เมื่อเกวียนวัวหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านตระกูลหลิว หลิวฉีซื่อที่ได้ยินความเคลื่อนไหวจากในบ้านก็ออกมาต้อนรับพร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้ม “เหรินกุ้ย วั่งกุ้ยของแม่กลับมาแล้ว”
จากนั้นเสียงเรียกแม่ก็ดังขึ้นพร้อมเพรียงกัน
“น้องรอง ป้ารองกลับมาแล้ว” หลิวชิวเซียงที่อยู่ในครัวตาแหลมคม มองเห็นสองสามีภรรยาหลิวเหรินกุ้ยพาลูกๆ ทั้งสามคนกลับมา
หลิวเต้าเซียงรู้ว่าหลิวฉีซื่อนั้นคอยกีดกันหลิวซุนซื่ออยู่ตลอด นางโผล่ศีรษะออกมาจากในห้องครัว แล้วขานเรียกแต่ละคน
ครอบครัวหลิวเหรินกุ้ยตอบรับ แล้วก็ชมเชยว่าหลิวเต้าเซียงเป็เด็กดี
ส่วนหลิววั่งกุ้ยที่เดินตามเข้ามากลับเชิดปลายจมูกขึ้นฟ้า ไม่ได้เหลียวมองตัวหลิวเต้าเซียงด้วยซ้ำ
เพียงแต่ต่อหน้าหลิวฉีซื่อ เขาจึงก้มศีรษะที่สูงส่งลงมาแล้วขานทักทาย
หลิวฉีซื่อมองสำรวจครอบครัวบุตรชายคนที่สี่ ซึ่งแต่งกายด้วยผ้าไหมหูโจวสีเขียว บวกกับรูปร่างหน้าตาดูดี ประหนึ่งยอดอัจฉริยะ มีสง่าราศีจนสามารถทำให้แม่หญิงหลายคนหลงใหล
“ลูกสี่ มาให้แม่ดูหน่อยเร็ว เล่าเรียนเหนื่อยแย่สินะ แม่ว่าเ้าดูผอมซูบไปกว่าเดิมไม่น้อย”
หลิววั่งกุ้ยยื่นมือออกมาวางบนแขนของหลิวฉีซื่อ ขณะเดินไปทางห้องโถงก็กล่าวว่า “เดิมทีเทศกาลเชงเม้งกับบะจ่างก็คิดจะกลับมาเยี่ยมเยียนท่านพ่อและท่านแม่ แต่อาจารย์สั่งไว้ว่า ให้ข้าไปมาหาสู่กับซิ่วไฉเ่าั้ให้มาก จะได้เรียนรู้เื่ราวทุกอย่าง และจะได้ขอเรียนรู้จากประสบการณ์ของคนเ่าั้ จะได้คุ้นชินกับการลงสนามสอบในอีกสองปีถัดไป”
หลิววั่งกุ้ยปีนี้อายุสิบเจ็ดปี แม้ว่าจะสอบในอีกสองปีให้หลังก็อายุเพียงแค่สิบเก้าปี นับว่าเป็เด็กหนุ่มที่เก่งกาจ
“อาจารย์ว่าอย่างไร มีโอกาสหรือไม่?” หลิวฉีซื่อเฝ้านึกถึงแต่ยศฐาบรรดาศักดิ์เ่าั้
เดิมทีนางก็เป็ชนชั้นต่ำ ทำให้นางรู้สึกว่าตนเองต่ำต้อย ชีวิตนี้นางมีเพียงความหวังจากบุตรชายคนที่สี่ที่พอจะโดดเด่นมีความสามารถ ยศฐาบรรดาศักดิ์เป็ความปรารถนาหนึ่งเดียวในชีวิตนี้ของนาง
