หานอี้เห็นชาวบ้านแตกตื่น ก็รีบวิ่งเข้าไปอธิบาย ทุกคนจึงสงบลงได้ จากนั้นทุกคนก็สลายหายตัวไป เหลือเพียงชาวบ้านชายฉกรรจ์สองสามคน เพื่อคุมไม่ให้ชายอัปลักษณ์ผู้นี้คลุ้มคลั่ง
หยางหนิงให้หานอี้กลับเข้าไปในบ้าน แล้วยกอาหารที่มีอยู่เต็มโต๊ะนั้นออกมา หานอี้ยกชามข้าวมา ชายอัปลักษณ์กลับถอยหลัง มองไปที่หานอี้ด้วยความเป็ศัตรู ไม่รับชามและตะเกียบไป
หยางหนิงหยิบชามกับตะเกียบมาจากมือของหานอี้ แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “หิวแล้วมิใช่หรือ นี่ของกินอย่างไรเล่า กินอิ่มแล้วก็จะไม่หิวอีก”
ก็แปลกเหมือนกัน ชายอัปลักษณ์เห็นหานอี้กับคนอื่นเป็ศัตรูไปหมด แต่พอได้ยินเสียงของหยางหนิงเข้า ถึงแม้จะหวาดระแวงอยู่บ้าง แต่ก็อ่อนลงไม่น้อยเลย
เมื่อหยางหนิงเข้าใกล้เขา เขาก็ไม่หลบหรือถอยหลังเหมือนที่ทำกับหานอี้ เขารับชามข้าวไป แต่ไม่เอาตะเกียบ เขาใช้มือหยิบข้าวขึ้นมากิน กินอาหารอย่างตะกรุมตะกราม เหมือนไม่เคยกินข้าวมาก่อน หยางหนิงเห็นแล้ว จึงรู้ว่าเขาคงต้องหิวมากแน่ๆ
เห็นคนผู้นี้ ที่ก่อนหน้านี้เอามือซุกไว้ภายในเสื้อคลุมตลอด ตอนนี้ยื่นมือออกมารับชามข้าวไป ทำให้เสื้อคลุมกางออก ด้านในของเขาไม่ใส่อะไรเลย ใส่เพียงกางเกงขาสั้นขาดๆ ตัวหนึ่ง กู้ชิงฮั่นเห็นดังนั้น ก็ร้องออกมาว่า “โอ๊ย” แล้วรีบหันหลังไป
หยางหนิงเห็นชัดมาก บนตัวของเขาเต็มไปด้วยรอยตะปุ่มตะป่ำ ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยาแ
ร่างกายของเขาซูบผอม ส่วนรอยแผลของเขามันก็น่าใยิ่งนัก าแนั้นไม่ใช่รอยดาบ แต่มันเป็รอยแผลเป็เล็กๆ เต็มไปหมด
หยางหนิงเห็นเช่นนี้ก็เข้าใจ ในใจก็คิดว่าชายอัปลักษณ์เร่ร่อนไปทั่ว ไม่แปลกที่จะมีรอยแผลขีดข่วนเต็มไปหมด แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจัดการกับแผลของเขาอย่างไร ทำให้แผลเป็เช่นนั้น รอยแผลเป็นั้นก็มีกว่าสิบที่ บนขาทั้งสองข้าง ก็เหมือนนักโทษที่หนีออกมาจากคุก
ชายอัปลักษณ์ตอนนี้นั่งลงกับพื้น กินข้าวอย่างออกรสออกชาติ ไม่ได้สนใจสิ่งที่อยู่รอบตัว หยางหนิงมองอย่างละเอียดแล้ว ในใจก็คิดว่าเขาจะเป็อย่างที่ตัวเองคาดเดาเอาไว้หรือไม่ คือเป็คนที่พลัดหลงมาจากบ้านผู้ดีมีตระกูล เห็นหนวดเคราของเขาม้วนเป็ก้อนใหญ่ มันไม่น่าจะแค่สามหรือห้าเดือน
ส่วนเสื้อคลุมขนสัตว์บนตัวของเขา มันก็เป็ขนสัตว์ที่หายาก เป็ขนหมีอย่างดี ถึงแม้จะดูเก่าแต่มันก็ไม่ขาด
ขณะที่เขากำลังคิดว่าชายอัปลักษณ์ผู้นั้นเป็ใคร เห็นชายอัปลักษณ์ยื่นชามข้าวมา แล้วมองมาที่หยางหนิง ในปากก็พูดว่า “หิว... ของกิน...!”
