นั่งรวบรวมแรงอยู่พักใหญ่ถึงค่อยพยุงตัวลุกขึ้นมา เซี่ยโม่เดินเข้าครัวเพื่อไปช่วยคุณยายทำอาหาร ทันทีที่เธอเข้าไปด้านในคุณยายก็ทำจมูกฟุดฟิด “ทำไมมีกลิ่นเหมือนน้ำมันแก้ปวด”
จะให้คุณยายรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าเธอได้รับาเ็มา เซี่ยโม่เลยแกล้งเฉไฉไปเื่อื่น “คุณยายดมผิดแล้วมั้งคะ ตอนเช้าทำอะไรกินเหรอคะ”
หญิงชรานึกว่าตัวเองจมูกเพี้ยนจริง จึงยอมเปลี่ยนเื่ตาม “ยายทำโจ๊กมันเทศน่ะ หลานมาลองดมดูสิว่าหอมไหม”
เธอเดินเข้าไปก่อนจะสูดกลิ่นจากไอร้อนเหนือหม้อ “หอมมากเลยค่ะ หนูชอบกินโจ๊กมันเทศที่สุด”
สองยายหลานช่วยกันทำอาหาร ไม่นานอาหารเช้าก็แล้วเสร็จ
เมื่อคุณปู่จ้าวมาถึงบ้าน ทุกคนนั่งล้อมวงเพื่อกินข้าวเช้าด้วยกัน
ในจังหวะที่กำลังจะลงมือกินข้าว ชายชราขมวดคิ้วก่อนจะมองหน้าลูกศิษย์ “โม่โม่ เมื่อวานเราได้รับาเ็อย่างงั้นเหรอ”
ประโยคนี้ทำให้ทุกสายตาบนโต๊ะมองไปที่เซี่ยโม่เป็ตาเดียวกัน
“แผลนิดเดียวน่ะค่ะ หนูทาน้ำมันแก้ปวดแล้ว” ถึงเธอจะรู้สึกใที่โดนจับได้ ถึงอย่างนั้นก็รีบอธิบายให้ทุกคนสบายใจ
คุณยายทำท่าเหมือนคนเพิ่งนึกอะไรออก ก่อนจะเอ่ยอย่างร้อนใจ “เป็หนักไหม กินข้าวเสร็จขอยายดูหน่อย”
“หนูไม่ได้เป็อะไรมากค่ะ ไม่ได้าเ็หนักอะไร แค่มีรอยเล็กน้อยเท่านั้น” เธอตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ถึงหลานสาวจะกล่าวเช่นนั้นหากผู้ใหญ่ทั้งสามคนก็ยังไม่วางใจ ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เซี่ยโม่เคยชินกับการเก็บภาชนะต่างๆ ไปล้าง แต่ครั้งนี้ถูกคุณยายห้ามไว้
“ตาแก่ แกเอาจานชามไปล้างที ฉันจะดูแผลหลานหน่อยว่าเป็หนักมากไหม”
น้อยครั้งมากที่คุณตาจะเข้าไปในครัว ปกติแล้วคุณตาไม่ค่อยชอบเก็บล้างจานชาม แต่วันนี้กลับยอมทำตามแต่โดยดี “ได้ เดี๋ยวฉันจัดการเอง แกรีบไปดูแผลหลานเถอะ”
เซี่ยโม่เดินตามคุณยายเข้าไปในห้องนอน เธอพูดย้ำอีกครั้งเพื่อไม่ให้คุณยายเป็ห่วง “คุณยายคะ หนูไม่ได้เป็อะไรมากจริงๆ ค่ะ”
ทว่าคุณยายกลับตอบเสียงเข้ม “อย่ามัวพูดมาก ไหนถอดเสื้อผ้าให้ยายดูสิ”
เธอที่ไม่อาจปฏิเสธได้จึงต้องยอมถอดกางเกงออกแต่โดยดี เซี่ยโม่ตัดสินใจให้คุณยายดูแผลที่ขา เพราะหากเทียบแล้วแผลตรงนี้รุนแรงไม่เท่าบริเวณแผ่นหลัง
หญิงชรามองรอยแผลเป็ทางยาวตรงขาของหลานสาว ซึ่งตอนนี้ิัฟกช้ำอย่างหนักจนห้อเืเป็สีม่วง
