กองทัพเคลื่อนพลอย่างเป็ระเบียบ
เสียงเกราะเหล็กกระทบกันยามเหล่าทหารย่างเท้าอย่างพร้องเพรียง เกิดเป็เสียงดังกึงก้องข่มขวัญผู้คนให้หลบลี้ไปไกล ทหารกล้ากว่าสองแสนนายเมื่ออยู่รวมกันไอสังหารที่แผ่ออกมาเพิ่มความน่าสะพรึงกลัวให้กองทัพไม่น้อย ทหารร่างสูงใหญ่ในชุดเกราะเหล็กสีนิลทอง ผ้าคลุมสีแดงเข้มพู่สีแดงบนหมวกปลิวไปตามสายลมห้อม้าตะบึงไล่หลังมา เหล่าทหารเห็นผู้มาใหม่ก็มิได้ขัดขวางพวกเขาจะไม่รู้จักรองแม่ทัพของตนเองได้อย่างไร ม้าศึกตัวโตวิ่งผ่านไปมุ่งหน้าไปทางหัวขบวน
เมื่อม้าวิ่งใกล้ถึงหัวขบวนรองแม่ทัพก็กระตุกสายบังเหียนลดความเร็วลง บังคับม้าเข้าไปหาท่านแม่ทัพใหญ่ที่กำลังขี่ม้านำขบวนอยู่
“ผู้น้อยเฉินอี้มารายงานตัวกับท่านแม่ทัพ”รองแม่ทัพหนุ่มในชุดเกราะเหล็กน่าเกรงขามประสานมือคารวะท่านแม่ทัพอย่างนอบน้อม
“ตามสบายเถอะ เดินทางมาสองวันแล้วสั่งการลงไปให้ตั้งค่ายพักแรมได้”
“ท่านแม่ทัพมีคำสั่ง ตั้งค่ายพักแรม”
“ท่านแม่ทัพมีคำสั่ง ตั้งค่ายพักแรม”
สิ้นคำสั่งของท่านแม่ทัพนายกองหน่อยสื่อสารภายในก็ชูธงสั่งการขี่ม้าออกไปพลางส่งเสียงะโกระจายคำสั่ง เดินทางลงใต้มาได้สิบวัน เดินทางสองวันพักแรมหนึ่งคืนแล้วค่อยเดินทางต่อ นี่จึงไม่เป็การหักโหมจนเกินไป ยามศึกเร่งด่วนกองทัพเคยเดินทางห้าวันห้าคืนติดกันโดยมิได้พักก็มีให้เห็น
ไม่มีการกางกระโจมเพียงแต่ก่อไฟหุงอาหาร เหล่าทหารนอนหรือกินเช่นไรเหล่าแม่ทัพนายกองก็เป็เช่นเดียวกัน เห็นท่านแม่ทัพห่วงใยเหล่าทหารดุจลูกหลานพวกเขาก็ขอสู้สุดชีวิตไปพร้อมกับท่าน
“เดินทางครั้งนี้เป็เช่นไรบ้าง”ท่านแม่ทัพผู้เฒ่าถามหลานชายถึงเื่ออกไปตามหายามารักษาลูกสะใภ้ คิดว่ามาทางใต้ครั้งนี้จะออกเสาะหาไปพลางๆ เผื่อจะมีโชคบ้าง
“ตัวยาได้มาแล้วขอรับ ได้มากพอจะรักษาให้ท่านแม่หายได้”เฉินอี้ตอบท่านปู่อย่างเสียไม่ได้ แม้จะดีใจที่มารดามีทางรอดแล้วแต่คิดไปคิดมาก็เหมือนมีหนามอันเล็กๆ ติดอยู่ในใจ ชวนหงุดหงิดงุ่นง่าน
“ดีสิ ท่าทางเ้าเหมือนไม่ค่อยดีใจเลยนี่เกิดอันใดขึ้น”แม้หลานชายจะทำหน้าตายอยู่ตลอดเวลาแต่ปู่อย่างเขาจะมองไม่ออกเชียวหรือว่าเ้าตัวดีนี่คิดอะไรอยู่ ดูท่าทางเหมือนไปกินรังแตนมาจากไหน