หยางหนิงก็เลยให้หานอี้ไปเอาข้าวมาให้เขาอีกชาม เขากินข้าวต่อกันสามชามแล้ว ชายอัปลักษณ์เหมือนว่ายังไม่พอ หยางหนิงในหมู่บ้านนี้ก็ไม่ได้ร่ำรวยแต่อย่างใด แต่ละบ้านก็มีอาหารเพียงพอสำหรับตัวเอง ตัวเองจะให้เ้านี่กินเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนเห็นชายอัปลักษณ์กินจนอิ่ม ท้องจนแน่นแล้ว แล้วก็ไม่ขออาหารต่อแล้ว
เมื่อชายอัปลักษณ์เห็นหยางหนิงไม่ได้ให้คนไปเอาข้าวอีก เขาก็ไม่ได้มีท่าทีอะไร แล้วเขาก็กางเสื้อคลุมออก แล้วก็นอนลงไปอย่างสบายใจ
หานอี้สั่งให้คนเฝ้าชายอัปลักษณ์เอาไว้ กลางดึกเช่นนี้ ไปแจ้งทางการมิได้ เขาตั้งใจจะส่งคนไปที่อำเภอพรุ่งนี้
เขาคิดแค่ว่ากู้ชิงฮั่นเป็ชาย ก็เลยจัดหาห้องให้เพียงหนึ่งห้องให้พวกเขาสองคนพักด้วยกัน กู้ชิงฮั่นรู้สึกว่ามันไม่เหมาะ แต่ว่าดึกขนาดนี้แล้ว จะไปรบกวนผู้อื่นมากก็ไม่ได้ ดังนั้นก็ไม่มีทางเลือก จึงคิดว่าจะอดนอนสักคืน รอจนเช้า แล้วค่อยรีบเดินไปที่จวนเก่าตระกูลฉี
ทั้งสองคนอยู่ห้องเดียวกัน หยางหนิงไม่ได้รู้สึกอะไร นอนหลับสนิทอยู่ที่พื้น กู้ชิงฮั่นถึงจะรู้สึกไม่สบายใจที่ให้หยางหนิงนอนที่พื้น แต่ก็ดีกว่าให้หยางหนิงขึ้นมาบนเตียง
ถึงแม้ชายอัปลักษณ์จะแปลกๆ แต่กู้ชิงฮั่นก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด จึงไม่ได้สนใจที่มาที่ไปของเขามากนัก นางกำลังคิดว่าที่ดินศักดินาเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ ชาวบ้านเริ่มรู้สึกไม่พอใจจิ่นอีโหว ส่งผลต่อบารมีของที่ดินศักดินาของตระกูลฉี ก่อนหน้านี้นางไม่รู้อะไรเลยแม้แต่น้อย อยู่แต่ในกะลา หากไม่ใช่เพราะหยางหนิงเสนอให้แอบปลอมตัวมาสืบ ก็คงไม่รู้เื่ต่อไป ไม่รู้อีกนานแค่ไหน ในใจก็แอบโทษตัวเอง
นางนอนคิดอยู่บนเตียง ไม่รู้ว่านานแค่ไหน ก็ได้ยินเสียงหยางหนิงจาม นางก็เลยลุกมานั่งบนเตียง เห็นหยางหนิงนอนตะแคงอยู่ที่พื้น ในใจก็รู้สึกทนไม่ไหว ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงหยิบเอาผ้าห่ม แล้วเอาไปห่มให้หยางหนิง เห็นหยางหนิงหลับสนิท นางก็ยิ้มบางๆ แล้วพูดเบาๆ ว่า “หนิงเอ๋อร์ เ้ารู้หรือไม่ การที่เ้าโตแล้วมันอาจจะไม่ใช่เื่ดีก็ได้ ภาระอะไรหลายอย่างก็จะกดทับอยู่บนตัวเ้า เ้าถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี ไม่รู้ว่าความกล้าของเ้าจะรับมันไหวหรือไม่” จากนั้นก็พูดอีกว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ซานเหนียงก็จะอยู่ข้างๆ เ้า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ข้าก็จะรับมันไปพร้อมกับเ้า” นางกลับไปที่เตียง แล้วนอนลง
หยางหนิงไม่ได้หลับไปจริงๆ เขากลัวกู้ชิงฮั่นเกิดนึกถึงเื่กลางวันขึ้นมา แล้วจะมาถามหาที่มาที่ไปเื่วรยุทธ์กับเขาอีก จึงแกล้งหลับ เพื่อเลี่ยงปัญหา
แต่พอได้ยินกู้ชิงฮั่นพูดเช่นนั้น ในใจก็รู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก
ฟ้าสางในวันถัดมา กู้ชิงฮั่นปลุกหยางหนิงให้ตื่น เมื่อเขาลุกขึ้นมาเห็นกู้ชิงฮั่นหน้าตาอิดโรย เขาจึงใแล้วพูดว่า “ซานหนียง ท่านอย่าบอกนะว่าท่านไม่ได้นอนเลยทั้งคืน?”
กู้ชิงฮั่นส่ายหน้า แล้วพูดเบาๆ ว่า “พวกเราอย่าเสียเวลาอยู่ที่นี่อีกเลย พวกเรารีบไปที่จวนเก่ากันเถอะ ยังมีเื่ต้องทำอีกมาก”
ทั้งสองตื่นขึ้น แน่นอนว่าหานอี้ต้องรู้ ทั้งสองล้างหน้าทำความสะอาดตัวแบบง่ายๆ แล้วลาหานอี้ไป แต่หานอี้ยังคงกังวลเื่ที่ผู้ดูแลหลัวจะกลับมาหาเื่ จะไม่เป็ผลดีกับทั้งคู่ ในเมื่อทั้งคู่ขอลา จึงไม่รั้งเอาไว้ เมื่อออกจากบ้านมา ก็เห็นชายอัปลักษณ์นอนอยู่หน้าประตูอยู่ไม่ไกล เหมือนจะหลับสนิท
“เ้านี่ก็ฝากพวกเ้าด้วย” หยางหนิงมองไปที่หานอี้แล้วพูดเบาๆ ว่า “ม้าที่เ้าคนแซ่หลัวทิ้งเอาไว้ ก็ถือว่าชดใช้ค่าเสียหายให้กับคนในหมู่บ้านก็แล้วกัน” หานอี้จึงคิดในใจว่าไม่มีทางให้เ้าหรอก ม้ากี่ตัวนี่ ต่อให้ขายบ้านทั้งหมู่บ้านก็ซื้อไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว หยางหนิงก็ไม่พูดอะไรมาก เดินไปปลดม้าที่ผูกเอาไว้ และเมื่อออกจากหมู่บ้าน จึงขึ้นม้า แล้วขี่ออกไป
เมื่อขี่ม้าออกมาได้ระยะหนึ่ง หยางหนิงก็รู้สึกเหมือนมีเงาๆ หนึ่งตามมา เขาจึงใ เมื่อเห็นเงาๆ นั้นวิ่งมาอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เมื่อมองไป ก็จำได้ว่าเป็ชายอัปลักษณ์
กู้ชิงฮั่นใแล้วพูดว่า “เขาตามมาได้อย่างไร?”