หลิววั่งกุ้ยรู้ดีถึงความคิดในใจของผู้เป็แม่ และหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจนัก “ก็แค่การสอบซิ่วไฉ ย่อมมีโอกาสอยู่บ้าง”
หลิวฉีซื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ่งได้ใจ กระทั่งใบหน้าก็เผยรอยยิ้มที่ออกมาจากใจ
อย่างไรก็ตาม เมื่อหางตาของนางหันไปเห็นสองสามีภรรยา จึงยิ้มไม่ออก
หลิวเหรินกุ้ยจงใจแต่งกายเรียบง่ายกว่าปกติเพื่อไม่ให้แม่ของตนหาเื่ได้ ทั้งสองคนหอบมาเพียงสัมภาระหนึ่งชิ้น เหงื่อไหลเปียกซึมผมปอยสองข้าง ผมแนบกับหน้าผาก ทำให้คนเห็นแล้วไม่สบายตัว เหมือนว่าอากาศจะร้อนกว่าที่ผ่านมา
หลิวฉีซื่ออารมณ์เสียอย่างไม่มีเหตุผล
“ท่านย่า!” หลิวจื้อไฉเห็นดวงตาของนางเริ่มมีไฟโมโห จึงรีบออกตัวก่อน
“จื้อเอ๋อร์ก็กลับมาหรือ” ท่าทีของหลิวฉีซื่อไม่ได้อบอุ่นเหมือนเช่นแต่ก่อน
ทุกคนกล่าวทักทายกันอย่างเคารพตามวัยวุฒิ จากนั้นหลิวฉีซื่อก็เรียกคนทั้งหมดเข้าไปพูดคุยในบ้าน
สําหรับสามแม่ลูกจางกุ้ยฮัวที่ยุ่งอยู่ในครัว กระทั่งหลิวซานกุ้ยที่ยืนอยู่ใต้หลังคาก็ถูกหลิวฉีซื่อละเลยไป
“นี่ น้องรอง ป้ารองกลับมาแล้ว แต่ท่านย่ากลับไม่โมโหหรือ?” หลิวชิวเซียงรู้สึกแปลกใจ หรือบางทีนางอาจจะคาดหวังว่าทั้งครอบครัวจะทะเลาะกันยกใหญ่เช่นนั้น ไม่แน่ว่านางอาจจะได้แยกบ้านออกไปโดยเร็ว
หลิวเต้าเซียงยิ้มและตบไหล่เล็กๆ ของนางแล้วพูดว่า “ฮ่า ข้ากำลังกลัวว่าป้ารองจะไม่กลับมาอยู่เลย”
หากครอบครัวนี้ไม่กลับมา ละครตอนต่อไปจะดำเนินต่อได้อย่างไร
ในตอนเที่ยงทั้งครอบครัวกินข้าวกันอย่างราบรื่น อืม แต่อาหารค่ำราบรื่นยิ่งกว่า
หลิวต้าฟู่มองเห็นเช่นนี้ก็ยิ่งดีใจ มีบุตรชายสามคนร่วมดื่มสุราด้วย หลังจากอาหารค่ำจึงต้านทานฤทธิ์สุราไม่ไหว ไม่นานนักก็หลับไป
กระต่ายหยกโผล่ขึ้นทางด้านทิศตะวันออก ขนมไหว้พระจันทร์สีทองกองเป็เนิน
ลานบ้านของตระกูลหลิวคึกคักเช่นนี้ไม่บ่อยนัก รุ่นเด็กก็คึกคักพร้อมกับหัวเราะร่าอยู่ในลานบ้าน วิ่งไล่กัน ส่วนหลิวฉีซื่อก็นั่งข้างหลิววั่งกุ้ย และกระซิบคุยกันอยู่เนืองๆ
รอจนกว่ากระต่ายหยกเคลื่อนมาอยู่ตรงกลาง