“ท่านปู่ตระกูลซ่างกวนที่สนิทกับตระกูลเฉินของเรามากหรือขอรับ”เฉินอี้ถามท่านปู่ออกไปตรงๆ คิดถึงดวงหน้าเล็กที่ยิ้มจนตาหยีนั่นทีไรเขาก็รู้สึกเหมือนโดนลูบคม
“หืม…”เฉินปินเลิกคิ้วมองหลานชาย ในใจได้กลิ่นแปลกๆ จากคำถาม หรือว่าตัวยาพวกนั้นได้มาจากคนตระกูลซ่างกวน แม้ท่านผู้เฒ่าจะสูงอายุแล้วแต่ความคิดยังแจ่มใส ได้ฟังคำถามของหลานชายก็เข้าใจเื่ราวอยู่บ้าง
“ตระกูลเฉินกับตระกูลซ่างกวนก็เป็อย่างที่เ้าได้อ่านบันทึกของตระกูล ส่วนรุ่นของปู่ก็สนิทสนมกับผู้นำตระกูลของทางนั้น แม้แต่บิดาของเ้าก็เป็สหายที่ร่ำเรียนมาด้วยกันกับบุตรตระกูลนั้น เ้าคงไม่รู้ปีนั้นบิดาเ้าได้ตำแหน่งทั่นฮวาส่วนเ้าหนุ่มตระกูลซ่างกวนนั่นได้ตำแหน่งจอหงวน”
“แต่ตำแหน่งจอหงวนในปีนั้นไม่ได้แซ่ซ่างกวนนี่ขอรับ”ถึงแม้จะคาดเดาได้แต่ชายหนุ่มก็ถามออกไปเพื่อความแน่ใจ
“หลานโง่ เ้าหนุ่มนั่นเข้าสอบเพียงเพื่อเอาตำแหน่งไปสู่ขอภรรยาพอได้แต่งงานก็หายไปจากเมืองหลวงแม้ตำแหน่งขุนนางก็ไม่้า”ท่านผู้เฒ่าถลึงตาใส่อย่างหัวเสียรู้อยู่แล้วยังจะมาถาม
“แล้วท่านปู่ทราบหรือไม่ว่าท่านอาผู้นั้นมีบุตรสาว”
“เคยได้ยินมาบ้างว่าตาเฒ่าอู๋จี๋มีหลานสาวอยู่คนหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดปีหน้าก็จะสิบห้าเต็ม เอ๋...เ้าหนูอยู่ดีๆ มาถามถึงหลานสาวบ้านอื่นทำไม หรือว่า...”ท่านผู้เฒ่าลากเสียงอย่างตื่นเต้น เ้าหลานหน้าตายนี่หรือว่าจะชอบผู้หญิงเข้าแล้ว
“ท่านอย่าได้คิด ก็แค่ทำการค้าร่วมกันข้าก็แค่อยากทราบว่านางไม่ได้หลอกข้า”เฉินอี้หยุดความคิดของท่านปู่ด้วยน้ำเสียเ็า เด็กยังไม่โตเช่นนั้นไม่ได้อยู่ในสายตาเขาแม้แต่น้อย
“จะว่าไปแม่หนูคนนั้นก็ใช้ได้อยู่นา ตัวยาล้ำค่ามากมายให้มาเปล่าๆ เงินทองก็ไม่เรียกต่อไปต้องตอบแทนให้ดี เอาเช่นนี้อาอี้มิสู้เ้าแต่งเอาแม่หนูคนนั้นมาเป็ภรรยาไปเลยเล่า มองอย่างไรทางเราก็ไม่เสียเปรียบ”ฮ่า ฮ่า ฮ่าตาเฒ่าเฉินหัวเราะไล่หลังหลานชายที่ผลุนผันจากไป จดหมายที่บุตรชายส่งมาเล่าถึงแม่หนูซ่างกวนจือหลินอย่างละเอียด ทั้งสิ่งบุตรชายบัณฑิตบรรยายมายิ่งทำให้เขาคิดว่าเหมาะสมกันยิ่งนัก หลานชายเขาทนไม้ทนมือขนาดนี้แม่หนูนั่นคงชอบ