“เ้าสารเลวพวกนั้น กับเด็กก็ยังลงมือรุนแรงแบบนี้” คุณยายก่นด่าด้วยความปวดใจ
“คุณยายคะ หนูทายาแล้ว ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วค่ะ ไม่เจ็บแล้ว”
“เราอยู่บ้านนอนพักเถอะ เดี๋ยวยายให้ตาไปส่งไปเฉินเฟิงกับสือโถวไปโรงเรียนเอง”
เธอทราบดีว่าคุณตาขี่จักรยานไม่เป็ หากให้ท่านขี่ไปส่งเด็กทั้งสองคนไปโรงเรียนย่อมเป็เื่ที่ลำบากมาก
แล้วอีกอย่างหากมีใครรู้ว่าคุณตาขาดงาน ไม่ไปให้อาหารวัวก็จะกลายเป็เื่ใหญ่
่นี้มีคนอยากจะได้หน้าที่ดูแลให้อาหารและต้อนวัว แต่เนื่องจากบ้านเธอกับบ้านของผู้ใหญ่บ้านค่อนข้างสนิทสนมกัน ผู้ใหญ่บ้านเลยยังให้คุณตาทำหน้าที่นี้ต่อ
แต่ถ้าวันนี้คุณตาขาดงานก็จะถูกคนอื่นเอามาใช้เป็จุดอ่อนได้ พอถึงตอนนั้นคุณตาอาจจะต้องเสียงานนี้ไป ซึ่งถือว่าได้ไม่คุ้มเสียเอาเสียเลย
เธอเลยปฏิเสธออกไป “คุณยาย ไม่เป็ไรค่ะ ยังไงหนูก็ขี่จักรยานไปส่งทั้งสองคน ไม่ได้เดินไปเสียหน่อย ไม่เป็ปัญหาอยู่แล้วค่ะ”
คุณยายได้ฟังเช่นนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน “หลานนี่นะ เข้มแข็งเกินไปแล้ว มีอะไรก็คิดจะรับเอาไว้เองคนเดียวหมด”
เซี่ยโม่คิดในใจ หากเป็ไปได้เธอเองก็อยากมีชีวิตที่สุขสบายเหมือนกัน เพียงแต่คุณตาคุณยายอายุมากแล้ว จะให้พวกท่านแบกรับเื่ราวหนักๆ เหล่านี้ได้อย่างไร
ไม่ง่ายเลยกว่าจะทำให้แม่ดอกบัวขาวถูกส่งตัวไปทำงานในค่ายแรงงานได้ ทว่าเวลาเพิ่งจะผ่านไปแค่สองเดือนครึ่งอีกฝ่ายกลับถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว แถมยังก่อเื่ใหม่ทันทีราวคนไร้จิตสำนึก
หากเื่นี้เธอไม่แบกรับเอาไว้เองแล้วใครจะเป็คนรับ
คุณยายเห็นว่าต่อให้ตนเองจะพูดอย่างไรหลานสาวก็ไม่ฟัง จึงทำได้แค่กำชับอย่างเป็ห่วงไปสองสามคำ
“หากอันธพาลพวกนั้นยอมรับสารภาพว่าหวางลี่ลี่จ้างมาก็ดีไป แต่ถ้าพวกนั้นไม่สารภาพ หลานก็ต้องระวังตัวให้ดี”
“ค่ะคุณยาย หนูจะระวังตัว”
ชาตินี้เธอไม่ใช่เด็กสาวโง่เขลาแบบชาติที่แล้วอีกต่อไป เธอมีโกดังสินค้า ซึ่งสามารถเข้าไปหลบในนั้นได้หากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน
อีกทั้งเธอยังมีกระบองไฟฟ้า ขวดยาฉีดไล่แมลง ไว้ใช้รับมือกับพวกอันธพาลได้
เซี่ยโม่ปลอบคุณยายอีกเล็กน้อย พยายามควบคุมการเดินให้ดูเป็ปกติเหมือนว่าเธอไม่ได้าเ็ ผู้ใหญ่ทั้งสามคนถึงค่อยปล่อยเธอออกจากบ้าน