หลิวฉีซื่อก็เรียกหลิวชิวเซียงกับหลิวเต้าเซียงเข้าไปเอาแตงที่แช่จนเย็นอยู่ในบ่อน้ำออกมา
สองพี่น้องตอบรับ ไม่นานนักก็จัดการผ่าแตงเป็ชิ้นๆ แล้วใช้กะละมังไม้อันใหญ่มาใส่ จากนั้นเตรียมยกไปตรงลานบ้าน
“ซุนซื่อ เ้าว่าอะไรนะ?” หลิวฉีซื่อเอ่ยถามด้วยความโมโห จู่ๆ เสียงนั้นก็พุ่งปรี๊ดดังขึ้นจากลานบ้าน
ผู้าุโน้อยกว่าที่รอกินแตงต่างก็มองไปที่นางด้วยความตกตะลึง ด้วยสีหน้าประหลาดใจ
หลิวซุนซื่อเป็พวกชอบทำให้เื่ใหญ่อยู่แล้ว เมื่อเห็นคนทั้งหมดมองมา จึงเอ่ย “พูดก็พูดสิ ข้าว่าท่านแม่ เราก็แค่คนรวยทั่วไป ไม่ใช่คนจากตระกูลใหญ่มั่งคั่งอะไร ที่ผ่านมาก็กินแบบอดๆ อยากๆ มาตลอด ใช้ชีวิตดั่งคนจนขมขื่นทุกปี ยังจะมาอวดอะไรกัน มารยาทเช่นนี้ไม่มีใครมามองหรอก กฎเหล่านี้ ลูกสะใภ้เข้าใจไม่มากนัก รู้เพียงว่า คลอดลูกได้ก็ถือว่าไม่ผิดแล้ว”
นางยังคงชิงชังที่หลิวฉีซื่อเอาเื่ปลดภรรยามาบีบคั้นตนเองในตอนนั้น ยิ่งโกรธเกลียดที่แม่สามียื่นมือมายุ่งเกินไป จนมายุ่งเื่ครอบครัวของนาง
หากไม่ใช่เพราะลูกๆ สองคนมีปัญญาหลักแหลม วันรุ่งขึ้นรีบเขียนจดหมายไหว้วานเพื่อนรุ่นเดียวกันมาส่งให้ ไม่แน่ว่านางอาจจะโง่งมอยู่ที่บ้าน คิดอยากหาบ้านเล็กมาให้ครอบครัวนาง ฮึ คิดได้สวยงามเกินไปแล้ว
“นางซุนซื่อตัวดี เ้าเคยเห็นผู้าุโอย่างข้าอยู่ในสายตาหรือไม่” หลิวฉีซื่อโมโหยิ่งนัก แป้งที่ทาไว้บนใบหน้าชราถึงกับร่วงหล่นลงมา
หลิวซุนซื่อไม่ได้กลัวนางแม้แต่น้อย แต่แสร้งทำท่าถือผ้าเช็ดหน้าและใ เอ่ยเสียงค่อย “ผู้าุโก็ต้องมีการวางตัวที่เหมือนผู้าุโ คนที่าุโน้อยกว่าจึงจะเคารพ หากวางตัวไม่เหมือนผู้าุโ ฮึ คิดจะไปทำอะไรที่ไหนก็ไป”
“ฮึ เ้าคิดว่าตนเองเป็ใครกัน? ก็แค่คนที่เ้ารองของข้าพากลับมาก็เท่านั้น” ในตรรกะที่ลึกซึ้งของหลิวฉีซื่อ สะใภ้ก็คือแต่งเข้าบ้าน แต่นั่นก็คือคนของตระกูลอื่นไม่ใช่คนในครอบครัวนาง นางไม่ยินดีที่จะเลี้ยงพวกนางให้สิ้นเปลืองข้าวสุก
ส่วนเื่การเพิ่มหลานชายให้ครอบครัวตระกูลหลิวนั้น? นับเป็เื่สมควร เป็เื่ที่บรรดาลูกสะใภ้สมควรทำ
เงินสินสอดจะได้ไม่ให้โดยเสียเปล่า!