ท่านบรรพบุรุษไม่เสียแรงที่ผู้น้อยอยู่รอมาจนถึงวันนี้
ถือเป็เกียรติอันสูงสุดที่คำสั่งเสียของท่าน มาสำเร็จที่รุ่นของผู้น้อย
ผู้เฒ่าเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างหม่อลอย
ตึง ตึง ตึง
เสียงรัวกลองศึกดังก้องในส่วนลึกของหุบเขา สัญญาณแปรทัพที่ดังผ่านจังหวะการรัวกลองผสานเสียงย่ำเท้าอย่างเป็ระเบียบของหล่าทหาร แสดงให้เห็นถึงความดุดันและน่าเกรงขาม ที่กลางลานซ้อมรบอันกว้างใหญ่บนรถม้าศึกสำริดคันใหญ่สลักหลักลวดลายโบราณ เป็พยัคฆ์ที่กำลังพุ่งทะยานไปด้านหน้าอย่างเกรี้ยวกราด จังหวะการลั่นกลองศึกเป็ไปตามสัญญาณที่ส่งจากแม่ทัพที่กำลังยืนอยู่บนรถม้าศึก
ร่างที่อยู่ในชุดเกราะแผ่ไอความหน้าเกรงขามออกมาโดยมิได้ทำสิ่งใด เพียงแต่ใช้สัญญาณมือไม่กี่กระบวน กระบวนทัพที่ประกอบด้วยทหารม้า พลธนู และทหารราบต่างแปรขบวนไปตามรูปแบบพิชัยาที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
บนหอสูงเหล่าผู้าุโต่างมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างภาคภูมิ ห้าวันในการวางแผนและอีกห้าวันในการซ้อมรบเสมือนจริง เหล่าทหารรุ่นนี้ยังไม่เคยลงสนามรบจริงการซ้อมรบเสมือนจริงนี้จึงมีความสำคัญอย่างมาก เครื่องแบบทหารเต็มยศ อาวุธที่ใช้ล้วนเป็ของจริงและเป็การซ้อมรบกับท่านแม่ทัพคนใหม่อย่างจริงจัง
เด็กสาวอายุสิบสี่ แม้จะสูงกว่าเด็กที่อายุเท่าอยู่มากแต่เมื่อเทียบกับเหล่าชายฉกรรจ์ที่องอาจห้าวหาญเ่าั้ยังถือว่าเล็กจ้อยนัก ทว่าด้วยสายเืตระกูลแม่ทัพที่ไหลเวียนอยู่ในตัวบวกกับความสามารถอันเป็ที่ยอมรับโดยทั่วกัน ทำให้นางสามารถยืนอยู่ในตำแหน่งผู้นำได้อย่างสมเกียรติ
ซ่างกวนจือหลินทอดสายตามองกองทัพที่กำลังเดินขบวนอยู่เบื้องหน้า ชีวิตในชาติก่อนจนตายไปข้าก็มิอาจได้ััความรู้สึกเช่นนี้
“ลั่นกลองตีประชิด”
นายกองที่ยืนอยู่ด้านข้างรถม้าศึกยกสัญญาณธงสื่อสารโบกไปมา เสียงกลองส่งสัญญาณเปลี่ยนจังหวะเป็รวดเร็วกระชั้น เหล่าทหารที่รอฟังเสียงสัญญาณคำสั่งต่างเคลื่อนพลอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้าฟาดแบ่งออกเป็สองฝ่ายแล้วชักอาวุธออกมาโจมตีฝ่ายตรงข้ามอย่างฮึกเหิม
ฮู ฮ่า
ลุย!