หยางหนิงดึงเชือกม้าให้หยุด ชายอัปลักษณ์เองก็หยุดเช่นกัน ยืนอยู่ข้างๆแล้วมองหยางหนิง หยางหนิงหันไปมอง เขาไม่เห็นหมู่บ้านแล้ว แล้วมองชายอัปลักษณ์ สีหน้ามีความใยิ่งนัก “เขา... เขาตามมาทันได้อย่างไร?”
กู้ชิงฮั่นก็พูดด้วยความใเช่นกัน “หรือว่า... หรือว่าเขาใช้ขาสองข้างของเขาวิ่งตามมาอย่างนั้นรึ?” แค่รู้สึกว่ามันยากที่เชื่อได้ หลังออกมาจากหมู่บ้าน พวกเขาก็ควบม้าวิ่ง ความเร็วของม้าก็ไม่ได้ช้าเลยแม้แต่น้อย พริบตาเดียวก็ขี่ม้ามาหลายสิบลี้แล้ว ตอนที่ออกมาจากหมู่บ้านยังเห็นชายอัปลักษณ์นอนอยู่เลย แต่ตอนนี้ กลับตามมาทัน หากไม่เห็นด้วยตาตัวเอง กู้ชิงฮั่นก็คงไม่เชื่อเื่เช่นนี้แน่นอน
หยางหนิงก็รู้สึกใ ก่อนหน้านี้เขาเห็นว่าเ้าอัปลักษณ์มีความเร็วเพียงใด ถูกจับได้หลายครั้งตอนขโมยไก่ แต่ก็อาศัยความเร็ววิ่งหนีชาวบ้านไปได้ แต่แค่ไม่ได้เห็นด้วยตา แต่คราวนี้เห็นด้วยตาตัวเอง มันเร็วกว่าที่เขาคิดไว้มาก รู้สึกใไม่น้อย
ชายอัปลักษณ์ยังคงใส่เสื้อคลุมสีดำ เขามองหยางหนิง แล้วพูดซ้ำๆ ว่า “หิว ของกิน!”
หยางหนิงได้สติกลับมา มองไปที่ชายอัปลักษณ์แล้วพูดว่า “เ้าตามข้ามาได้อย่างไร? รีบกลับไปที่หมู่บ้านเดี๋ยว คนที่นั่นจะให้ของกินกับเ้า แล้วจะช่วยเ้าให้ได้กลับบ้าน”
ชายอัปลักษณ์เหมือนจะไม่ได้สนใจที่หยางหนิงพูด แต่มองเพียงหยางหนิง และพูดซ้ำไปซ้ำมา
หยางหนิงคิดในใจว่าเมื่อคืนเขาก็หวังดีเกินไป ตอนนี้ชายอัปลักษณ์นี่คิดว่าเขาเป็โรงทานให้อาหารเสียแล้ว คิดๆ ดูแล้ว ก็หยิบเงินโยนให้เขาไป แล้วพูดว่า “เ้าเอาเงินนี่ให้พวกเขา พวกเขาก็จะให้ของกินกับเ้า อย่าตามพวกเรามาอีก” เขาคิดว่าตัวเขากับกู้ชิงฮั่นยังมีเื่ที่ต้องทำ จะพาเขาไปด้วยคงไม่ได้
ชายอัปลักษณ์เก็บเงินขึ้นมาจากพื้น สีหน้าโกรธยิ่งนัก จากนั้นก็โยนเงินคืน และด่าภายในใจ
หยางหนิงรับเอาเงินไว้ได้ กู้ชิงฮั่นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “พวกเราอย่าไปยุ่งกับเขาอีกเลย คนผู้นี้ไม่รู้มาจากไหน อย่าไปยุ่งกับเขาจะดีกว่า หากตามเราไม่ทัน ก็คงจะกลับหมู่บ้านไปเองก็ได้” เสียงอ่อนโยนจบลง ก็ควบม้าไปต่อ หยางหนิงก็ไม่เสียเวลา จึงควบม้าตามไป
