ต้วนจิงเย่?
เวินซีชะงักไป พลันลื่นตกลงมาจากหลังคา
“แม่หญิงไม่เป็อันใดนะขอรับ?”
ต้วนจิงเย่เดินไปข้างๆ เวินซี ก้มลงพลันเอื้อมมือไปช่วยพยุงนาง
เส้นผมที่เป็เส้นไม่พันกันผ่านหน้าเวินซีไป กลิ่นหอมสดชื่นโชยมาจากร่างกายของเขา
ยังไม่ทันที่เขาจะได้ัันาง เวินซีก็พลันลุกขึ้นราวกับโดนไฟฟ้าสถิต
“ไม่เป็อันใดเ้าค่ะ คุณชายต้วนสำรวมตนด้วยเ้าค่ะ” เมื่อรู้สึกเสียหน้า เวินซีก็กระแอมขึ้นมา ซ่อนความรู้สึกไว้แล้วเอ่ยปาก
สายตาของนางจ้องไปที่ใบหน้าของต้วนจิงเย่อีกคราโดยไม่รู้ตัว
ใบหน้าที่ไร้ราคี งดงามราวกับมิใช่มนุษย์ธรรมดา แม้แต่นางที่ได้พบสตรีงามมาแล้วมากมายก็ยังไม่อาจละสายตาไปได้
แต่เขากลับเป็ต้วนจิงเย่ผู้อันตรายอย่างที่จ้าวต้านว่า...
ยากที่จะมั่นใจว่าเื่ที่เพิ่งเกิดขึ้นจะมิใช่การแสดงของเขา ในใจของเวินซียังคงระแวงเขาเป็อย่างยิ่ง
“แม่หญิง ข้า...ข้าเพียงรู้สึกว่าแม่หญิงไม่เหมือนผู้ใด จึงคิดอยากจะทำความรู้จักกับแม่หญิงก็เท่านั้น หากเ้าไม่อยากรู้จักกับข้า เช่นนั้นข้าก็ไม่รบกวนแล้วขอรับ” ต้วนจิงเย่พูดด้วยเสียงอ่อนโยน ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวัง
เวินซีขมวดคิ้ว ไม่ได้พูดอันใดต่อ
“ลาล่ะเ้าค่ะ”
เมื่อทิ้งคำลาให้เขาแล้ว นางก็เดินตรงไปที่ร้านเครื่องหอม
สายตาของต้วนจิงเย่มองตามไปจนกระทั่งแผ่นหลังของนางลับหายไป
......
ภายในร้านเครื่องหอม เมื่อไม่เห็นเงาของจ้าวต้าน เวินซีจึงกลับห้อง นำตำราหมื่นพิษออกมากางบนโต๊ะ พลิกเปิดทีละหน้าเพื่อหาพิษสามชนิดที่จ้าวต้านเคยบอก
นางจดจ่ออยู่กับการค้นหามาก ไม่นานนักก็เจอต้วนหุนเซียง
ตามบันทึกในตำรา ต้วนหุนเซียงมีต้นกำเนิดมาจากราชวงศ์เทียนอ้าว เพราะว่ามันสามารถติดต่อได้อย่างร้ายแรง จึงถูกใช้ในาเพื่อกำจัดศัตรู ขอเพียงมีผู้ถูกพิษเพียงคนเดียว ก็จะสามารถแพร่พิษให้คนได้เป็พัน
อาการก็คือร่างกายอ่อนแรง มีอาการตัวบวมเป่ง หลังจากที่ได้รับพิษเป็เวลาสองวันตัวจะค่อยๆ ซูบผอม ในระยะเวลานี้ร่างกายจะมีรอยแตกทำให้เืไหลออกมาไม่หยุด กระทั่งผ่านไปเจ็ดวันร่างกายก็จะเละเน่าจนตาย
เพราะว่าพิษนี้โหดร้ายเกินไป ภายหลังจึงถูกห้ามใช้ หากมีประชาชนเทียนอ้าวคนใดใช้พิษนี้ก็จะถูกทหารปราบปรามทันที นักโทษคนสุดท้ายที่ถูกลงโทษนั้นคือเมื่อหนึ่งร้อยห้าสิบกว่าปีก่อน
เมื่อรู้ที่มาของพิษแล้ว เวินซีก็กวาดสายตาอ่านคำอธิบาย จากนั้นก็ไปหยุดที่การสร้างยาถอนพิษ
หลิงจือหิมะ หญ้าแห้งตงเฉ่า เนี่ยนเหริ่นตง...
ล้วนเป็พืชที่เติบโตในเฉพาะ่เหมันต์ ทั้งยังเป็พืชหายากที่ขึ้นเฉพาะยอดหุบเขา ส่วนประกอบหลายอย่างของยานี้ไม่ได้มีให้พบเห็นมานานหลายปีแล้ว
เจ็ดวัน...