พอเห็นทุกคนเดินกลับเข้าไปในบ้าน เธอถึงค่อยปั่นจักรยานไปที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน
เริ่มปั่นไปได้ไม่นาน ความเ็ปก็เข้ามาจู่โจมจนแทบหน้าคะมำทิ่มพื้น เซี่ยโม่พยายามสะกดความเ็ปลงไปและฝืนขี่จักรยานต่อ
เมื่อไปถึงหน้าบ้านผู้ใหญ่บ้าน และสือโถวน้อยขึ้นมานั่งบนเบาะของจักรยาน คราวนี้เธอไม่เพียงเจ็บขา แต่ยังรู้สึกปวดร้าวที่หลังอีกด้วย
นึกแล้วก็ได้แต่เจ็บใจ เมื่อวานเธอน่าจะฟาดพวกอันธพาลกลุ่มนั้นให้ยับกว่านี้
เซี่ยโม่ปั่นจักรยานไปที่โรงเรียนประถม ด้วยความสูงที่ไม่เพียงพอจึงไม่สามารถใช้ขาทั้งสองข้างยันกับพื้นเพื่อหยุดรถได้ โดยปกติแล้วเธอจะใช้ขาเพียงข้างเดียวยันพื้นตลอด ทว่าวันนี้อาการเจ็บแปลบจากาแทำให้เื่ง่ายๆ อย่างจอดรถเป็เื่ยากขึ้นมาทันใด
เมื่อเห็นว่ากำลังจะชนกับเด็กนักเรียนที่อยู่ด้านหน้า เซี่ยโม่เหงื่อแตกพลั่กด้วยความใ ทันใดนั้นพลันมีมือของใครหนึ่งยื่นมาจับแฮนด์จักรยานของเธอเอาไว้
เธอสะดุ้งจนเกือบร้องะโออกมา ทว่าเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นเสียก่อน “ฉันเอง ไม่ต้องกลัว”
ราวกับเสียง์ก็ไม่ปาน แค่ได้ยินเสียงก็รู้ได้ทันทีว่าเ้าของมือคู่นี้คือใคร
คือพี่ซ่งนั่นเอง!
พอรถจักรยานจอดสนิท เด็กชายทั้งสองคนพลันะโลงจากรถ หันมาส่งยิ้มทักทายชายหนุ่มก่อนจะวิ่งเข้าไปในโรงเรียน
ไม่รู้ทำไมจู่ๆ เธอเกิดน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมา พร้อมความรู้สึกแสบร้อนที่โพรงจมูก “พี่มาได้ยังไงคะ”
ซ่งมู่ไป๋มองเด็กสาวครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยประชด “ถ้าฉันยังไม่มาอีก เธอคงถูกเล่นงานจนแม้แต่ชีวิตตัวเองก็รักษาเอาไว้ไม่ได้แล้วมั้ง”
สีหน้าเด็กสาวเปลี่ยนเป็บึ้งตึง
ผู้ชายคนนี้นี่ไม่เพียงเ้าเล่ห์มากแผนการ แต่ฝีปากยังจัดอีกต่างหาก
“พี่รู้เื่แล้วเหรอคะ” พูดจบก็นึกขึ้นได้ว่า ต้องเป็พี่ชายตำรวจคนนั้นแน่ที่เอาเื่เมื่อวานไปบอกอีกฝ่าย
“ใช่ เมื่อเช้าฉันไปที่สถานีตำรวจในตำบลมา เมื่อคืนเพื่อนฉันสอบสวนอันธพาลกลุ่มนั้นทั้งคืน พวกนั้นสารภาพว่ามียายแก่หลังค่อมมาจ้างให้พวกเขาไปทำร้ายเด็กคนหนึ่ง โดยบอกว่าจะให้ข้าวโพดคนละห้าจินเป็ค่ามัดจำ ถ้างานเสร็จก็จะให้อีกคนละห้าจิน”
เซี่ยโม่คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็แบบนี้
“ยายแก่คนนั้นคือหวางลี่ลี่ปลอมตัวมา!”
“ฉันเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน งั้นเธอจะทำยังไงต่อไป หรือจะเฝ้าต้นไม้รอกระต่าย[1]เอาแต่รักษาอาการาเ็ แล้วรอให้ผู้หญิงคนนั้นเผยจุดอ่อนเอง?”
พี่ซ่งดูออกว่าเธอได้รับาเ็จริงๆ ด้วย
“ฉันไม่ได้เป็อะไรมากค่ะ…”
“เธอคิดว่าฉันโง่หรือไง ถึงขนาดจอดรถจักรยานไม่ได้ยังจะบอกว่าไม่ได้เป็อะไรมากอีก”
ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงตาดีแบบนี้นะ!
“ฉันทายาแล้วค่ะ อีกไม่นานก็หายแล้ว” เธอพยายามอธิบาย
“ไม่ต้องพูดมาก มากับฉัน”
เซี่ยโม่เองก็ไม่ทราบว่าชายหนุ่มจะพาเธอไปไหน ทำได้แค่ยอมให้อีกฝ่ายจูงจักรยานเธอไปตามทาง
ไม่นานพี่ซ่งก็พาเธอมายังบ้านหลังหนึ่ง
พอหญิงชราอายุประมาณหกสิบกว่าปีเห็นเธอกับพี่ซ่งก็ทักทายอย่างเป็มิตร “เสี่ยวซ่ง พามาแล้วเหรอ เข้ามาก่อนสิ”
ซ่งมู่ไป๋จูงจักรยานเข้าไปในบริเวณบ้าน พร้อมทั้งแนะนำเธอให้รู้จักกับหญิงชราคนนั้น “คุณป้าหวาง เธอชื่อว่าโม่โม่ โม่โม่ นี่คือคุณป้าหวาง”
เธอทำหน้างุนงง พี่ซ่งพาเธอมาที่บ้านคุณป้าหวางทำไม?
“เธอบอกว่าถ้าถึงหน้าหนาวจะหาเช่าบ้านสักหลังเพื่อทำอาหารให้น้องชายกับเพื่อนไม่ใช่เหรอ” แค่เห็นสีหน้าก็ทราบแล้วว่าเด็กสาวกำลังคิดอะไร เขาจึงอธิบายให้ฟัง
“คุณป้าหวางไม่เพียงไปรับไปส่งพวกเด็กๆ ได้ แต่ยังทำอาหารให้กินได้ด้วย แค่นี้เธอก็ไม่ต้องลำบากทำทุกอย่างเองแล้ว ส่วนเื่หวางลี่ลี่ฉันผิดเองที่ประมาท แต่เดี๋ยวฉันจะจัดการให้เรียบร้อย”
เซี่ยโม่รู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างยิ่ง สิ่งที่ผู้ชายคนนี้ทำให้ นำมาซึ่งความซาบซึ้งจนน้ำตาคลอหน่วย การมีคนคอยปกป้องเช่นนี้มันช่างดีเหลือเกิน
------------------------------
[1] เฝ้าต้นไม้รอกระต่าย หมายถึง คนที่ไม่คิดจะทำอะไรเลย แต่กลับหวังอยากจะได้สิ่งตอบแทน
