“มันคือผลิญญาทองคำ”
หลังจากกลุ่มของหลี่ว์หยางมาถึง พวกเขาก็พบว่าบนหน้าผามีผลิญญาทองคำที่กำลังสุกงอมอยู่ ดวงตาของพวกเขาพลันลุกวาวด้วยความปรารถนาที่จะในทันที
“ฮ่าๆ ช่างยอดเยี่ยมนัก มันคือผลิญญาทองคำ หากข้าได้รับผลิญญาทองคำทั้งสี่ลูกนั้นมา อันดับหนึ่งของการประเมินในครั้งนี้จะต้องตกเป็ของข้าอย่างแน่นอน”
หลี่ว์หยางหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างพึงพอใจ แต่แล้วเขาก็ต้องขมวดคิ้วมุ่นเมื่อเหลือบไปเห็นอสูรร้ายสองตัวที่กำลังเผชิญหน้ากันอยู่
“พี่หยางท่านดูนั่น ตรงนั้นมีคนอยู่ด้วย”
ศิษย์ผู้หนึ่งของตระกูลหลี่ว์รีบชี้นิ้วไปทางกลุ่มของมู่เฟิงทันที แต่หลี่ว์หยางเพียงเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างเหยียดหยามเท่านั้น
“คนพวกนั้นไม่จำเป็ต้องห่วงไปหรอก ปัญหาของเราคือเ้าอสูรร้ายสองตัวนั้นต่างหาก”
หลี่ว์หยางกล่าวเสียงเรียบ ในบรรดาบัณฑิตใหม่ในรุ่นนี้ ไม่มีใครอยู่ในสายตาของเขาทั้งสิ้น
แน่นอนว่าทางด้านมู่เฟิงเองก็เห็นกลุ่มของหลี่ว์หยางแล้วเช่นกัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้สนใจอีกฝ่ายเลย ในตอนนี้ปัญหาใหญ่ที่สุดคืออสูรร้ายทั้งสองตัวนั้นต่างหาก
สถานการณ์ตรงหน้าคือวานรูเาและพยัคฆ์แถบทองคำที่กำลังเผชิญหน้ากัน พวกมันต่างก็ส่งเสียงคำรามไม่หยุด แต่ยังไม่มีท่าทีว่าจะลงมือ
อสูรร้ายทั้งสองต่างรับรู้ได้ว่าความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายนั้นเทียบเท่ากับตนเอง ดังนั้นหากพวกมันต่อสู้กันย่อมเป็ไปอย่างดุเดือดและไม่อาจทราบถึงผลลัพธ์ที่แน่นอนได้
ยิ่งเมื่อเวลาผ่านไป จำนวนของกลุ่มบัณฑิตก็ยิ่งเพิ่มขึ้น เพียงไม่นานลู่โหย๋วเยี่ยก็นำกลุ่มศิษย์ตระกูลลู่เดินทางมาถึง ตามมาด้วยกลุ่มศิษย์จากจวนเป่ยอ๋อง และกลุ่มศิษย์ตระกูลอื่นอีกจำนวนหนึ่ง จนในที่สุดเหล่าบัณฑิตที่อยู่ในบริเวณนี้ก็เพิ่มจำนวนมามากกว่าหนึ่งร้อยคนแล้ว โดยแต่ละกลุ่มต่างก็หลบซ่อนอยู่ในป่า เฝ้ามองอสูรร้ายสองตัวที่กำลังเผชิญหน้ากัน
แน่นอนว่าทุกคนต่างก็กำลังจับตามองสถานการณ์ตรงหน้า พยัคฆ์สองตัวไม่อาจอยู่ร่วมูเาเดียวกันได้ และยิ่งไปกว่านั้นเวลานี้อสูรร้ายทั้งสองก็กำลังจะแย่งชิงผลิญญากัน หากว่ามันทั้งสองต่อสู้กันจนาเ็ พวกเขาก็คิดจะฉวยโอกาสนั้นในการลงมือ
“โฮก…!”