ตอนนี้เวลาก็ผ่านไปแล้วสามวัน คนที่สำนักหมอหลวงมีเวลาเหลืออีกเพียงสี่วัน ตอนนี้แม้จะระดมพลทหารลับทั้งหมดออกตามหาพืชพวกนั้นก็ยังไม่ทัน เื่ผลิตยาให้มีจำนวนมากเพียงพอกับคนยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง
แววตาของเวินซีเ็า หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งนางก็เดินไปที่ห้องเก็บฟืน
ภายในห้องเก็บฟืน หลานเยว่เฉิงกำลังนับไม้ฟืนอยู่ในห้องอย่างเบื่อหน่าย เมื่อเห็นเวินซีเดินมา เขาก็ยิ้มและลุกขึ้นนั่ง
เมื่อเห็นเขาดูมีกำลังวังชา เวินซีก็มองอย่างเยือกเย็น เทขี้เถ้าธูปที่มอดทั้งหมดลงไปข้างๆ พลันจุดธูปที่ทำให้เขาอ่อนแรง เสร็จแล้วก็เดินไปที่หน้าโต๊ะ
“ยาแก้พิษต้วนหุนเซียงอยู่ที่ใด?” นางเอ่ยอย่างเ็าและตรงประเด็น
“คุณหนูเวินซีมาหาข้าอย่างรีบร้อนเช่นนี้ ข้าก็นึกว่าคุณหนูคิดถึงข้าเสียอีก” เมื่อได้ยินเวินซีเอ่ยคำว่าต้วนหุนเซียง หลานเยว่เฉิงก็รู้ว่าโดนจับได้แล้ว แต่เขามิได้คิดจะปิดบังอันใด
“หลานเยว่เฉิง ในฐานะที่ปรึกษาขององค์ฮ่องเต้ แต่กลับใช้พิษของราชวงศ์เทียนอ้าวทำร้ายประชาชนของตนเอง เื่นี้เ้ารู้ผลร้ายที่จะตามมาหรือไม่?”
“ยามนี้ยังไม่มีผู้ใดรู้ ข้าขอเตือนให้เ้านำยาถอนพิษออกมาเสียจะดีกว่า ระวังตัวไว้ให้ดี” เวินซีแผ่รังสีอันเยือกเย็นออกมา
“ข้าหรือ? ข้าเป็คนวางยาพิษหรือ? คุณหนูเวินเข้าใจผิดแล้วล่ะ ่นี้ข้าถูกจับขังอยู่ในห้องเก็บฟืนนี้ ข้าจะไปวางยาพิษได้เช่นไร? ความผิดนี้ร้ายแรงยิ่งนัก คุณหนูเวินอย่าได้ใส่ร้ายข้าเลยดีกว่า”
ใบหน้าของหลานเยว่เฉิงไม่มีร่องรอยความตื่นตระหนก ตรงกันข้าม รอยยิ้มของเขากลับกว้างยิ่งกว่าเดิม
ในเมื่อเขาคิดจะทำแล้ว ย่อมคิดหาทางหนีทีไล่ไว้ทั้งหมด ไม่กลัวว่าผู้ใดจะรู้ความจริงเลยสักนิด
เวินซีหรี่ตาลงเล็กน้อยมองดูร่างของเขา ผ่านไปครู่หนึ่งก็พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “หลานเยว่เฉิง”
“อันใดหรือ? คุณหนูเวินคิดอยากจะ...เวินซี เ้าให้ข้าทานอันใด? เ้า...อู้...อู้...”
ขณะที่หลานเยว่เฉิงกำลังพูด ยาเม็ดพูดความจริงก็ถูกดีดออกมาจากมือของเวินซี มันตรงเข้าไปในปากเขาอย่างแม่นยำ
ด้วยความกลัวว่าเขาจะคายมันออกมา เวินซีจึงรีบเดินไปข้างกายเขา พลันใช้มืออุดปากไว้
หลังจากที่แน่ใจว่าเม็ดยาละลายหมดแล้ว นางจึงยิ้มและถอยออกมา
หลานเยว่เฉิงขมวดคิ้ว แววตาจ้องมองเวินซี เขาคิดจะเอ่ยปากพูด แต่ความมึนงงก็แผ่กระจายออกมา ก่อนที่เขาจะไร้สติไปในทันที ดวงตาล่องลอยและไร้แววตา ราวกับหุ่นกระบอกที่นั่งนิ่ง
“ยาแก้พิษอยู่ในมือของเวินเยียนใช่หรือไม่?” เวินซีถามอย่างเ็า ก้มลงมองเขา
ในเมื่อเขามิได้เป็คนลงมือวางยาพิษเอง เช่นนั้นก็ไม่น่าจะมียาแก้พิษอยู่ในมือ แต่สืออีและตระกูลเวินรู้เห็นกับเื่นี้ พวกเขาจึงน่าจะมียาแก้พิษ
“ขอรับ” เสียงแ่เบาออกมาจากปากของหลานเยว่เฉิง
เวินซีหรี่ตาลง หันกายพลันเดินออกจากประตูไป
นางรีบเดิน ไม่รีรอแม้เพียงวินาที
แววตาของหลานเยว่เฉิงกลับมาได้สติ เื่ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ฉายซ้ำอยู่ในหัว เขามองแผ่นหลังของเวินซีที่เดินจากไปด้วยอารมณ์ที่ยากจะคาดเดา ในแววตานั้นมีประกายความเยือกเย็น
.......