“ข้าว่าท่านแม่ หากว่าท่านไม่ชอบหน้าข้า จะปลดข้ากลับไปก็ได้ บ้านท่านไปสู่ขอข้ามาอย่างไร ก็ประเคนข้ากลับไปอย่างนั้น” หลิวซุนซื่อโต้ตอบกลับอย่างเต็มที่
หลิวฉีซื่ออาศัยคำว่าปลดนางก็ไล่ตะเพิดให้นางกลับไปที่บ้านแม่ แต่นางไม่ใช่คนที่จะรามือง่ายๆ หากไม่อาละวาดจนบ้านแตกก็คงแปลก
หลิวฉีซื่อไม่คิดว่าหลิวซุนซื่อในคราวนี้จะทำให้ตนเองจุกจนพูดไม่ออก
หลิวจื้อเซิ่งซึ่งเดิมทีเอาแต่ดูทั้งสองคนด้วยแววตาเป็ประกาย ก็หันไปยิ้มให้หลิวจื้อไฉแล้วเอ่ย “ดูเหมือนว่าท่านย่าจะมีความเข้าใจผิดต่อป้ารองนะ”
หลิวจื้อไฉกวาดตามองหลิวฉีซื่อด้วยใบหน้านิ่งขรึม เทียบกับหลิวฉีซื่อที่มีวัยวุฒิของท่านย่ามาเทียบกัน ตัวเขาย่อมสนิทใจกับผู้เป็แม่แท้ๆ มากกว่า
“เ้าอาจไม่รู้ว่าท่านย่าของเรามีนิสัยอย่างไร ในสายตาของนาง โลกนี้มีเพียงอาสี่กับอาเล็กคือลูกที่ดีที่สุด”
หลิวจื้อเซิ่งแสดงท่าทางประหลาดใจและมีผลประโยชน์ แล้วถามว่า “จากที่เ้าพูด ข้าว่าท่านย่าก็เป็คนดี ครั้งก่อนพวกข้าเล่าเรียน ท่านย่าก็บอกว่า ปีหน้าจะเลี้ยงหมูให้มากขึ้นไม่ใช่หรือ?”
หลิวจูเอ๋อร์ซึ่งอยู่ข้างๆ เขาชิงตอบด้วยความโกรธเคือง “ฮึ พวกเรานั้นตอนนี้ต้องคอยดูสีหน้าผู้อื่น มีบางคนกินของในบ้าน อาศัยในบ้าน แต่กลับไม่อยากออกแรง”
“พี่จูเอ๋อร์ คำพูดนี้ของเ้า ข้าฟังไม่เข้าใจ” หลิวเต้าเซียงทนไม่ไหวเป็คนแรก
นางไม่เปิดโอกาสให้หลิวจูเอ๋อร์พูดอีก จึงถามว่า “อะไรคือการกินของที่บ้าน อาศัยในบ้านแต่ไม่อยากออกแรงกัน? ได้ หากพี่จูเอ๋อร์รู้สึกว่าเสียเปรียบ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะแลกเปลี่ยนกัน ให้ท่านพ่อข้าพาครอบครัวข้าออกไปทำงานข้างนอก เราจะไม่ใช้เงินของที่บ้าน อ้อ แล้วก็ ตรุษจีนพวกข้าก็จะกลับมาบ้านเกิด และจะไม่ลากข้าวสารไปเป็คันรถแล้วยังเอาเนื้อปลาเค็มเนื้อหมูเค็มที่กินได้เป็ปีกลับไปด้วย ข้าว่า มีบางคนกลับเหมือนพวกปลิงดูดเืที่แอบซ่อนอยู่ในลำคลอง เห็นคนก็ดูด”
“เ้า!” หลิวจูเอ๋อร์โกรธมากจนใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็สีแดง แต่ที่หลิวเต้าเซียงพูดมาก็เป็เื่จริง หลังจากอัดอั้นอยู่ชั่วครู่ หลิวจูเอ๋อร์จึงด่าออกมา “คิดว่าตนเองเป็ลูกคุณหนูหรืออย่างไร อะไรกัน ให้เ้าทำงานมากหน่อยเพื่อเคารพท่านปู่ท่านย่าจะเป็อะไรไป? ดูก็รู้ว่าแม่เ้าไม่ได้สั่งสอนเ้าให้ดี”
