวเยว่ถามด้วยน้ำเสียงฉอเลาะ
ไท่ไท่สามยิ้มน้อยๆ "ไม่มีแล้วล่ะ พรุ่งนี้เ้าตื่นสายหน่อยได้ วันมะรืนจะพาเ้าไปบ้านท่านตา"
เฉียวเยว่พยักหน้าด้วยความดีใจ "ข้าคิดถึงท่านตากับท่านลุง"
ไท่ไท่สามแต่งตัวให้นางเสร็จเรียบร้อยก็พานางเข้านอนใต้ผ้าห่มนวม แล้วกำชับ "รีบนอนซะ"
เฉียวเยว่ซุกใบหน้าดวงน้อยกับหมอนหนุน ไม่ช้าก็มีเสียงกรนเบาๆ ดังออกมา
ไท่ไท่สามปิดประตูอย่างระมัดระวังก่อนเดินออกมา ซูซานหลางก็ผ่านมาพอดี "ลูกนอนแล้วหรือ?"
ไท่ไท่สามพยักหน้าอย่างงุนงง "มีอะไร?"
ซูซานหลางคิดครู่หนึ่งแล้วอมยิ้ม "ไม่มีอันใด มีผู้าุโที่เป็ญาติฝ่ายนอกมาเยี่ยมเยือน ได้ยินว่าเฉียวเยว่น่ารักน่าเอ็นดูจึงอยากพบ เมื่อนางหลับแล้วก็ช่างเถอะ ข้ากลับล่ะ"
ไท่ไท่สามมุ่นคิ้วอย่างลำบากใจ แต่ยังคงกล่าว "เช่นนี้ไม่ดีกระมัง? อย่างไรเสียก็เป็ผู้าุโ เฉียวเยว่เป็เพียงแค่เด็กน้อย"
ซูซานหลางกลับไม่แยแส เขาแค่นเสียงหัวเราะ "ก็ไม่นับว่าเป็ญาติผู้ใหญ่อันใด ไม่ผิดหรอก บุตรเข้านอนแต่หัวค่ำยังต้องปลุกไปให้พวกเขาดูหรือไร อีกอย่างเมื่อก่อนก็มิได้สนิทสนมมากมาย ครานี้เพราะเห็นท่านพ่อตากับพี่ใหญ่กลับมา ก็เลยอยากมาประจบสอพลอเท่านั้นเอง เข้าทางโน้นไม่ได้ ก็คิดจะมาเข้าทางเด็ก ไยข้าต้องสนใจด้วยเล่า"
ไท่ไท่สามทุบเขาทีหนึ่ง "ท่านนี่ปากร้ายเกินไปแล้ว"
"มันคนละเื่กัน ข้าดูแคลนพฤติกรรมเช่นนี้ของพวกเขา เด็กจะรู้เื่ราวอันใด ถึงลงมือกับเด็กก่อน จะว่าไปก็ทำให้ข้าไม่สบายใจจริงๆ" ซูซานหลางไม่ยี่หระ
ไท่ไท่สามลังเล "เช่นนั้นทางท่านแม่..."
"ข้าจะไปคุยเอง เ้าอย่าเก็บมาใส่ใจ มิใช่เื่สำคัญ หากเช่นนี้แล้วยังโยกโย้ ก็ใจแคบเกินไปจริงๆ"
ในโลกนี้มักมีคนใจแคบอยู่เสมอ และท่านอาญาติฝ่ายนอกผู้นี้ก็มีนิสัยเช่นนี้ พอได้ยินซูซานหลางอธิบายเรียบๆ ว่าบุตรหลับแล้ว ก็รู้สึกว่าตนเองถูกมองข้าม เกิดความไม่พอใจอย่างมาก ชักสีหน้าออกมาทันที
"ซานหลาง เด็กนอนน้อยหน่อยก็ไม่เห็นจะเป็อันใด ไม่อาจตามใจเกินไปจนเคยตัว"
คำกล่าวเช่นนี้ช่างน่าขัน จะตามใจจนเคยตัวหรือไม่เกี่ยวข้องอันใดกับคนนอก ซูซานหลางยิ้มอย่างไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ กล่าวเสียงเรียบ
"สตรีหากไม่เอาแต่ใจบ้าง ภายหน้าก็จะอ่อนแอเกินไปถูกผู้อื่นกดขี่ข่มเหงได้ง่าย นอกจากนี้จะนอนน้อยนอนมากเกี่ยวข้องอันใดกับความเอาแต่ใจ"
"ไกวเยว่ของข้าเหนื่อยมาทั้งวัน ควรเข้านอนเร็วหน่อย" ฮูหยินผู้เฒ่าอมยิ้ม "วันหน้ามีโอกาสค่อยพบกันก็ได้กระมัง เด็กน้อยเปลี่ยนไปทุกวัน พบหน้ากันไม่นานก็ลืมแล้ว"
คำพูดนี้มีความหมายล้ำลึกแอบแฝง แต่ท่านอาญาติฝ่ายนอกผู้นี้กลับเข้าใจ แต่นางเก็บมาใส่ใจ แม้ว่าในใจจะนึกตำหนิสะใภ้ญาติผู้พี่ แต่ไม่แสดงออก ยังคงมีสีหน้ายิ้มแย้ม