วานรูเาทุบกำปั้นลงบนหน้าอกของมันอย่างดุดัน พร้อมแผดเสียงคำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด ซึ่งการกระทำนี้เป็การส่งสัญญาณเตือนต่อพยัคฆ์แถบทองคำ บริเวณนี้คืออาณาเขตของมัน เป็อีกฝ่ายที่บุกเข้ามาในอาณาเขตของวานรูเา
พยัคฆ์แถบทองคำเปล่งเสียงคำรามอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน มันแยกเขี้ยวข่มอีกฝ่ายราวกับว่าจะไม่ยอมถอยอย่างเด็ดขาด
หลังจากที่ผลิญญาทองคำได้ดูดซับพลังฟ้าดินเข้าไปเป็จำนวนมาก ผลของมันก็สุกงอมได้ที่ พร้อมกับแผ่กลิ่นอายพลังอันเข้มข้นออกมา ไม่ว่าจะเป็ใครที่ได้กลืนกินผลิญญาทองคำสี่ลูกนี้เข้าไป มันย่อมช่วยเพิ่มพูนพลังให้กับอีกฝ่าย และอาจจะทำให้สามารถกลายเป็เ้าป่าแห่งนี้เลยก็ได้
มนุษย์ต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงชื่อเสียงลาภยศ ผลประโยชน์ อำนาจและสตรี ในขณะที่เหล่าอสูรร้ายนั้นต้องห้ำหั่นกันเพื่อความอยู่รอดและชีวิตที่ดีกว่า
“โฮก…!”
วานรูเามองไปยังผลิญญาทองคำ มันไม่อาจอดทนต่อการยั่วยุของพยัคฆ์แถบทองคำได้อีกต่อไป เมื่อสิ้นเสียงคำราม มันก็กระโจนร่างเข้าหาอีกฝ่ายพร้อมกับปล่อยหมัดอันหนักหน่วงไปยังพยัคฆ์แถบทองคำอย่างดุดันทันที
พยัคฆ์แถบทองคำะโหลบการโจมตีอันรุนแรงของวานรูเาได้อย่างรวมเร็ว ทำให้หมัดนั้นกระแทกลงบนพื้นดิน ส่งผลให้พื้นดินในบริเวณนั้นถูกทุบด้วยแรงมหาศาลจนกลายเป็หลุมขนาดใหญ่ที่มีรัศมีเจ็ดถึงแปดเมตร พละกำลังอันแข็งแกร่งที่มันแสดงออกมาทำให้เหล่าบัณฑิตที่ลอบมองจากระยะไกลรู้สึกหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจขึ้นมาทันที
หากว่าถูกหมัดเมื่อครู่ของมันกระแทกร่างเข้า เกรงว่าร่างของพวกเขาคงถูกบดขยี้จนแหลกละเอียด
หลังจากพยัคฆ์แถบทองคำะโหลบการโจมตีได้สำเร็จ มันก็กระโจนร่างเข้าใส่วานรูเาเพื่อโต้กลับในทันที และเมื่อมันกางอุ้งเท้า กรงเล็บพยัคฆ์อันแหลมคมที่มีความยาวกว่าสองฟุตก็ปรากฏออกมา มันตวัดกรงเล็บไปยังร่างของวานรูเาราวกับ้าจะฉีกกระชากร่างของอีกฝ่าย
ฉัวะ...!
กรงเล็บแหลมคมเฉือนลงบนิัของวานรูเาในทันที ทำให้บนตัวของมันมีแผลลึกเกิดขึ้นหลายจุด วานรูเาแผดเสียงร้องออกมาอย่างเ็ป แต่ทันใดนั้นมันก็ปล่อยหมัดสวนกลับไป โดยหมัดนี้ได้พุ่งกระแทกร่างของพยัคฆ์โดยตรง ทำให้ร่างของมันปลิวกระเด็นออกไปไกลกว่ายี่สิบเมตร และก็ทำให้ต้นไม้โบราณส่วนหนึ่งหักโค่นลง
เ้าวานรูเาพลันพุ่งเข้าหาพยัคฆ์แถบทองคำอีกครั้ง มันปล่อยหมัดออกไปทันทีเพื่อหวังจะทุบอีกฝ่าย แต่พยัคฆ์แถบทองคำกลับสามารถกลิ้งหลบออกมาได้เสียก่อน จากนั้นมันก็อ้าปากกว้างพร้อมกับรวบรวมพลังปราณขึ้นเป็เงากระบี่สีทอง ก่อนจะปล่อยออกไปโจมตีวานรูเา
ฉึก!