“พี่สะใภ้”
ที่ห้องโถงหน้า เอ้อเอ้อร์ที่กำลังทานอาหาร เมื่อเห็นเวินซีก็รีบวางตะเกียบลงพลันวิ่งเข้าไปหา
“มีอันใดหรือ?” เวินซีหยุดเดินและอุ้มนางไปไว้ในอ้อมแขน
“ข้าอยากไปสำนักศึกษาเ้าค่ะ ข้าอยากรู้หนังสือจะได้เขียนจดหมายถึงพี่ใหญ่ได้”
“เ้ายังเด็ก ยังไปสำนักศึกษามิได้”
“ใช่น่ะสิขอรับ อีกอย่างคุณหนูเป็สตรีจะไปสำนักศึกษาได้เช่นไรกันขอรับ?” จ่างกุ้ยที่กำลังทำบัญชีอยู่ที่โต๊ะเอ่ยแทรก
“ข้าจะไป พี่ใหญ่ไปสำนักศึกษาได้ เหตุใดข้าจะไปมิได้ล่ะเ้าคะ” เอ้อเอ้อร์มุ่ยปาก ทำหน้าอยากร้องไห้
“ไปสิ เหตุใดสตรีจะไปสำนักศึกษามิได้ล่ะ จริงหรือไม่? เอ้อเอ้อร์อยากไปพี่ก็จะให้ไป แต่พี่ยังมีเื่ที่ต้องทำ ไว้พี่กลับมาแล้วเราค่อยคุยกันดีหรือไม่? เอ้อเอ้อร์ไปเล่นกับพี่ถันถั่นก่อนนะ” เวินซีพูดอย่างใจเย็น
เอ้อเอ้อร์คิดตามสักพักก็พยักหน้า
เวินซีวางนางลงบนพื้นและกำลังจะก้าวเท้าออกไป ทันใดนั้นประตูที่ปิดสนิทอยู่ก็เปิดออก เป็จ้าวต้านที่มุดเข้าซอกประตูมาด้วยรังสีอันเยือกเย็น ส่วนด้านหลังของเขาคือต้วนจิงเย่
ต้วนจิงเย่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ทันทีที่เห็นเวินซี ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนและสง่างาม
“แม่หญิง ไม่คิดเลยนะขอรับว่าเราจะเจอกันอีกคราได้เร็วเช่นนี้”
เมื่อเสียงของเขาดังขึ้น จ้าวต้านก็หันไปมองเขาแวบหนึ่งและกลับมามองเวินซี
“พวกเ้าเคยพบกันหรือ?” น้ำเสียงของเขาราวกับกำลังสอบสวน
“เจอกันเมื่อชั่วยามก่อน” เวินซีตอบเสียงนิ่ง
“ท่านแม่ทัพต้าน ท่านรู้จักกับแม่หญิงคนนี้หรือขอรับ?” สายตาของต้วนจิงเย่มองไปที่จ้าวต้าน
จ้าวต้านมองเขา พยักหน้าเล็กน้อย “นางเป็ภรรยาข้า เวินซี”
“ภรรยา?” ต้วนจิงเย่เอ่ยด้วยความประหลาดใจและขมวดคิ้ว หางตาของเขาสังเกตเวินซีอยู่ตลอดเวลา
“ขอรับ เื่นี้มันยาว คุณชายต้วนเดินทางไกลมาคงเหน็ดเหนื่อย ไปพักก่อนเถิด ตื่นมาแล้วเราค่อยว่ากัน” จ้าวต้านกล่าว
“เช่นนั้นก็ว่าตามท่านเถิดขอรับ” ต้วนจิงเย่เก็บซ่อนความรู้สึกไว้และพูดอย่างใจเย็น
“จ่างกุ้ย พาคุณชายต้วนไปพักผ่อนที่ห้องหน่อย” เมื่อเขาตอบตกลง จ้าวต้านก็หันไปพูดกับจ่างกุ้ย
จ่างกุ้ยพยักหน้า ปิดสมุดบัญชี นำไปใส่ในตู้และลงกลอนไว้ ก่อนจะเดินมาหาคุณชายต้วนด้วยความเคารพ “คุณชายต้วน โปรดตามข้าน้อยมาขอรับ”
เขานำทางไปหลังบ้าน โดยมีต้วนจิงเย่เดินตามไปติดๆ
เมื่อร่างของพวกเขาเดินออกไปจนลับตา เวินซีและจ้าวต้านก็ละสายตาออกพร้อมกัน
“จะออกไปข้างนอกหรือ?” จ้าวต้านเผยอริมฝีปาก
ทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนที่เวินซีจะพยักหน้าเล็กน้อย