ม้าทั้งสองวิ่งไปเหมือนกับบินได้ พริบตาเดียวก็ควบม้าออกไปไกลมากแล้ว หยางหนิงหันหลังมาดูว่าเ้าชายอัปลักษณ์ยังตามมาหรือไม่ เมื่อหันไปมอง ก็เห็นชายอัปลักษณ์ก้าวเท้าวิ่งมาอย่างเร็ว ตามมาห่างๆ ความเร็วเทียบได้กับม้าสองตัวที่วิ่งอยู่เลย เสื้อคลุมของเขาลอยขึ้น ตอนนี้เขาวิ่งราวกับมีปีกบินได้
หยางหนิงหยุดม้าอีกครั้ง แล้วหันม้ากลับไป จากนั้นขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “รีบกลับไป หากยังไม่กลับไปอีก ข้าจะตีเ้าแล้วนะ” จากนั้นเขาก็ยกแส้ในมือขึ้นมา ท่าทางเหมือนจะตีชายอัปลักษณ์จริงๆ
ชายอัปลักษณ์เหมือนจะกลัว รีบถอยหลัง แล้วก็หดตัว ทำท่าทางน่าสงสารมองไปที่หยางหนิง หยางหนิงตะคอกกลับไปว่า “ที่นี่ไม่มีของกิน กลับหมู่บ้านไป เ้าจะมีของกิน ห้ามตามข้ามาอีกนะ” จากนั้นก็ควบม้าไปต่อ
เมื่อควบม้าไปได้ระยะหนึ่ง เขาก็หันกลับไปมองอีก เห็นชายอัปลักษณ์ยังคงตามมาอยู่ เพียงแต่ว่าเมื่อกี้เหมือนจะถูกหยางหนิงทำให้ใ ก็เลยเว้นระยะห่างออกไป
หยางหนิงรู้สึกจนปัญญา จึงไม่สนใจเขาอีก ได้แต่ควบม้าไปต่อ
ทั้งสองคนเดินหน้าไปทางใต้ แรกเริ่มเดิมที หยางหนิงหันหลังไปหลายครั้ง ก็จะเห็นชายอัปลักษณ์ตามอยู่ด้านหลังตลอด เมื่อควบม้าห่างมาหลายสิบลี้ เงาของชายอัปลักษณ์ก็ห่างออกไปเรื่อยๆ หยางหนิงถอนหายใจ แอบคิดว่าความสามารถของชายอัปลักษณ์สุดท้ายก็สู้ม้าไม่ได้ ถึงแม้ความเร็วของเขาจะหาใครเทียบได้ แต่เมื่อเวลานานเข้า ร่างกายก็อาจจะทนไม่ไหว สุดท้ายก็ต้องรั้งท้ายไปอยู่ดี
ม้ายังคงวิ่งไปไม่หยุด หยางหนิงคิดว่ายังไม่ถึงสองชั่วยาม ก็ได้ยินกู้ชิงฮั่นพูดขึ้นมาว่า “หนิงเอ๋อร์ ข้างหน้านี้ก็จะถึงจวนเก่าแล้ว” นางค่อยๆ ผ่อนความเร็วม้าลง ยกมือชี้ไปข้างหน้า หยางหนิงมองไปตามที่นางชี้ไป เห็นบ้านหลังหนึ่งอยู่ไกลๆ เห็นอิฐเรียงตัวกันเป็แนวยาว สะดุดตายิ่งนัก
หน้าประตูจวนเก่าของตระกูลฉี มีสระน้ำสระหนึ่งน้ำใสยิ่งนัก อ้อมไปหลังสระน้ำเดินไปไม่กี่ก้าวก็มีต้นหลิ่วต้นหนึ่ง เป็แบบบ้านเก่าๆ บรรยากาศดูโบราณๆ เสียหน่อย ด้านหลังจวนเก่าตระกูลฉี ก็เป็สวนไผ่เขียว