นางสามารถใช้ฐานะท่านอามาชักสีหน้าใส่ซูซานหลาง แต่ไม่อาจทำเช่นนี้กับฮูหยินผู้เฒ่าซึ่งเป็พี่สะใภ้ของตนเองได้
"จะว่าไปซานหลางก็อายุไม่น้อยแล้ว ไม่คิดจะสอบเคอจวี่บ้างหรือ การสอบเคอจวี่สามปีจะมีสักครั้ง หากครานี้ไม่เข้าร่วมก็ต้องรออีกสามปี ข้าว่าเื่เช่นนี้อย่างไรเ้าก็ควรต้องไป พวกเ้าลองนึกดู นี่คือวิถีดั้งเดิม เป็อัจฉริยะด้านวาทศิลป์แล้วอย่างไร นั่นมิใช่ตัวแทนของผู้ร่ำเรียนวิชาอย่างจริงจัง ผู้คนจะติฉินนินทาได้"
มักมีคนประเภทหนึ่งที่ชอบสร้างความรำคาญใจให้กับผู้อื่น
"ฝ่าามีพระบัญชาให้ซานหลางเป็อาจารย์ของรัชทายาท ว่าที่ฮ่องเต้ในภายภาคหน้าคงมิอาจนำมาล้อเล่นได้หรอกกระมัง" ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มแฝงแววเหยียดหยัน
ญาติผู้น้องคนนี้แต่งเข้าสกุลเฉิง ทุกคนต่างเรียกนางว่าเฉิงไท่ไท่ นับว่าเป็ญาติห่างๆ ของซูเยียนหรันในสกุลเฉิง ทั้งยังเป็แม่สื่อแม่ชักให้ในปีนั้น
เฉิงไท่ไท่สำนึกได้ทันทีว่าตนเองพูดผิดไปแล้ว จึงยิ้มออกมา "ถูกต้อง ถูกต้อง ข้าเป็เพียงสตรีไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง"
หลังจากนั้นก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก
ซูซานหลางอมยิ้ม เอ่ยเสียงเบา "ขอบคุณท่านอาหญิงที่ใส่ใจ เื่นี้ข้าจะใคร่ครวญอย่างดี"
หลังจากนั้นกล่าวเรียบๆ อีกสองสามประโยค แล้วอำลา ขณะเดินออกมาพบซูเยียนหรันที่หน้าประตูพอดี "ท่านอาอยู่ข้างใน ข้าว่าเ้าอย่าเข้าไปดีกว่า นางวาจาเราะรายราวกับสตรีปากตลาด"
ซูเยียนหรันพยักหน้า
พวกเขาพี่น้องน้อยนักที่จะได้อยู่ด้วยกัน ซูซานหลางนิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า "ไปนั่งเล่นที่ห้องหนังสือของข้าดีหรือไม่ พูดคุยกันสักหน่อย พี่สามไม่ได้คุยกับเ้ามานานแล้ว"
ั้แ่นางเอาความขุ่นเคืองที่ตนเองมิสามารถแต่งงานกับฉีจือโจวมาลงที่อาอิ่ง เขาก็คร้านจะสนใจน้องสาวคนนี้ หลังจากเกลี้ยกล่อมหลายต่อหลายครั้งนางก็ยังหลงงมงายตระหนักไม่ได้เสียที ซูซานหลางเองก็ยืนกรานเข้าข้างภรรยา
"พี่สาม ขาของอิ้งเยว่เป็อย่างไรบ้าง ข้าเห็นตอนนี้นางนั่งรถเข็น ให้ท่านหมอมาตรวจอาการดีๆ อีกคราไม่ดีกว่าหรือ?" ่นี้ความสัมพันธ์ของนางกับเรือนสามดีขึ้นไม่น้อย
ซูซานหลางทอยิ้มน้อยๆ "ไม่เป็ไร เป็ข้าที่ดึงดันเอง แท้จริงแล้วนางสามารถเดินได้ั้แ่หลายวันก่อนแล้ว แต่ข้าอยากให้นางพักผ่อนอีกหน่อย พ้นจากปีใหม่ไปค่อยให้เริ่มเดิน หากเดินเร็วเกินไป กระดูกยังไม่ประสานดี อาจเดินผิดธรรมชาติได้ง่าย"
ซูเยียนหรันพยักหน้า หากอิ้งเยว่กลายเป็คนพิการ ก็คงจะกลายเป็เื่ใหญ่จริงๆ
"อย่างไรเสียในเมืองหลวงก็ไม่สงบสุข" นางกล่าว
ไม่รู้ว่าซูเยียนหรันนึกอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยถาม "พี่สาม ข้ามีเื่จะถามท่าน"
นางหยุดฝีเท้า
ซูซานหลางงุนงง "เื่ใด?"