ลำแสงกระบี่สีทองพุ่งทะลวงเจาะเข้าที่ทรวงออกของวานรูเาจนเกิดเป็รอยแผลจากคมกระบี่ แต่วานรูเาพยายามอดทนอดกลั้นต่อความเ็ปและปล่อยหมัดออกไปเต็มแรง หมัดสีเหลืองนี้กระแทกร่างของพยัคฆ์แถบทองคำเข้าเต็มๆ จนมันกระอักเืออกมา
การต่อสู้ของอสูรร้ายทั้งสองกำลังเป็ไปอย่างดุเดือด พวกมันต่างก็พลัดกันรุกพลัดกันรับ โดยที่พลังต่อสู้ของมันนั้นก็น่าตื่นตะลึงเป็อย่างยิ่ง การเผชิญหน้ากันของอสูรร้ายทั้งสองก่อให้เกิดคลื่นพลังปราณสาดซัดออกไปยังบริเวณใกล้เคียงในรัศมีหลายสิบเมตร ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ ต่างก็หักโค่นลงมา บางต้นยังถูกคลื่นพลังบดทำลายจนกลายเป็เพียงเศษไม้
ขณะที่อสูรร้ายทั้งสองกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด บัณฑิตบางคนที่กำลังเฝ้าดูสถานการณ์อยู่ก็ไม่อาจทนอยู่เฉยได้อีกต่อไป
“ลู่เมิ่ง ทักษะการเคลื่อนไหวของเ้ามีความว่องไวที่สุด ตอนนี้เป็โอกาสเหมาะ เ้าจงใช้ทักษะการเคลื่อนไหวของเ้าแอบไปลอบเอาผลิญญาทองคำนั่นมา พวกเราจะคอยคุ้มกันให้เ้าเอง หากทำสำเร็จข้าจะมอบผลิญญาทองคำให้เ้าหนึ่งผลเพื่อให้เ้าเข้าสู่สามอันดับแรก”
หลังจากจับตามองอสูรร้ายทั้งสองตัวที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ลู่โหย๋วเยี่ยก็หันไปกล่าวกับศิษย์ผู้หนึ่งของตระกูลลู่
ลู่เมิ่ง ศิษย์ตระกูลลู่ผู้มีรูปร่างผอมบางพยักหน้ารับในทันที จากนั้นเขาก็ะโลงจากต้นไม้ และกระโจนออกไปทางหน้าผาอย่างเงียบงัน
เพียงไม่นานลู่เมิ่งก็มาถึงต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าผาอย่างรวดเร็ว เขาไม่รอช้ารีบปีนป่ายขึ้นไปบนต้นไม้ในทันที โดยสายตาก็หันกลับไปมองทางอสูรร้ายสองตัวที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดและอยู่ห่างจากเขาหลายสิบเมตรเป็ครั้งคราว เนื่องจากพวกมันกำลังต่อสู้พัวพันกันจึงไม่อาจสังเกตเห็นการดำรงอยู่ของเขาได้ เด็กหนุ่มะโร่างไปยังพื้นผิวของหน้าผาสูงชันอย่างว่องไว มือของเขาคว้าจับก้อนหินริมผาเอาไว้แน่น
“พี่หยาง แย่แล้ว พวกคนตระกูลลู่ชิงลงมือก่อนแล้ว”
เมื่อเห็นภาพนี้ ศิษย์ผู้หนึ่งของตระกูลหลี่ว์ก็กล่าวขึ้นด้วยความกังวล หลี่ว์หยางเหลือบตามองไปทางศิษย์ตระกูลลู่ผู้นั้น ก่อนจะแสยะยิ้มออกมา
“คิดจะชิงผลิญญาทองคำไปจากข้า มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก นำธนูมา”
หลี่ว์หยางสั่งการกับศิษย์ผู้หนึ่งของตระกูลหลี่ว์ อีกฝ่ายรีบถอดคันธนูยาวออกจากด้านหลังและมอบให้เขาทันที เมื่อได้รับคันธนูหลี่ว์หยางก็เล็งศรไปยังร่างของศิษย์ตระกูลลู่ที่กำลังปีนป่านขึ้นไปบนหน้าผา
ทางด้านตระกูลมู่ แน่นอนว่าทุกคนต่างก็มองเห็นว่ามีใครบางคนกำลังคิดจะฉวยโอกาสนี้่ชิงผลิญญาทองคำไป พวกเขารู้สึกเป็กังวลขึ้นมาเล็กน้อย ทว่ามู่เฟิงเพียงหรี่ตาลงและเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“พี่เฟิง พวกเราจะไม่เคลื่อนไหวอย่างนั้นหรือ?”