“ใครที่แม่ไม่สั่งสอนให้ดีกันแน่?” หลิวเต้าเซียงลุกพรวดขึ้นมา แผดเสียงสูงจนคนทั้งลานบ้านได้ยินเสียงเยาว์วัยและกระชับของนาง “พี่จูเอ๋อร์ เ้ายังมีหน้าหรือ เ้าตอบแทนท่านปู่ท่านย่าอย่างไรหรือ? เฮอะ ใครกันที่กลับมาบ้านแล้วขนเสบียงไปหนึ่งคันรถทุกปี นั่นล้วนเป็สิ่งที่ท่านปู่กับท่านพ่อข้าทนลำบากเพาะปลูกมาเองทั้งนั้น พวกเ้าเคยให้เงินสักแดงหรือ? อ้อ ส่วนเงินที่พวกเ้าเอาของกินไปแลกมา กลับใช้ได้อย่างสบายใจเฉิบ ใครกันแน่ที่ไม่รู้จักตอบแทน ไม่เคยเห็นเลยจริงๆ คนที่เป็โจรแต่มาจับโจรเสียเอง”
หลิวจูเอ๋อร์ได้แต่บ่น เ้า เ้า เ้า จากนั้นก็ไม่รู้จะใช้คำไหนมาโต้ตอบ
หลิวฉีซื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ่งเดือดดาล นางเกลียดหลิวซุนซื่อเข้าไส้ รู้สึกเพียงว่านางสั่งสอนบุตรสาวได้น่าละอายยิ่งนัก ยิ่งออกหน้าไม่ได้
ส่วนหลิวซานกุ้ยกับจางกุ้ยฮัวเมื่อเห็นบุตรสาวคนรองที่ฝีปากคมคายจึงไม่รีบร้อนออกตัว เมื่อหลิวเหรินกุ้ยได้ยินและเห็นสีหน้าของผู้เป็แม่ไม่ค่อยดีนัก จึงด่าหลิวจูเอ๋อร์ในใจที่คืนนี้ทำเื่โง่เง่า
“น้องสาม ดูไม่ออกเลยนะ ลูกสาวคนรองของเ้าช่างเป็พวกชอบก่อเื่”
จางกุ้ยฮัวรู้สึกไม่สบายใจ “เช่นนั้นก็ต้องดูว่าอีกฝ่ายเป็ใคร หากว่ามีคนมารังแกกันถึงที่แล้วยังไม่ส่งเสียง นั่นเรียกว่าคนโง่เขลา หากว่าจงใจไปเหยียบย่ำผู้อื่น หาเื่ นั่นถึงเรียกว่าก่อเื่ พี่รองพูดเช่นนี้ ข้าเองก็ฟังไม่เข้าใจ เต้าเซียงนั้นเป็เด็กดีว่าง่ายมาตลอด ไม่เคยหาเื่ใครก่อน ท่านบอกว่าก่อเื่ ข้าจึงคิดอย่างไรก็ไม่กระจ่าง”
ในความทรงจำของหลิวเหรินกุ้ย จางกุ้ยฮัวเป็คนซื่อตรง แม้ว่าจะขี่ขึ้นหัวนาง แต่นางก็ไม่ส่งเสียงใดๆ
คิดไม่ถึงว่า วันนี้คำพูดเหล่านี้กลับทำให้เขาตอบโต้ไม่ถูก
จึงทำได้เพียงส่งยิ้มให้สองสามีภรรยาหลิวซานกุ้ย “ความหมายของข้าคือแม่สาวน้อยช่างฉลาดหลักแหลม คงไม่มีทางเสียเปรียบผู้ใดแน่นอน”
จางกุ้ยฮัวแอบตวัดสายตาใส่เขาเล็กน้อย บุตรสาวของนางไม่ได้โง่เขลาเช่นแต่ก่อน แล้วปล่อยให้อาเล็กและพี่สาวเหล่านี้รังแก
เมื่อหลิวซานกุ้ยเห็นว่าพี่รองไม่ได้บีบครอบครัวเขาอีก จึงใช้ปากชี้ไปทางหลิวฉีซื่อ “พี่สะใภ้รองทำให้ท่านแม่โมโหหนัก พี่รองยังไม่รีบไปช่วยห้ามทั้งสองคนอีก”
หลิวเหรินกุ้ยโบกมือและยิ้มอย่างขมขื่น “อย่าเลย เ้าสองคนก็ใช่ว่าจะไม่รู้จักนิสัยทานแม่ ตอนนี้ข้าเข้าไปห้ามทั้งสองคน ท่านแม่คงจับข้าฉีกเป็ชิ้นๆ”
ต่อหน้าเหมือนว่าเขาจะกลัวหลิวฉีซื่อ แต่ในความเป็จริงคือ เขา้าปล่อยให้หลิวซุนซื่อปะทะกับหลิวฉีซื่อสักครา
-----