"น้องสาวสกุลหวังของพี่สะใภ้รองผู้นั้นเหตุใดถึงมาร่วมฉลองปีใหม่ที่บ้านของพวกเรา นาง... หมายตาเสนาบดีฉีใช่หรือไม่?"
นางถามออกมาตรงๆ โดยไม่นำพาว่าจะอยู่กลางแจ้ง
ซูซานหลายหลุบสายตา "นางไม่มีหวัง"
คำพูดเพียงไม่กี่คำกลับอธิบายชัดเจนทุกอย่าง
ซูเยียนหรันยิ้มเยาะ "พี่สะใภ้รองคงจะคิดเพื่อน้องสาวของตนเอง"
ซูซานหลางกล่าวเสียงเรียบ "เื่ของพี่ใหญ่ เ้าไม่ควรถามหรือเข้าไปยุ่งเกี่ยว ข้าหวังดีต่อเ้า"
ซูเยียนหรันยิ้มกระจ่างพร่างพราย "ข้ารู้"
รู้ก็ส่วนรู้ แต่จะทำตามหรือไม่ ซูซานหลางก็ไม่อาจหยั่งรู้ เขาขมวดคิ้วมองซูเยียนหรัน ก่อนจะถอนหายใจ "ไปกันเถอะ พี่จะพาเ้าไปดูภาพเขียน ถือโอกาสให้เ้าช่วยพี่สามตัดสินใจด้วย แท้จริงแล้วพี่สามเองก็ลังเลใจมากเื่เข้าร่วมสอบเคอจวี่..."
...
"โฮ่ง โฮ่ง" เฉียวเยว่ส่ายก้นดุ๊กดิ๊ก แล้วหันกลับมาร้องอีก "โฮ่ง โฮ่ง เป็สุนัขทั้งที ทำไมเ้าไม่ชอบเห่าล่ะ"
เสี่ยวไป๋กระดิกหาง ดวงตากลมโตเป็ประกายสดใส
เฉียวเยว่เห่ามานานแล้ว แต่เสี่ยวไป๋ก็ยังไม่ยอมเห่า
ฉีอันยิ้มตาหยี "มันฉลาดมาก คงกลัวว่าจะทำให้ผู้อื่นรำคาญ ถึงไม่เห่า"
ฉีอันคุกเข่าลงข้างๆ เสี่ยวไป๋
เฉียวเยว่พยักหน้า "ก็จริง เสี่ยวไป๋ฉลาดมาก"
เฉียวเยว่ลูบหัวของเสี่ยวไป๋ มันนอนหงายยกสี่เท้าชี้ฟ้า เอาตัวถูพื้นไม่หยุด เฉียวเยว่หัวเราะอย่างเริงร่า นางเกาขนปุกปุยที่คางของเสี่ยวไป๋ เสี่ยวไป๋กลิ้งไปกลิ้งมา หูเล็กๆ ของมันลู่ไปด้านหลังราวกับแมวน้ำตัวน้อย
เฉียวเยว่ถอนหายใจ เสี่ยวไป๋ช่างเหมือนนิวนิวของหม่าเจี้ยนกั๋วที่โด่งดังทางอินเทอร์เน็ตเหลือเกิน
นึกถึงก่อนหน้าที่จะข้ามภพมานางยังเป็หนึ่งในสมาชิกที่คลั่งไคล้ในโลกอินเทอร์เน็ตที่จะอยากขโมยเ้านิวนิวกับตวนอู่อยู่เลย
"ข้าจะนวดให้เ้า สบายหรือไม่ เสี่ยวไป๋?"