เสียงคำรามดังกึงก้องแม้เป็เพียงการจำลองสถานการณ์ แต่ทุกคนล้วนแสดงความสามารถออกมาอย่างเต็มที่ หากประมาทอาจได้รับาเ็ทุกคนจึงระมัดระวังเป็อย่างดี โล่ป้องกันที่ทำขึ้นจากเหล็กกล้าชั้นดีถูกใช้เป็แนวหน้าในการบุกฝ่าไปข้างหน้า
หลายชั่วยามผ่านไปการฝึกซ้อมอันหนักหน่วงก็ถึงเวลาสิ้นสุด แม้มิอาจบอกว่าผลที่ออกมาสมบูรณ์แบบแต่สิ่งที่ข้า้าคือความเป็อันหนึ่งอันเดียวของกองทัพในยามนี้ มองไปที่ใดก็ััได้ถึงความมุ่งมั่นฮึกเหิม เืในกายที่ฉีดพล่านดั่งเหล็กกล้าหลอมเหลวพร้อมที่จะถูกตีเป็อาวุธอันคมกริบ
“ถ่ายทอดคำสั่ง ให้การซ้อมรบยุติเพียงเท่านี้ให้ทุกคนกลับไปพักผ่อน พรุ่งนี้ยามโฉ่ว* รวมพล ต้นยามอิ๋น* เคลื่อนทัพมุ่งหน้าสู่มณฑลเหอเป่ย”
(การนับ่เวลาแบบจีนโบราณ *ยามโฉ่ว=01.00-02.59น. *ยามอิ๋น=03.00-04.59น.)
“น้อมรับคำสั่งท่านแม่ทัพ”รองแม่ทัพและนายกองของกองพลต่างๆ รับคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง เหล่านายทหารจากไปถ่ายทอดคำสั่งยังกองพลของตนอย่างพร้อมเพรียง ห้าวันนับจากการเรียกระดมกำลังพล เหล่าทหารกล้าห้าแสนนายต่างพักแรมอยู่ในค่ายทหาร เป็หนึ่งในกฎระเบียบของกองทัพเมื่อยามศึกมาถึง จากที่ไม่กี่วันก่อนกคนยังสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาฝึกซ้อมที่ค่ายแห่งนี้แล้วก็กลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติ แต่เมื่อตระกูลซ่างกวน้าทหารไปรบพวกเขาจากชาวบ้านธรรมดาก็พร้อมจะถือโล่จับดาบออกไปรบอย่างเต็มใจ
ด้วยการสั่งสอนจากรุ่นสู่รุ่น เกิดในครอบครัวทหารพวกเขาล้วนเป็เกียรติที่ได้ไปออกรบดังเช่นเหล่าบรรพบุรุษ ภายในกระโจมที่ถูกกางขึ้นมาเหล่าทหารล้อมวงกินข้าวอย่างพร้อมเพรียง ไม่มีผู้ได้รู้สึกไม่คุ้นเคย ไม่ใช่เ้าเป็เพื่อนบ้านข้าเ้าก็เป็ลูกพี่ลูกน้องห่างๆ ทุกคนต่างคุ้นหน้าคุ้นตา เป็เพื่อนทหารเป็ญาติมิตร
เมื่อแสงสุดท้ายลาลับขอบฟ้าไปไม่นานกระโจมทุกหลังที่เรียงรายอยู่บนลานกว้างอันสุดสายตาแห่งนี้ต่างเข้าสู่ความเงียบสงบ กินนอนเป็เวลานี่คือระเบียบวินัย พรุ่งนี้ต้องเดินทางไกลพักผ่อนเก็บแรงไว้เป็ผลดีกับตนเองที่สุด
ภายในกระโจมที่ใหญ่กว่าของเหล่าทหารเล็กน้อยภายในไม่มีสิ่งของมากมายนัก เตียงไม้ไผ่หนึ่งหลัง ราวแขวนชุดเกราะข้างๆ กันเป็ดาบหนึ่งเล่มกับง้าวจันทร์เสี้ยวหนึ่งด้ามแขวนอยู่ ตรงกลางกระโจมปรากฏหญิงสาวในชุดฝึกยุทธ์สีดำสนิทนั่งอยู่ แม้ภายนอกท่านแม่ทัพซ่างกวนจะแสดงออกด้วยความเ็า แต่ภายในมิได้เป็ดังเช่นที่แสดงออกมาแม้แต่น้อย