จวนเก่าทางตะวันตกเฉียงใต้ มีบ้านอยู่สิบกว่าหลัง แต่จวนเก่าตระกูลฉีเป็บ้านหลังโดดๆ ข้างๆ ไม่มีบ้านคนอื่นอยู่เลย ดูโดดเดี่ยวเดียวดายยิ่งนัก
หากเป็เมื่อสิบปีก่อน ที่นี่ก็ครึกครื้นอยู่มาก
บ้านตระกูลฉีเป็บ้านตระกูลใหญ่ในเจียงหลิง จริงๆ แล้วที่เจียงหลิงรวมถึงในตัวเมืองจิงโจว จะมีร้านค้าต่างๆ มากมาย แต่ว่าหลังจากท่านจิ่นอีเหล่าโหวออกติดตามอดีตฮ่องเต้ไปออกรบ ก็บริจาคร้านค้าไปหลายร้าน เหลือทิ้งไว้เพียงจวนเก่าตระกูลฉีหลังนี้เอาไว้ ส่วนจิ่นอีเหล่าโหวกับคนในตระกูลส่วนใหญ่ก็ย้ายไปตั้งรกรากที่เมืองหลวง ทิ้งบางส่วนเอาไว้ที่นี่เท่านั้น
จวนตระกูลฉีอยู่ที่นี่ คนอื่นๆ ก็เลยไม่กล้าที่จะมาสร้างบ้านใกล้ๆ แถวนี้ ทำให้จวนเก่าที่นี่ดูโดดเดี่ยว นอกจากว่าทุกครั้งที่คนในตระกูลฉีกลับมา บ้านเก่านี่ถึงจะคึกคักขึ้นมา
ถึงแม้จวนเก่าจะโดดเดี่ยว แต่ที่นี่ก็เหมือนเป็สัญลักษณ์ ไม่มีใครไม่ให้ความเคารพที่นี่เลย
ประตูใหญ่สีแดงสะดุดตายิ่งนัก หน้าประตูใหญ่ซ้ายขวามีสิงโตหินข้างละตัว ทั้งคู่ลงจากม้า แล้วเดินไปที่ด้านหน้าประตูใหญ่ของจวนเก่า เงยหน้าขึ้นมาป้ายหน้าประตู เขียนแค่สองคำง่ายๆ ว่า “จวนฉี” ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น
หยางหนิงมองไปที่กู้ชิงฮั่น แล้วก็เดินไปเคาะประตู เคาะอย่างแรง ในตอนแรกไม่มีเสียงตอบรับจากผู้ใดเลย หยางหนิงจึงเคาะหนักๆ ขึ้นอีกหลายครั้งหลังจากนั้นก็ได้ยินเสียง “แอ๊ด” ประตูสีแดงถูกเปิดออก ชายชราอายุราวๆ ห้าสิบปียื่นหน้าออกมาดู แล้วถามว่า “ที่นี่จวนจิ่นอีโหว พวกเ้ามาหาใครหรือ?”
“ไปบอกพ่อบ้านใหญ่ฉีหง จิ่นอีซื่อจื่อกลับมาแล้ว” กู้ชิงฮั่นลงจากม้ามาแล้วเดินไปข้างๆ หยางหนิง เสียงเ็า ใบหน้าที่สวยงามไร้ท่าทางใดๆ
ชายชราใไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองด้วยสีหน้าเหมือนมีความสงสัย ส่ายหัวแล้วพูดว่า “พวกเ้าคงไม่ได้เจอพ่อบ้านใหญ่หรอก พ่อบ้านใหญ่เจอผู้ใดไม่ได้อีกแล้ว!”