เสี่ยวไป๋ชอบที่คนนวดให้มัน ดวงตาของมันเคลิบเคลิ้มอย่างมีความสุข
ฉีอันเข้ามาใกล้ "ข้าเอาบ้าง ข้าเอาบ้าง"
สองพี่น้องเล่นกันอย่างสนุกสนาน
เฉียวเยว่หันไปถามอวิ๋นเอ๋อร์ "ท่านย่ากลับมาแล้วหรือ?"
อวิ๋นเอ๋อร์ส่ายหน้า "ยังเลยเ้าค่ะ อาจจะรับประทานอาหารเย็นแล้วกระมัง"
วันนี้เป็วันที่สองของต้นปี สตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงล้วนเข้าวังไปถวายพระพรไทเฮาและฮองเฮา ครานี้ป้าสะใภ้ใหญ่เข้าวังไปเป็เพื่อนท่านย่า
อืม... ควรพูดว่าแต่ไหนแต่ไรมาล้วนเป็ป้าสะใภ้ใหญ่ถึงจะถูก และเป็ได้เพียงป้าสะใภ้ใหญ่เท่านั้น ถึงอย่างไรท่านลุงใหญ่ก็เป็ผู้สืบทอดจวนซู่เฉิงโหว
เฉียวเยว่ลูบคาง "ไม่รู้ว่าท่านย่าจะเอาของขวัญของข้ามอบให้ท่านพี่จ้านหรือเปล่าสิ"
เฉียวเยว่ทำพู่กันด้ามหนึ่งให้หรงจ้านภายใต้ความช่วยเหลือของท่านตา ครานี้อาศัยที่ฮูหยินผู้เฒ่าเข้าวัง แต่นางบอกว่าหากพบคนก็จะช่วยมอบของให้ แต่ถ้าไม่พบก็จะไม่ฝืน ภายหน้าโอกาสยังมี
"เฉียวเยว่ เ้าไม่กลัวเขาเลยหรือ? ทุกคราที่เห็นเขายิ้ม ข้าก็ขนลุกทุกทีเลย"
เฉียวเยว่หัวเราะตอบว่า "ทำไมต้องกลัวด้วยล่ะ ฉีอันไม่ต้องกลัวเขาหรอก แท้จริงแล้วตอนแรกข้าเห็นท่าทางของเขาแล้วก็ลนลานตื่นตระหนก รู้สึกว่าไม่สบายไปหมด แต่พอได้ััถึงรู้ คนผู้นี้ปากมีดใจเต้าหู้ เ้าดูการพูดจาของพี่จื้อรุ่ยสิ น่ารังเกียจหรือไม่ พี่จ้านก็เป็พี่จื้อรุ่ยรุ่นใหญ่นั่นแหละ แต่ข้ารู้สึกว่าหน้าตาของพี่จื้อรุ่ยโดดเด่นสู้พี่จ้านไม่ได้"
ฉีอันไม่ค่อยเข้าใจนัก "แต่ข้าว่าพี่จื้อรุ่ยไม่เห็นจะน่ากลัวเลย ข้ารู้ แม้ว่าพี่จื้อรุ่ยมักหยิ่งยโสพูดจาหยาบกระด้าง แต่เขาเป็คนดี ส่วนอวี้อ๋องไม่ใช่เลย เวลาเขายิ้ม ข้ารู้สึกเหมือนเขาจะกินเด็ก"
เฉียวเยว่หัวเราะปีนขึ้นไปบนเก้าอี้ "กินเด็ก? เ้าคิดว่าเขาเป็ปิศาจหรือไร เขาส่งของขวัญมาให้พวกเรามากมาย จะเป็คนไม่ดีได้อย่างไร?"
ซูซานหลางเดินมาถึงประตูพอดี หยุดฟังว่าเด็กๆ กำลังคุยอะไรกัน
ฉีอันมองเฉียวเฉียวอย่างเห็นใจ "ข้ารู้สึกว่าเขาคิดจะขุนเ้าให้อ้วนแล้วค่อยเชือด จะฆ่าหมูก็ต้องขุนให้อ้วนก่อนมิใช่หรือ เ้าว่าถูกต้องหรือไม่?"
เฉียวเยว่ "...เ้าไปไกลๆ เลย"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้