หากพูดว่าข้ามั่นใจก็คงเป็การโกหกต่อฟ้าดิน การนำทัพครั้งแรกในชีวิตของข้าผลลัพธ์จะเป็เช่นไรมิอาจคาดการณ์ได้ การที่ต้องรับผิดชอบต่อชีวิตทหารห้าแสนคนเป็ภาระอันหนักหน่วง คมดาบ คมหอกล้วนปลิดชีวิตได้ทั้งสิ้น ข้ามิกล้า และไม่สามารถรับประกันว่าทุกคนจะกลับมาอย่างปลอดภัย คำบอกเล่าของท่านบรรพบุรุษบอกเอาไว้ชัดเจน
ผู้คนติดตามเราล้วนเชื่อมั่นในความสามารถของเรา
แต่ผู้ใดจะรู้ถึงจิตใจของข้า ทุกชีวิตที่สูญเสียเพื่อชัยชนะของกองทัพ
ล้วนสร้างตราบาปภายในใจอันมิอาจลบเลือน
ทุกคนมาสู้ด้วยอุดมการณ์ ในยุคที่แผ่นดินลุกโชนไปด้วยไฟา
ทุกคนต่างก็สู้เพื่อวันข้างหน้าที่สงบสุขไร้กังวล
ข้าพึ่งเข้าใจถึงความรู้สึกของท่านบรรพบุรุษ บุรุษผู้เปี่ยมไปด้วยความสามารถก้าวย่างอยู่ในสนามรบมาครึ่งชีวิต เดิมบั้นปลายควรอยู่ท่ามกลางคำสรรเสริญเกียรติยศ แต่ทุกสิ่งกลับไร้ค่าดังสายลมที่พัดผ่าน ศึกสุดท้ายแม้เป็ชัยชนะอันยิ่งใหญ่แต่ก็แลกมาด้วยการสูญเสียภรรยาอันเป็ที่รัก สตรีที่ห้าวหาญไม่ด้อยกว่าชายชาตรี มารดาของบุตรชายหญิง ความโศกเศร้าทุกข์ระทมจากการสูญเสีย ท่านบรรพบุรุษให้เหล่าศัตรูได้ชดใช้ด้วยเืและความพ่ายแพ้
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องสรรเสริญ เดิมควรเป็เกียรติสูงสุดในชีวิตแต่ทุกสิ่งกลับว่างเปล่า ท่านเลือกพาครอบครัวหลีกเร้นไปใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบ ทุกคนต่างเคารพในการตัดสินใจของท่าน เดิมข้าไม่เข้าใจตระกูลซ่างกวนกำลังรุ่งโรจน์เป็ที่ยกย่อง จนข้าประสบกับตนเองเมื่อชีวิตที่แล้ว ข้าดิ้นรนเพื่อคนที่ข้ามอบหัวใจให้ทั้งดวงแต่ผลตอบแทนคือต้องสูญเสียทุกสิ่ง
แม้โอกาสแก้ไขก็มิได้รับ
โชคชะตาลิขิต ์ให้โอกาสคนทำคุณไถ่บาป
ชีวิตนี้ ข้าอุทิศเพื่อครอบครัว
เพื่อราษฎร เพื่อตนเอง
ต้นยามโฉ่วเสียงตีกลองบอกเวลาดังไปทั่วหุบเขา
ทุกคนต่างลุกขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ต่างคนต่างจัดการธุระส่วนตัวของตนเองแม้คนจะมากแต่ก็มิได้วุ่นวายแม้แต่น้อย สัมภาระถูกตรวจสอบกระโจมถูกพับเก็บอย่างเรียบร้อย เหล่าทหารแต่งกายเต็มยศอาวุธครบครัน ทหารราบตรวจสอบโล่ ดาบ หอกของตัวเองอย่างถี่ถ้วน พลธนูต่างตรวจอาวุธคู่กายและลูกธนูที่ได้รับ ลูกธนูสองร้อยดอกที่อัดแน่นอยู่ในกระบอกถูกสะพายขึ้นหลังพร้อมกับคันธนู