มู่ขวงเอ่ยถามอย่างร้อนรน
“ไม่ต้องกังวลไป คนอื่นๆ ไม่มีทางปล่อยให้คนผู้นั้น่ชิงไปได้ง่ายๆ หรอก”
มู่เฟิงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ และเมื่อเขาพูดจบ เสียงหวีดหวิวของวัตถุที่แหลมคมบางอย่างซึ่งกำลังพุ่งแหวกอากาศก็ดังขึ้น
ฟิ้ว!
หลี่ว์หยางยิงลูกศรอันแหลมคมพุ่งไปทางร่างของศิษย์จากตระกูลลู่ผู้นั้นอย่างโเี้
ศิษย์ตระกูลลู่ที่กำลังปีนไปตามโขดหินบนหน้าผาสูงชันรู้สึกเพียงว่าแผ่นหลังของเขาเย็นวาบขึ้นมาชั่วขณะ และทันใดนั้นเขาก็กรีดเสียงร้องออกมาเมื่อมีลูกธนูเจาะเข้าที่ต้นขา ก่อนที่ร่างของเขาจะร่วงตกลงไปด้านล่างทันที
เสียงหวีดร้องเมื่อครู่ดึงดูดความสนใจของอสูรร้ายทั้งสองที่กำลังต่อสู้กันได้เป็อย่างดี พยัคฆ์แถบทองคำอ้าปากกว้างปล่อยลำแสงกระบี่สีทองพุ่งออกไปตัดร่างของศิษย์ตระกูลลู่ผู้นั้นจนขาดเป็สองส่วน และเสียชีวิตลงอย่างน่าอนาถในทันที
“ลู่เมิ่ง!”
บรรดาศิษย์ตระกูลลู่ต่างก็หน้าซีดเผือดด้วยความใ ส่วนลู่โหย๋วเยี่ยก็เหลือบมองไปยังต้นทางของลูกธนูเมื่อครู่ทันใด
“ตระกูลหลี่ว์ หลี่ว์หยาง...”
ดวงตาของลู่โหย๋วเยี่ยทอประกายเ็า เขากัดฟันกรอด แต่ก็ไม่ได้เคลื่อนไหวทำสิ่งใด
“ให้ตายเถอะ เ้าพวกสารเลวนั่นช่างโหดร้ายนัก”
“เพราะคิดจะ่ชิงของของผู้อื่นจึงต้องประสบเคราะห์เช่นนี้”
“เป็คนจากตระกูลหลี่ว์ กล่าวกันว่าในหมู่บัณฑิตใหม่รุ่นนี้หลี่ว์หยางจากตระกูลหลี่ว์นั้นทรงพลังที่สุด”
เมื่อเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ เหล่าบัณฑิตกลุ่มอื่นที่แอบซ่อนตัวอยู่ต่างก็พากันมองไปทางของศิษย์ตระกูลหลี่ว์ วิธีการลงมือที่โเี้ของอีกฝ่าย ทำให้ในใจของพวกเขาเย็นวาบขึ้นมา
มู่เฟิงมองไปทางของตระกูลหลี่ว์ และทันใดนั้นเขาก็คลี่ยิ้มออกมาอย่างนึกสนุก
“ตระกูลหลี่ว์...ให้ดีอย่าคิดมายุ่งกับข้าจะดีกว่า”
มู่เฟิงนำเสี่ยวเทียนออกมาจากอ้อมอก เขากระซิบบางอย่างกับมัน จากนั้นร่างของเสี่ยวเทียนก็เปลี่ยนขนาดจนมีความยาวสามฟุต ก่อนที่มันจะเลื้อยไปยังต้นไม้แห่งจิติญญาที่อยู่บนหน้าผาทันที
ในที่สุดการต่อสู้ระหว่างอสูรร้ายทั้งสองก็มาถึง่ที่รุนแรงที่สุดแล้ว ด้านหลังของพยัคฆ์แถบทองคำถูกวานรูเาโจมตีอย่างแรงจนไม่อาจลุกขึ้นมาสู้ได้อีก ใน่เวลาสุดท้ายของการต่อสู้ วานรูเาได้ปล่อยหมัดไปที่ศีรษะของพยัคฆ์แถบทองคำอีกครั้ง และหมัดนี้ก็บดขยี้ศีรษะของอีกฝ่ายจนกลายเป็เศษเนื้อ ก่อนจะสิ้นชีพลงในทันที
“ลงมือ!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้