เหล่าทหารม้าต่างสวมเกราะเหล็กให้ม้าของตัวเอง หมวกคลุมหัวและลำตัวต่างคลุมด้วยเกราะเหล็ก พร้อมด้วยเกือกม้าที่สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ จะบุกทะเลตะปูหรือลุยไฟก็ไม่เกิดปัญหา ม้าทุกตัวต่างได้รับการดูแลเอาใจใส่จากเ้าของผู้ขี่เป็อย่างดี เมื่อทหารที่ได้รับคัดเลือกเข้ากองทหารม้าเกราะเหล็กทหารใหม่ทุกคนต่างก็ได้รับลูกม้าศึกเป็ของตัวเอง ต้องดูแลฝึกฝนไปกับม้าของตนไปทีละขั้น คนและม้าต้องใจสื่อถึงกันดั่งแขนขา ร่างกายของทั้งคนและสัตว์ต้องหลอมรวมเป็หนึ่ง สี่ขาพุ่งทะยานไป สองแขนกวัดแกว่งอาวุธแม้มิได้จับสายบังเหียนแต่ม้าศึกเ่าั้ย่อมรู้ใจพี่น้องที่ขี่หลังมัน
ต้นยามอิ๋น
โต๊ะบวงทรวงขนาดใหญ่ถูกจัดขึ้น
ทหารยืนเรียงแถวอย่างเป็ระเบียบ ใจรวมเป็หนึ่งร่างกายดุจผืนน้ำควบคุมได้ตามคำสั่ง หน้าโต๊ะบวงทรวงแม่ทัพใหญ่เริ่มทำพิธีบูชาฟ้าดินบอกกล่าวเหล่าบรรพบุรุษ ธูปดอกใหญ่สามดอกถูกจุดแล้วบักลงกระถางสำริดอันเก่าแก่ ถัดมาเป็การคำนับเก้าครั้ง คุกเข่าโขกหัวสามครั้ง แสงสว่างจากกระถางไฟใบใหญ่และคบเพลิงที่ถูกจุขึ้นทำให้ผู้คนมองเห็นการดำเนินไปของพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ สุราฤทธิ์แรงถูกรินลงบนถ้วยสามใบที่วางเรียงกันอยู่บนโต๊ะ
ข้าคุกเข่ายื่นมือไปหยิบเอาสุราถ้วยแรกขึ้นมา ลุกขึ้นหันกลับไปเผชิญหน้ากับเหล่าทหารที่ยืนสงบนิ่งอยู่เบื้องหน้า สองแขนชูขึ้นสูงั์ตาสงบนิ่งเทสุราลงพื้นดิน กลิ่นฉุนของสุราโชยไปตามลม
ข้าขอบูชาต่อผืนปฐี ทุกก้าวที่ย่ำลงผืนดินเปรียบดังการขอพรให้การเดินทางราบรื่นดุจใจหมายให้เหล่าทหารกล้าไปต่อสู้เพื่อความสงบสุข
สุราถ้วยที่สอง สาดกระจายไปทั่วผืนนภา ข้าขอบูชาต่อ์เบื้องบน ขอบูชาต่อิญญาของประชาชนทั้งสามหัวเมืองใหญ่ทางเหนือที่ต้องจบชีวิตในคมดาบของอริศัตรูในชาติที่แล้ว ในฐานะแม่ทัพและในฐานะผู้ชดใช้บาป ในชาตินี้ข้าจะขอใช้ิญญาของพวกแคว้นเหลียวมาแทนที่ดวงิญญาของผู้บริสุทธิ์ทั้งหลาย
สุราถ้วยที่สาม ข้ายกขึ้นมาแล้วดื่มลงไปรวดเดียว ข้า ซ่างกวนจือหลิน ขอสาบานต่อเหล่าบรรพชน จะขอกอบกู้ชื่อเสียงและเกียรติยศที่สูญเสียไปในชาติที่แล้วกลับคืนมา จะขอใช้ศีรษะของศัตรูที่จะมารุกรานเป็เครื่องสังเวย และจะขอใช้เื เนื้อ กระดูก ิญญาของอริศัตรูมาไถ่บาปที่ข้าเคยกระทำ
“กองทัพิญญาพยัคฆ์ เคลื่อนพลได้”
ดาบเขี้ยวพยัคฆ์ถูกชักออกมาจากฝัก แสงจากคมดาบสะท้อนอยู่ในดวงดาของเหล่าทหารกล้าทั้งหลาย
กองทัพิญญาพยัคฆ์ เคลื่อนพล!